เอ่ยจบหญิงผมสีม่วงก็ร่ายอาคมกระตุ้นแผ่นหยกในมือ ชั่วขณะนั้นเส้นไหมโลหิตพลันเลื้อยไปตามผิวของแผ่นป้ายหยกราวกับมีชีวิตก็ไม่ปาน
“เยี่ยมมาก น้องห้ามีเคล็ดวิชาลับบอกตำแหน่งของอสูรมารตัวนั้น พวกเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลอบโจมตีแล้ว ได้เปรียบมาก” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองได้ยิน ก็ตอบกลับด้วยใบหน้าดีใจ
จากนั้นเขาก็หลบทางข้างหน้าให้ ให้ ‘น้องห้า’ ของตนเดินอยู่หน้าสุด
คนกลุ่มนี้เดินอยู่ในถ้ำใต้ดินสองสามก้าว ก็เข้าไปในทางเดินเหมืองที่มนุษย์สร้างขึ้น
ดูจากหลุมตะปุ่มตะป่ำตามสองฝั่งของเหมือง ศิลาเมฆาเพลิงรอบๆ นี้คงถูกขุดไปจนหมด แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นอุณหภูมิของที่นี่ก็ยังร้อนระอุ เห็นได้ชัดว่าสูงกว่ายามที่พวกเขาเพิ่งเข้ามาหลายส่วน
ทว่าหากไม่ใช่เพราะส่วนลึกของสายแร่นี้เป็นทะเลทรายลวงตา คนกลุ่มนี้คงสำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีแอบเข้ามาแล้วตามหาอสูรมารตนนั้นแล้ว ยามนี้พวกเขาทำได้เพียงเดินลงไปยังส่วนลึกตามทางเดินทีละนิดๆ
ทางเดินของสายแร่นี้หนาแน่นมาก และทุกช่วงจะมีทางตัดสลับกันไปมาสองสามสาย กลายเป็นเหมือนกับตาข่ายแมงมุมก็ปาน
สายแร่เหล่านี้ยาวหน่อยก็มีความยาวสองสามลี้ สั้นหน่อยก็แค่สิบจั้งเศษเท่านั้น ศิลาเมฆาเพลิงก็ยิ่งถูกขุดไปจนเกลี้ยงยิ่งกว่าเดิม แต่แค่จุดที่ซ่อนเร้นอยู่จะบังเอิญเหลืออยู่นิดหน่อยเท่านั้น
ทว่าเมื่อพวกเขาผ่านทางเดินสิบกว่าสายอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงจุดรวมตัวของทางเดินสี่ห้าสาย หานลี่กลับหรี่ตาทั้งสองข้างลง
ตรงหน้ามีทางเดินสองสามสายปรากฏขึ้น ล้วนเป็นลำแสงสีแดงเปล่งประกายไม่หยุด บนกำแพงสี่ด้านล้วนเป็นผลึกสีแดงสดขนาดเท่ากำปั้น
แต่ทุกแห่งที่พวกเขามองไปกลับไม่ใช่วัตถุดิบล้ำค่าเหล่านั้น แต่เป็นโครงกระดูกครึ่งท่อนไร้หัวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงทางเข้าทางเดินสายหนึ่ง
หัวของโครงกระดูกนี้กระเด็นหายไป แม้ว่าร่างกายจะสมบูรณ์แบบ แต่ผิวหนังกลับแห้งเหี่ยว ราวกับว่าโลหิตและเนื้อหนังทั่วเรือนร่างหายไป ยามนี้เหลือเพียงหนังบางๆ หุ้มเรือนร่างเอาไว้เท่านั้น
หญิงสาวผมสีม่วงและชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองย่อมเห็นโครงกระดูกนี้เช่นกัน เมื่อมองสบตากันแวบหนึ่งก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
แต่หลังจากที่สายตาของหญิงสาวผมสีม่วงมองไปที่มุมชายเสื้อของโครงกระดูก ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม มือเรียวข้างหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ
เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น ชุดนั้นบินออกมาจากโครงกระดูก ถูกหญิงสาวดูดเข้ามาอยู่ในมือ และถูกสะบัดออก
