หนึ่งเดือนต่อมาขอบของทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว อสูรมารสองสามตัวที่ดูเหมือนกิ้งก่าก็พุ่งออกมาจากพื้นทรายสีเทา บนหัวของทุกตัวล้วนมีคนนั่งอยู่
นั่นก็คือกลุ่มของหานลี่ที่กลับมาจากสายแร่ตระกูลไป๋
ตอนแรกหานลี่รู้ว่าวิญญาณมารถูกชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองกำจัด ก็รีบไปรวมตัวกันกับจอมมารที่เหลืออีกสามตนกับหญิงสาวผมสีม่วง และสุดท้ายก็หารากฐานของวิญญาณมารตนนี้เจอ เป็นผลึกศิลาขนาดยักษ์ที่สีเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวเม็ดหนึ่ง
แม้ว่าศิลาผลึกจะหายไปเพราะวิญญาณมารไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังคงเป็นวัตถุดิบหลอมอาวุธที่หายากยิ่งชิ้นหนึ่ง ถูกชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองเก็บไปอย่างไม่เกรงใจ
ส่วนขั้นตอนที่วิญญาณมารถูกอย่างละเอียด หานลี่ไม่ได้ซักถาม องค์เทพมังกรไม้ หันฉีจื่อและพวกก็ไม่ได้มีเจตนาจะบอก
แต่ภายใต้การเสนอเงื่อนไขของหานลี่ กลุ่มคนก็รอให้วิญญาณถูกสังหารถึงวันที่สองแล้วถึงเดินทางกลับ และยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางออกจากทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวก็ราบรื่น
ชั่วพริบตาที่ออกจากทะเลทราย หานลี่พลันรู้สึกเพียงว่าร่างกายเบาโหวง ในเวลาเดียวกันพลังปราณในร่างที่เดิมถูกจำกัดก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
สัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เต็มเปี่ยมภายในร่าง หานลี่อดที่จะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้
ความรู้สึกที่ถูกจำกัดพลังปราณจำนวนมากเมื่ออยู่ในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวย่อมไม่น่าอภิรมย์นัก! เขาครุ่นคิดว่าครั้งหน้าอาจจะเข้าไปในส่วนลึกของทะเลทรายนานยี่สิบสามสิบปี ก็อดที่จะเบะปากอยู่คนเดียวไม่ได้
ทว่าโชคดีที่การเดินทางครั้งนี้นับว่าราบรื่น แม้กระทั่งได้กิ้งก่ามารของเผ่ามารเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัว ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย จากนี้ขอแค่รอให้บรรพชนตระกูลหล่งและพวกมาถึงก็พอแล้ว
ทว่าตระกูลไป๋ยังสัญญาว่าจะให้เขาเลือกสมบัติในคลังสามชิ้นเป็นค่าตอบแทน ไม่รู้ว่าจะมีความยินดีที่คาดไม่ถึงเช่นนี้อันใดอีก
หานลี่ครุ่นคิดเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกรอคอยไม่ได้
ตัวตนระดับผสานอินทรีย์และพวกที่ฟื้นฟูพลังปราณแล้วย่อมมีความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ กลุ่มคนใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ก็มองเห็นเมืองฮ่วนเย่อยู่ไกลๆ
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หานลี่ องค์เทพมังกรไม้ หันฉีจื่อและพวกทั้งสามคนก็อยู่ในห้องโถงในป้อมปราการของตระกูลไป๋ที่ถูกตกแต่งไว้อย่างวิจิตรงดงาม และภายใต้การดูแลของหญิงสาวผมสีม่วง ก็กำลังพูดคุยอันใดกันอยู่ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
แต่ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองกลับหายไปอย่างไร้เงา ดูเหมือนจะไปจัดการเรื่องสำคัญอันใดสักอย่างอยู่
นั่นก็ไม่แปลก!
