เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่หานลี่จะเข้าไปในแดนมาร หลังจากที่ศึกษาคัมภีร์โบราณที่เกี่ยวข้องกับแดนมารมาจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงได้พบด้วยความบังเอิญ
ตามที่ในคัมภีร์ได้กล่าวเอาไว้ดูเหมือนว่าเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตนี้จะโตขึ้นแค่ในทะเลสาบน้ำตกสีน้ำเงินในแดนมาร อยู่ห่างจากเมืองฮ่วนเย่มาก ปกติแล้วเผ่ามารท้องถิ่นก็ยังไม่พอใช้ จึงไม่รั่วไหลออกไปภายนอก ตระกูลไป๋ได้เมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตระดับดีมาได้อย่างไร
หานลี่ขบคิดอีกที ก็ไม่ได้ปกปิดสีหน้าประหลาดใจเอาไว้
“ทำไม หรือว่าพี่หานและสหายหันสนใจเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตเช่นกัน น่าเสียดาย สิ่งนี้ข้าตกลงอาไว้ตั้งนานแล้ว หากพวกเจ้าอยากได้ก็ต้องขอจากพี่ไป๋แล้ว” องค์เทพมังกรไม้เหลือบมองหานลี่และหันฉีจื่อแวบหนึ่ง กลอกลูกตาไปมาเล็กน้อยขณะเอ่ย จากนั้นก็คว้าเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตในกล่องหยกมาไว้ในมือ กัดไปหนึ่งในสามส่วน แล้วสะบัดหัวเคี้ยวอย่างช้าๆ
กลิ่นประหลาดๆ แผ่ออกมาทั่วทั้งห้องโถง
“อ้อ พี่ไป๋ยังมีเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตหรือ” หานลี่เอ่ยถามพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ดวงตาของหันฉีจื่อเองก็หดลงเล็กน้อย เลื่อนไปบนเรือนร่างของชายร่างใหญ่และหญิงสาวผมสีม่วง
“สหายมังกรไม้ล้อเล่นแล้ว ในมือของข้ามีเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตแค่เมล็ดเดียวเท่านั้น ไหนเลยจะมีเมล็ดที่สอง!” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แล้วเอ่ยปากปฏิเสธ
“พี่ไป๋กล่าวเช่นนี้เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่เชื่อ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่ายิ่งกินเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งบำรุงกายเนื้อได้มากเท่านั้น ในเมื่อสหายได้เมล็ดนี้มา เหตุใดจะมีแค่เมล็ดเดียว” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
หันฉีจื่อมีแววตาเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อนักเช่นกัน
“ไม่ปิดบังเหล่าสหาย แม้ว่าตระกูลไป๋ของพวกเราจะรวบรวมเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตได้สองสามเมล็ด แต่ที่เหลือล้วนถูกข้าและน้องห้ากินไปแล้ว ส่วนเมล็ดที่มอบให้สหายมังกรไม้ก็เป็นเมล็ดที่คิดจะเอาไปปลูก เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบปรุงยา มิเช่นนั้นคงไม่เหลือเอาไว้” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองอธิบายอย่างรีบร้อน
“เมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิต ตระกูลไป๋หามาได้ครั้งหนึ่งย่อมหาได้เป็นครั้งที่สอง ขอแค่พี่ไป๋ช่วยผู้แซ่หานรวบรวมได้ มูลค่าสูงแค่ไหนก็คุยกันได้” หานลี่ครุ่นคิดยังคงเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ขอแค่พี่ไป๋ช่วยผู้แซ่หานรวบรวมเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตระดับนี้ร้อยชั่ง ครั้งหน้าหากตระกูลไป๋มีเรื่องลำบากอันใด ข้าจะลงมือช่วยครั้งหนึ่ง” หันฉีจื่อเอ่ยปากอย่างเย็นชาเป็นครั้งแรก น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย ราวกับว่าไม่ได้เอ่ยปากมาเนิ่นนานแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของหันฉีจื่อและหานลี่ หญิงสาวผมสีม่วงก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะสนใจ แต่ชายร่างใหญ่กลับปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ครั้งนี้ที่ได้เมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตมา ก็เป็นเพราะความบังเอิญ เพราะข้าและน้องห้าบังเอิญไปพบกับสหายของทะเลสาบน้ำตกสีน้ำเงินคนหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน จึงได้แลกเปลี่ยนสมบัติกัน ถึงได้สิ่งนี้มา ตระกูลไป๋ของพวกเราจะมีกำลังรวบรวมของระดับนี้อีกได้อย่างไร ทุกท่านอย่าคุยเรื่องนี้อีกเลย มันเป็นไปไม่ได้”
เมื่อเห็นชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองกล่าวอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ หานลี่และหันฉีจื่อพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดอันใดอีก
แม้ว่าองค์เทพมังกรไม้จะไม่หยุดปาก แต่ในแววตากลับเผยความผิดหวังออกมา
ดังนั้นเวลาต่อจากนี้ทั้งกลุ่มก็นั่งสมาธิพักผ่อนอยู่ในห้องโถง ส่วนองค์เทพมังกรไม้ที่กินเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตเสร็จไปหนึ่งชั่วยามแล้ว ลมปราณในร่างก็เพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกันใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับโลหิต หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ภายใต้การโคจรพลังปราณอย่างเงียบๆ สีหน้าของเขาถึงได้ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
หานลี่ที่อยู่ด้านข้างมองเห็นทุกอย่างก็แอบชมว่าสุดยอดในใจ ในเวลาเดียวกันก็ยิ่งสนใจเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิตนี้มากขึ้น
ดูเหมือนว่าประโยชน์ของเมล็ดข้าวเขี้ยวโลหิต จะมีเยอะกว่าที่บันทึกเอาไว้ในคัมภีร์มาก
ในยามนั้นชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองและหญิงสาวผมสีเงินกลับถ่ายทอดเสียงปรึกษาเรื่องการหายตัวไปของศิษย์ในตระกูลเงียบๆ แต่ไม่มีเบาะแสหลงเหลือไว้เลยสักนิด สุดท้ายก็ไม่อาจหาข้อสรุปที่พึ่งพาได้
ทั้งสองทำได้เพียงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อนชั่วคราว และเริ่มสะสมพลัง
ถึงอย่างไรเสียผู้ที่รักษาการณ์ที่นี่ก็เป็นแค่ศิษย์ระดับกลางเท่านั้น เทียบกับทั้งตระกูลไป๋แล้ว เดิมก็ไม่ได้มีค่าอันใดสำหรับพวกเขามากนักอยู่แล้ว
คนกลุ่มนี้อยู่ที่นี่ไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อทุกคนโคจรพลังจนสมบูรณ์แล้ว ก็ขี่กิ้งก่ามารแปดขาออกจากเขตชุ่มชื้น ตรงไปทางทิศตะวันตก
ครึ่งวันต่อมาชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองที่นำอยู่ตรงหน้า พลันมองท้องฟ้าที่ขมุกขมัว ดูเหมือนจะเป็นพายุทรายสีเทาที่ใหญ่กว่ารอบๆ หลายส่วน ฉับพลันนั้นก็หันไปเอ่ยกับหานลี่และพวก
“เหล่าสหาย อิทธิฤทธิ์ของอสูรมารตนนี้ไม่ธรรมดาเลย อีกเดี๋ยวต้องระวังหน่อย ทุกท่านต้องเก็บกลิ่นอาย และเก็บกิ้งก่ามาร!”