หานลี่เหลือบตามอง จึงมองเห็นตัวอักษรคำว่า “ไป๋” สีเงินอ่อนบนชุดทันที
“เป็นศิษย์ตระกูลไป๋ของพวกเรา แต่ผู้ใดกลับพูดยาก” หญิงสาวผมสีม่วงขมวดคิ้วดำขลับขณะเอ่ย
ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองกลับแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ยกมือขึ้นกวักไปทางโครงกระดูกเช่นกัน
หลังจากเสียง ‘สวบ’ ดังขึ้น ถุงหนังสีเขียวก็บินออกมา และเมื่อชายร่างใหญ่ชี้ไป ก็ระเบิดออกกลางอากาศ กลางอากาศมีผึ้งยักษ์สีแดงโลหิตฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น
ทุกตัวล้วนมีขนาดเท่าฝ่ามือ กระพือปีกทั้งสองข้างไม่หยุด
“เป็นผึ่งตาข่ายโลหิต! หากข้าจำไม่ผิดละก็ ดูเหมือนจะเป็นแมลงมารที่เจ้าเด็กไป๋เหยียนผู้นั้นพกติดตัว!” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองเห็นผึ้งมารสีโลหิตเหล่านั้น ก็มีสีหน้าดูไม่ได้พลางเอ่ยถาม
“รายงานท่านบรรพชน นี่คือผึ้งตาข่ายโลหิตของไป๋เยียน ตอนนั้นเคยเห็นเขาใช้พวกมันต่อสู้หลายครั้งด้วยตาของตนเอง ไม่มีทางจำผิดแน่” ชายชราเรือนผมสีขาวราวกับหิมะหนึ่งในศิษย์ตระกูลไป๋หกคนยืนขึ้นแล้วก้าวออกมารายงานทันที แต่แค่สีหน้าแต้มไว้ด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์กับ ‘ไป๋เหยียน’ ผู้นี้
“เช่นนั้น โครงกระดูกนี้ก็คือไป๋เหยียนจริงๆ แต่เขาเป็นหนึ่งในศิษย์ที่คอยคุ้มกันที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นศิษย์ที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุด เหตุใดถึงมาตายอย่างน่าอนาถที่นี่!” หญิงสาวผมสีม่วงถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นลูกเพลิงลูกหนึ่งพุ่งออกไป เผาโครงกระดูกนั้นจนเป็นเถ้าถ่านถึงได้เอ่ยถามอย่างแช่มช้า
สำหรับท่าทางน่าอนาถของศพนี้ คนทั้งกลุ่มกลับไม่ได้รู้ประหลาดใจมากนัก
ถึงอย่างไรเสียในแดนมารเคล็ดวิชามารการดูดซับโลหิตของผู้อื่นก็มีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอันใด
“ไปกันต่อเถิด บางทีอาจจะพบอันใด” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองครุ่นคิด แล้วเอ่ยอย่างตัดสินใจ
คนอื่นๆ ก็ไม่มีความเห็นอื่น ทันใดนั้นก็เดินไปตามทางเดินที่โครงกระดูกวางอยู่ ทว่าทุกคนล้วนระมัดระวังขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่เดินมาตามทางได้สองสามร้อยจั้ง ระหว่างทางก็พบโครงกระดูกไร้หัวอีกห้าหกโครงกระดูก หลังจากที่ตระกูลไป๋วินิจฉัยแล้ว ล้วนเป็นศิษย์ตระกูลไป๋ที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ทั้งนั้น
นี่จึงทำให้ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองอดที่จะมีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธารมิได้!
หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง ฉับพลันนั้นชายร่างใหญ่ก็หยุดชะงักฝีเท้าแล้วเอ่ยถามหญิงสาวผมสีม่วง
“น้องห้า ยามนี้อยู่ห่างจากอสูรมารตนนั้นอีกประมาณเท่าไหร่ คงไม่ได้ถูกมันสัมผัสได้แล้วหรอกกระมัง”
“พี่ใหญ่โปรดวางใจ เดิมจิตสัมผัสของพวกเราก็ถูกจำกัดในทะเลทรายลวงตานี้อยู่แล้ว ประกอบกับศิลาเมฆาเพลิงในสายแร่ที่มีไอเพลิงจำนวนมากรบกวน จิตสัมผัสจึงไม่อาจแผ่ออกไปไกลได้ และยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ก็อยู่ห่างจากอสูรตัวนั้นไปอีกห้าหกลี้ เขาไม่มีทางพบพวกเราแน่ แต่หากเข้าใกล้กว่านี้ก็พูดยาก” หญิงสาวผมสีม่วงก้มหน้าลงตรวจสอบแผ่นป้ายหยกในมือ แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สหายทุกท่านก็เริ่มสำแดงการพรางตัวเถิด” หลังจากที่ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองครุ่นคิด ก็สั่งคนอื่นๆ
“เริ่มสำแดงยามนี้เถิด นี่ต้องเสียลมปราณไม่น้อย ช่างเถิด ก็ดีกว่าถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นพบเข้า” องค์เทพมังกรไม้ลูบใต้คาง บ่นพึมพำอย่างไม่เต็มใจ แต่ครู่ต่อมากลับอ้าปากออกพ่นแผ่นป้ายสีดำออกมา และพลิ้วไหวกลางอากาศกลายเป็นหมอกสีดำห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ จากนั้นไม่ว่าม่านหมอกหรือว่าซ่อนตัวอยู่ข้างใน ในเวลาเดียวกันก็รางเลือนไม่ชัดเจน สุดท้ายก็กลายเป็นเงาลวงตาที่แทบจะมองไม่เห็น
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา แค่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวมีรัศมีลำแสงม้วนวนออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเงาสีดำอ่อนๆ สายหนึ่ง
ส่วนหันฉีจื่อแค่สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง หลังจากที่ผลึกลำแสงม้วนวนออกมา ร่างทั้งร่างก็โปร่งแสง กลายเป็นสิ่งมีชีวิตล่องหนราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง
ไป๋อวิ๋นซินและพวกต่างสำแดงธงสีเงินออกมา หลังจากที่โยนออกมา ก็กลายเป็นเขตอาคมสีเงินกลางอากาศ หลังจากที่ร่อนลงมาด้านล่าง ชั่วขณะนั้นทั้งหกคนก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นคนอื่นๆ สำแดงเสร็จ ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองและหญิงสาวผมสีม่วงก็มีไอสีดำทะลักออกมาจากเรือนร่าง โยนผ้าไหมออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วอำพรางกายไปเช่นกัน
คนทั้งกลุ่มจึงเดินไปด้านหน้าอีกครั้ง
ความยาวของทางเดินสายแร่สายนี้กลับเหนือกว่าที่หานลี่และพวกคิดเอาไว้ หลังจากเดินมาได้อีกชั่วครู่ คาดไม่ถึงว่าจะยังเดินไม่ถึงทางออกอีกด้าน
โชคดีที่เดินมาได้เป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ฉับพลันนั้นทางเดินสายแร่ตรงๆ พลันเปลี่ยนเป็นคดเคี้ยว กำแพงหินรอบด้านเปลี่ยนเป็นหยาบๆ และเปล่งแสงสีดำๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเข้าไปในรอยแยกใต้ดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีกสายหนึ่ง
ยามนี้รอบด้านก็เริ่มมีรอยแยกขนาดน้อยใหญ่ปรากฏขึ้น บ้างก็มีความกว้างสองสามฉื่อ บ้างกลับมีความกว้างสองสามจั้ง บางครั้งก็มีพายุร้อนระอุพัดออกมา และมีกลิ่นไหม้เกรียมและกลิ่นกำมะถันลอยมาจางๆ
……
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ยามที่ทุกคนบินออกมาจากรอยแยกที่ไม่สะดุดตารอยแยกสุดท้าย ทะเลสาบหินหลอมเหลวขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นด้านล่างทุกคน