ทั้งตระกูลไป๋ล้วนต้องอาศัยจอมมารทั้งสองนั่งบัญชาการ ยามนี้อยู่ห่างจากวันเปิดตระกูลสองเดือน แน่นอนว่าต้องรีบจัดการเรื่องราวต่างๆ
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร ประตูห้องของห้องโถงก็มีเงาร่างคนพลิ้วไหว คนหนึ่งเดินเข้ามา นั่นก็คือชายร่างใหญ่ผมสีเหลือง
บรรพชนตระกูลไป๋ผู้นี้ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูเหมือนว่าจะพบเรื่องยินดีอันใดมา
“พี่ไป๋ จัดการเรื่องในตระกูลได้รวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ” องค์เทพมังกรไม้มองชายร่างใหญ่แวบหนึ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยไขมันสั่นกระเพื่อมขณะเอ่ยถาม
“ฮ่าๆ แค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ทว่านอกจากจัดการเรื่องราวแล้ว ของตอบแทนที่ข้าสัญญากับเหล่าสหายเอาไว้ก็ได้นำมาแล้ว สหายทั้งสามเชิญชมเถิด!” ชายร่างใหญ่พลันหัวเราะ ปากก็เอ่ยตอบรับอย่างคลุมเครือ แล้วสะบัดแขนเสื้อไปทางหานลี่และพวกทั้งสามคน กำไลทรงกลมสีดำของแต่ละคนพลันบินออกมา
หานลี่และพวกทั้งสามตามยกมือขึ้นตะปบ ดูดกำไลทรงกลมนั้นเข้ามาอย่างง่ายดาย ใช้จิตสัมผัสกวาดเข้าไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่แววตาขององค์เทพมังกรไม้และหันฉีจื่อก็ฉายแววพึงพอใจ และทยอยกันเก็บกำไลเก็บของ
หลังจากที่หานลี่ตรวจสอบก็มีสีหน้าราบเรียบ ในมือเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กำไลทรงกลมหายวับไปอย่างเงียบเชียบเช่นกัน
“การช่วยเหลือครั้งนี้ ข้าน้อยสูญเสียปราณแท้ไปเล็กน้อย ต้องกลับถ้ำพำนักไปฟื้นฟูพลังสักระยะหนึ่ง ข้าไม่รบกวนสหายทั้งสองแล้ว” องค์เทพมังกรไม้เองก็ไม่เกรงใจ พอได้ของตอบแทน ก็หยัดกายลุกขึ้นขอตัวกล่าวลาทันที
“ในเมื่อพี่มังกรไม้ไปแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยก็คงไม่รั้งรออยู่นาน” หลังจากที่หันฉีจื่อครุ่นคิด ก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้งเช่นกัน
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นแววตาก็เปล่งประกายเล็กน้อย แต่ก็ยังคงนั่งตัวตรงนิ่งอยู่บนเก้าอี้
นี่กลับทำให้องค์เทพมังกรไม้และหันฉีจื่อกวาดสายตามองเขาด้วยแววตาหลากหลาย
แต่ใบหน้าของหานลี่กลับไม่เผยสีหน้าผิดปกติใดๆ ออกมาเลยสักนิด
ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองและหญิงสาวผมสีม่วงเห็นเช่นนั้น ย่อมรั้งเอาไว้ตามมารยาท เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่มีเจตนาจะอยู่ต่อ ก็ส่งพวกเขาที่หน้าประตูห้องโถง แล้วออกคำสั่งให้ศิษย์ตระกูลไป๋พาทั้งสองไปส่งด้านนอกป้อมปราการ แล้วถึงได้กลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง
ยามนี้หานลี่ที่อยู่ในห้องโถงพลันลิ้มรสชาวิญญาณที่อยู่ในมือเงียบๆ
“พี่หาน เจ้าช่างใจเย็นนัก! ยามนี้สหายมังกรไม้และสหายหันฉีจื่อก็ไม่อยู่แล้ว หรือว่าไม่กลัวว่าพวกเราพี่น้องจะผิดคำพูดเรื่องสมบัติสามชิ้นนั้นหรือ” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองเห็นท่าทางของหานลี่ ก็กลอกตาไปมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“หากพี่ไป๋ขี้เหนียวเช่นนั้นจริง เกรงว่าตระกูลไป๋คงไม่อาจเดินมาถึงขั้นนี้ได้” หานลี่ได้ฟังก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยว กลับฉีกยิ้มขณะตอบกลับ