เมื่อรู้ว่ายามนี้คือช่วงเวลาสำคัญ ตัวตนระดับผสานอินทรีย์อย่างหานลี่ย่อมไม่มีความเห็นอื่น ทยอยกันกระโดดลงจากอสูรมารแล้วเก็บกิ้งก่ามารเข้าไปในกำไลเก็บอสูรวิญญาณ จากนั้นก็บินกลางอากาศต่ำๆ ต่อโดยมีชายร่างใหญ่เป็นผู้นำ
แม้ว่าอยู่ในทะเลทรายจะไม่อาจใช้เคล็ดวิชาหลีกหนีต่างๆ ได้ แต่การบินอย่างช้าๆ อยู่ต่ำๆ พวกเขาก็พอจะทำได้ แต่ผลของการกระทำเช่นนี้ กลับทำให้พวกเขาต้องเสียพลังปราณมากกว่าปกติหลายเท่า
โชคดีที่สายแร่ของตระกูลไป๋อยู่ไม่ไกลนัก กลุ่มคนบินต่ำๆ มาได้หนึ่งชั่วยาม ไกลออกไปพลันมีเนินทรายขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น
เนินทรายนี้มีความสูงสองสามพันจั้ง ราวกับภูเขาขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า แต่แค่ผิวของมันถูกทรายสีเทาปกคลุมเอาไว้ ในเวลาเดียวก็มีเสียงกรีดร้องประหลาดๆ ราวกับเสียงภูตผีคร่ำครวญดังออกมา
ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองเห็นเนินทราย ก็ยกแขนขึ้นทำสัญญาณให้ทุกคนระวัง และสุดท้ายก็พาทุกคนบินมาอยู่ห่างจากเนินทรายได้สองสามลี้ ฉับพลันนั้นก็ร่อนลำแสงหลีกหนีลง
ไป๋อวิ๋นซินและพวกร่อนตามลงมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด องค์เทพมังกรไม้และหันฉีจื่อมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วร่อนลงอย่างเงียบๆ
หานลี่เองก็ตามทุกคนไปอย่างเงียบเชียบ แต่แววตาพลันเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ สายตาตกอยู่ที่บนเนินทรายที่อยู่ห่างจากพวกเขาสิบจั้งเศษ และเผยสีหน้ามีแผนการออกมา
ยามนี้ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองพลันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และตะปบไปทางจุดที่หานลี่มองไป
เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น!
ดินทรายขนาดเท่าบ้านส่งเสียงร้องแล้วบินขึ้นมาจากพื้น กลายเป็นมังกรดินตัวหนึ่งร่วงลงบนที่ว่าง
ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองตะปบมือทั้งสองข้างออกไปไม่หยุด ที่เดิมเผยหลุมลึกสิบจั้งเศษออกมา ก้นหลุมเผยประตูสัมฤทธิ์ออกมา
“เอ๋ นี่คือ” องค์เทพมังกรไม้หรี่ตาทั้งสองข้างลงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
“เดิมทางเข้าสายแร่ที่เป็นทางการน่าจะอยู่ที่ยอดของเนินทราย แต่ที่นั่นถูกอสูรมารยึดครอง เพื่อเป็นการป้องกัน ยามนี้พวกเราต้องใช้ทางเข้าอีกแห่ง ผู้ที่รู้จักทางเข้านี้ในตระกูลไป๋ก็มีแค่พวกเราสองพี่น้องเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นทางเข้านี้นอกจากจะมีสายแร่ลึกลับแล้ว ยังไม่มีเขตอาคมต้องห้ามใดๆ คิดดูแล้วอสูรมารตัวนั้นคงไม่อาจพบที่นี่ได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเราเข้าไปทางนี้ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อสูรตัวนี้รับมือไม่ทันก็เป็นได้” หญิงผมสีม่วงอธิบายพร้อมฉีกยิ้มเบิกบาน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” องค์เทพมังกรไม้พยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองสิ่งปลูกสร้างบนเนินทรายที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง พลางเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองพลันใช้มือหนึ่งสะบัดไปทางประตูสัมฤทธิ์บานนั้น พลังมหาศาลไร้รูปร่างกระแทกเข้าไป
เสียง ‘ครืด’ ดังขึ้น ประตูใหญ่สั่นเทาแล้วเปิดออกอย่างช้าๆ เผยทางเดินสีดำสนิทอย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมา
“ไปกันเถิด ทางเข้านี้ยังไม่ถูกอสูรมารตัวนั้นพบจริงๆ” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองกวาดจิตสัมผัสไปรอบหนึ่ง ก็เผยสีหน้ายินดีออกมาพลางเอ่ย และบินลงไปทางประตูสัมฤทธิ์ด้านล่างทันที
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ย่อมตามเข้าไปในทางเดิน
หลังจากที่หานลี่เข้าไปในประตูสัมฤทธิ์ แววตาพลันเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ ทางเดินสีดำสนิทพลันเปลี่ยนเป็นสว่างไสวราวกับอยู่ในยามกลางวัน
เห็นเพียงทางซ้ายและขวาล้วนเป็นกำแพงหินสีเขียวอ่อน กั้นดินทรายด้านนอกและทางเดินนี้ไว้ สิ่งที่หายากก็คือแผ่นหินเรียบลื่นเหล่านี้ ภายนอกไม่มีระลอกคลื่นใดๆ เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าไม่มีเขตอาคมอันใดอยู่บนนั้น
หลังจากที่เดินลึกเข้าไปตามทางเดินไปครึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าก็เปล่งแสงเจิดจ้า ด้านหน้ามีกำแพงภูเขาประหลาดๆ สีแดงสดปรากฏขึ้น กั้นทางเดินด้านหน้าเอาไว้
ครั้งนี้ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองที่อยู่ด้านหน้าสุดไม่ได้บุ่มบ่ามเคลื่อนไหวอันใด แต่พลิกฝ่ามือในมือ มีกระจกโบราณทรงข้าวหลามตัดปรากฏขึ้น มือหนึ่งพลันร่ายอาคมไปทางกระจกอย่างต่อเนื่อง
ชั่วขณะนั้นไอสีดำบนผิวกระจกพลันหมุนวน รัศมีลำแสงห้าสีเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นจากผิวกระจก
ชายร่างใหญ่เพ่งพินิจมอง แล้วมีสีหน้าผ่อนคลายลง เก็บเพลิงบนกระจกโบราณ แขนข้างหนึ่งสะบัดไปทางกำแพงภูเขาสีแดงสดตรงหน้า
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีดำพลันม้วนออกมา และเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายเข้าไปในกำแพงภูเขา
ครู่ต่อมากำแพงภูเขาสีแดงสดพลันสั่นเทา แล้วค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ ทุกขั้นตอนล้วนเงียบเชียบ ไม่ส่งเสียงใดๆ เลยสักนิด
หลังจากที่กำแพงภูเขาเปิดออก ชั่วขณะนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่ามีไอร้อนฉ่าโชยมา ด้านหน้ามีโลกใต้ดินสีแดงเพลิงปรากฏขึ้น
หินหลอมเหลวสีแดงสด พื้นสีดำแดง รวมทั้งเสาหินสีม่วงแดงที่แหลมคมราวกับหินงอกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาทั่วพื้นดิน
“ไปกันเถิด ในเมื่ออสูรมารตัวนั้นยึดครองสายแร่นี้ จะต้องหลบอยู่ในส่วนลึกที่สุดของสายแร่ปราณเพลิงแน่ แม้ว่าอสูรมารปกติจะคุ้นชิ้นกับการหลับใหลและดูดซับเพื่อฝึกฝนโดยอัตโนมัติ แต่อสูรมารระดับจอมมารนั้นก็พูดยาก และยิ่งไปกว่านั้นจนถึงยามนี้ข้าและน้องห้าก็ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคืออสูรมารชนิดใด ลักษณะนิสัยยิ่งไม่เข้าใจ สหายทุกท่านต้องระวังให้มาก! อีกอย่างการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ขอแค่ทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บหนักหรือไล่อสูรตัวนี้ไปได้ก็พอแล้ว แน่นอนว่าหากสังหารอสูรตัวนี้ได้ วัตถุดิบอสูรมารทั้งหมด ตระกูลไป๋ของพวกเราจะแบ่งให้เหล่าสหายอย่างยุติธรรม ไม่มีทางให้ทุกท่านเสียเปรียบแน่” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองพิจารณารอบด้าน สูดไอเพลิงเข้าไปเฮือกหนึ่ง แล้วกำชับหานลี่และพวกด้วยความเคร่งขรึมอีกครั้ง
“หึๆ พี่ไป๋เจ้าชักช้าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร คำพูดนี้พวกเราได้ยินมาหลายรอบแล้ว หากสังหารอสูรมารระดับจอมมารตนนี้ได้ ย่อมเป็นเรื่องที่พวกเราใฝ่ฝันถึง หากไม่ได้ พวกเราก็จะไม่ฝืน” องค์เทพมังกรไม้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หานลี่ฉีกยิ้มไม่พูดอันใด
แต่ในยามนั้นเองหญิงสาวผมสีม่วงกลับอ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นป้ายหยกสีขาวออกมา แต่ผิวกลับมีลายโลหิตแฝงอยู่ และเอ่ยกับคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้มบางๆ
“พี่ใหญ่วางใจ ครั้งที่แล้วยามที่ข้าและอสูรมารตัวนั้นประมือกัน แม้ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ก็ได้โลหิตบริสุทธิ์มาเล็กน้อยด้วยความบังเอิญ ยามนี้ถูกข้าหลอมเข้าไปในแผ่นป้ายวิญญาณชิ้นนี้แล้ว การยืนยันตำแหน่งของมันกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”