ทะเลสาบนี้มีความกว้างพันหมู่ ผิวของทะเลสาบเป็นหินหลอมเหลวสีแดงที่มีฟองปะทุขึ้นมาเป็นบางครั้ง ตรงขอบรอบๆ กลับเป็นศิลาหินหลอมเหลวสีดำเกรียม แต่บนศิลาเหล่านั้นกลับมีผลึกสีม่วงแดงสองสามฉื่อฝังอยู่ ภายใต้หินหลอมเหลวที่สะท้อนไปมา พลันมีลำแสงสีแดงเปล่งแสงเรืองๆ
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ดวงตาทั้งสองอดที่จะหรี่ลงไม่ได้
รูปร่างของผลึกสีม่วงแดงเหล่านี้ เป็นเพราะถูกไอเพลิงอัดแน่นเอาไว้ และเพราะขนาดของผลึกที่ไม่เล็ก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาเมฆาเพลิงระดับสุดยอดที่หายากยิ่ง
พอเขาแค่กวาดสายตาไปผ่านๆ ก็พบว่าจำนวนของผลึกที่นี่มีมากกว่าสองสามหมื่นเม็ด ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นศิลามารหรือว่าศิลาวิญญาณก็เป็นจำนวนมหาศาล เพียงพอที่จะทำให้จอมมารทั่วๆ ไปบ้าคลั่งได้
มิน่าล่ะเหตุใดตระกูลไป๋ถึงยอมจ่ายค่าตอบจำนวนมหาศาลแต่ไม่ยอมปล่อยที่นี่ไป
แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่มีสีหน้าไม่แน่นก็คือแม้ว่าถ้ำใต้ดินที่ทะเลสาบหินหลอมเหลวยักษ์อยู่จะใหญ่มาก แต่โครงสร้างกลับชัดเจน เมื่อกวาดสายตาไป ไหนเลยจะมีร่องรอยของอสูรมารตนนั้น
ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองกวาดสายตาไปด้านล่างอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ริมฝีปากขยับเล็กน้อยพลางถ่ายทอดเสียงไปหาหญิงสาวผมสีม่วง
“น้องห้า เจ้าไม่ได้มาผิดที่กระมัง อสูรมารตัวนั้นอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ”
“ไม่ผิดแน่ โลหิตบริสุทธิ์ของมันอยู่ที่นี่จริงๆ” หญิงสาวผมสีม่วงใช้มือหนึ่งรองแผ่นป้ายหยกเอาไว้ ตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อสูรมารตัวนั้นก็คงซ่อนอยู่ใต้หินหลอมเหลวนี้ เยี่ยมมาก ดูแล้วมันคงไม่พบการมาถึงของพวกเราจริงๆ อวิ๋นซิน พวกเจ้าวางเขตอาคมเดี๋ยวนี้ พี่หาน มังกรไม้ สหายหันต้องรบกวนพวกเจ้าคอยเตือนให้ระวังแล้ว” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองแววตาเปล่งประกายกวาดตาไปที่หินหลอมเหลวด้านล่างแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยกับคนอื่นๆ อย่างเคร่งขรึม
ศิษย์ตระกูลไป๋หกคนตอบตกลงทันทีแล้วกระจายตัวไปรอบๆ ทะเลสาบหินหลอมเหลว หยิบธงอาคมออกมาเป็นตั้งๆ เริ่มวางเขตอาคมขนาดยักษ์ที่ดูไม่ธรรมดา
ส่วนองค์เทพมังกรไม้และหันฉีจื่อก็ร่อนลงมาที่หินหลอมเหลวด้านล่างโดยไม่พูดอันใด และลอยนิ่งอยู่ห่างจากหินหลอมเหลวไปสิบจั้งเศษ
ยามนี้แม้ว่าทั้งสองจะยังคงใช้เคล็ดวิชาลับอำพรางกาย แต่กลับพากันหยิบอาวุธมารป้องกันตัวออกมาอย่างระมัดระวัง
องค์เทพมังกรไม้อ้าปาก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นบาตรทรงกลมสีน้ำเงินออกมา เปลวเพลิงเย็นเยียบสีน้ำเงินเข้มแผ่ออก
หันฉีจื่อกลับสะบัดแขนเสื้อทั้งสอง ธงโปร่งใสสิบสองด้ามบินออกมา ภายใต้การกระตุ้นด้วยอาคม กลายเป็นเปลวเพลิงเย็นเยียบสิบสองกลุ่มบินล้อมรอบเรือนร่างของเขาไปมา
หานลี่กลับแค่ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบไปกลางอากาศเบาๆ ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงห้าสีพลันทะลักออกมาใต้ฝ่าเท้า คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นดอกบัวห้าสี รองร่างของเขาเอาไว้และลอยไปด้านล่างอย่างช้าๆ
ดอกบัวห้าสีนี้มีผิวสีสันงดงาม แต่ภายใต้รัศมีลำแสงห้าสีที่เปล่งแสงสว่างวาบ ไอเย็นเยียบก็แผ่ออกมา เป็นเปลวเพลิงห้าสี