“หึๆ คำนี้นับว่าไม่ผิด หากตระกูลไป๋ผิดสัญญาแค่เพราะสมบัติอาคม จะยืนหยัดอยู่ในเมืองฮ่วนเย่ได้อย่างไร น้องห้าเจ้าพาพี่หานไปเลือกสมบัติสามชิ้นที่คลังของพวกเราเถิด ไม่ว่าจะเป็นสมบัติชนิดใด ขอแค่เข้าตาสหายหานก็นำออกมา” ชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองโบกมือแล้วเอ่ยอย่างใจกว้าง
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ พี่หานตามข้ามาเถิด” หญิงผมสีม่วงตอบรับ แล้วฉีกยิ้มให้กับหานลี่
หานลี่ไม่ได้เกรงใจ คารวะชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองเล็กน้อย แล้วเดินตามหญิงสาวผมสีม่วงออกไปทางประตูข้าง
ภายในห้องโถงจึงเหลือเพียงชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองคนเดียว
หลังจากที่ชายร่างใหญ่มองเงาแผ่นหลังของหานลี่หายไปจากประตูด้านข้างแล้ว ใบหน้าที่เดิมประดับไปรอยยิ้มก็ลดลงสองสามส่วน และเผยสีหน้าครุ่นคิดขณะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักของห้องโถง จากนั้นถึงได้สั่นศีรษะ ใช้น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“น่าเสียดายจริงๆ หากรู้ว่าวิญญาณมารตนนั้นจัดการได้ง่ายเช่นนี้ คงไม่จำเป็นต้องรับปากว่าจะตอบแทนให้หนักเพียงนี้ ทว่าโชคดีที่เรื่องราวของสายแร่นับว่าแก้ไขได้แล้ว ความเสียหายนี้ไม่นานก็เรียกคืนกลับมาได้”
……
ครึ่งเค่อต่อมาหานลี่ก็มาปรากฏตัวที่ด้านหน้าเจดีย์ลับที่มีเขตอาคมคุ้มกันเอาไว้
ด้านนอกเจดีย์มีลูกศิษย์หัวกะทิของตระกูลไป๋อย่างน้อยสิบกว่าคนรักษาการณ์อย่างเปิดเผยและลับๆ อยู่
ทว่าภายใต้การนำทางของหญิงสาวผมสีม่วง หานลี่ย่อมเข้าไปในห้องโถงชั้นหนึ่งของเจดีย์ได้โดยไร้ซึ่งการขัดขวาง
สองฝั่งของเจดีย์ยังมีรูปสลักแกะสลักสัมฤทธิ์หน้าตาเหมือนภูตผีแปดตน ตั้งตระหง่านด้วยท่าทีดุดันอยู่ทั้งสองฝั่ง
จากกลิ่นอายจางๆ ที่แผ่ออกมาจากรูปสลัก เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นผู้คุ้มกันอีกกลุ่มหนึ่ง
และตรงกลางรูปสลักทั้งสองฝั่ง กลับมีชั้นไม้ยาวๆ สิบกว่าชั้นเรียงราวอยู่ บนชั้นมีลำแสงสีสันต่างๆ เปล่งแสงเรืองๆ แยกออกเป็นอาวุธมารและวัตถุดิบรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ ยังมีกล่องหยกกล่องไม้ขนาดน้อยใหญ่ แม้กระทั่งขวดต่างๆ
หญิงสาวผมสีม่วงยืนอยู่ตรงทางเข้า ไม่ได้เข้าไปในห้องโถง ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม โจมตีไปยังรูปสลักสัมฤทธิ์แปดตนที่อยู่ทั้งสองฝั่ง แล้วอ้าปากพ่นหยกสีม่วงออกมา
เมื่อหญิงสาวชี้ไปที่หยกแผ่นนี้ ก็พุ่งไปที่ห้องโถง แล้วส่งเสียงอึกทึกพลางจมหายไปกลางอากาศ
ครู่ต่อมาห้องโถงก็สั่นเทา ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นที่แต่เดิมปกคลุมห้องโถงเอาไว้พลันสลายออก
“พี่หานที่นี่คือคลังสมบัติตระกูลไป๋ของพวกเรา เจ้าเลือกสมบัติในนี้มาสามชิ้นเถิด” หญิงสาวผมสีม่วงสลายอาคมในมือ แล้วหันมาเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มบางเบา
“เช่นนั้นผู้แซ่หานก็ไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่กวาดสายตาไปในห้องโถงแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
จากจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งและประสบการณ์อันเฟื่องฟูของเขา การกวาดสายตาไปเมื่อครู่ก็รู้ประวัติความเป็นมาและประโยชน์ของสมบัติที่อยู่ในนั้นได้คร่าวๆ แล้ว ส่วนที่เหลือต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกที เป็นสิ่งที่เขาเคยเห็นครั้งแรก จึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
หานลี่พลิ้วกายเดินมาอยู่หน้าโต๊ะไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก ยกมือขึ้นหยิบวัตถุดิบที่ดูเหมือนท่อนไม้ที่วางอยู่ด้านบนลงมาพิจารณาอย่างละเอียด
หญิงสาวผมสีม่วงยืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ได้เอ่ยปากอธิบายหรือเตือนสติอันใด เห็นได้ชัดว่าสมบัติสามชิ้นนี้ล้วนให้หานลี่เป็นคนเลือกเอง นางจะไม่ให้คำแนะนำใดๆ
หลังจากที่หานลี่ดูวัตถุดิบในมือเรียบร้อยแล้ว ก็วางกลับไปด้วยสีหน้าราบเรียบ และไม่สนใจของอื่นๆ ที่อยู่บนชั้นไม้อีก เดินไปที่อีกชั้นหนึ่ง และหยิบกล่องหยกที่มียันต์วิเศษสองสามแผ่นปิดผนึกเอาไว้ขึ้นมา
ผิวของกล่องหยกมีฉลากอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีลำแสงสีเงินแผ่ออกมารางๆ
หานลี่กวาดตามองฉลากบนกล่องหยกแวบหนึ่ง และใช้จิตสัมผัสตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง พลางเก็บของชิ้นนี้เข้าไปในกำไลเก็บของด้วยไม่ได้ปริปาก
หญิงสาวผมสีม่วงที่อยู่ตรงปากประตูเห็นการกระทำของหานลี่ ก็อดที่จะเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมาไม่ได้
และในยามนี้หานลี่ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าขวดขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง เปิดฝาขวดออกดมสองครั้ง ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลออกมา แต่สุดท้ายก็วางกลับที่เดิม
เช่นนั้นหานลี่พลันมองไปทางซ้ายทีขวาที เดินผ่านชั้นไม้กว่าครึ่ง แต่กลับไม่ได้ลงมือหยิบสิ่งใดขึ้นมา
นี่จึงทำให้หญิงสาวผมสีม่วงแววตาฉายแววตกตะลึง ถึงอย่างไรเสียในสายตาของนางสมบัติสองสามชิ้นบนชั้นไม้มูลค่าของมันก็ไม่ด้อยไปกว่าของที่อยู่ในกล่องหยกที่หานลี่เพิ่งหยิบไปเลยสักนิด
ระหว่างที่เดินอย่างแช่มช้า ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ก็เดินมาถึงชั้นไม้สองแถวสุดท้าย และหยุดอยู่หน้าสิ่งหนึ่งพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี และจ้องเขม็งไปที่สิ่งนั้นไม่วางตา
นั่นคือแร่ศิลาขนาดเท่าศีรษะก้อนหนึ่ง เป็นสีดำขาวเปล่งแสงเย็นเยียบออกมา
เป็นทองคำมารประหลาดที่หานลี่เคยพบยามที่อยู่ในเมืองเซวี่ยยา แต่แค่ขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้าเป็นสิบเท่า
หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ รัศมีสีเขียวม้วนวนออกมาชั่วขณะนั้นบนชั้นไม้พลันว่างเปล่า
หญิงสาวผมสีม่วงที่อยู่ตรงปากประตูเห็นสถานการณ์นี้ แววตาคู่งามพลันฉายแวววาววับ ใบหน้างดงามอดที่จะเปลี่ยนเป็นประหลาดใจไม่ได้
แม้ว่าทองคำมารประหลาดขนาดใหญ่เช่นนี้จะนับว่าหายาก แต่เทียบกับสมบัติอื่นๆ ในคลัง กลับแทบจะเป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่าต่ำต้อยที่สุด
หานลี่เป็นจอมมารลึกลับในสายตาของนาง คาดไม่ถึงว่าจะเอาสิ่งนี้ไป ช่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางจริงๆ