แขนข้างนั้นขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นฝ่ามือสีทองข้างหนึ่ง ตะปบไข่มุกผลึกเอาไว้ในมือ
นิ้วทั้งห้าเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ อักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากฝ่ามือ ชั่วพริบตาก็ปกคลุมไข่มุกผลึกเอาไว้อย่างแน่นหนา กลายเป็นลูกลำแสงสีทองลูกหนึ่ง
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้หานลี่ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา ปลายนิ้วมีเส้นไหมผลึกบางๆ พ่นออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในลูกสีทอง
ครู่ต่อมาไล่ไปตามเส้นไหมผลึก ไอสีเทาขาวบางเบาทะลักออกมาจากลูกสีทอง ถูกพลังไร้รูปร่างกักเอาไว้ แล้วถูกหานลี่ดูดเข้ามาอยู่ในมือ
เวลาต่อจากนี้หานลี่พลันหลับตาทั้งสองข้าง เริ่มฝึกฝนพลังวิเศษอย่างเงียบๆ
ร่างกายในยามนี้มีลำแสงสีทองไหลวนโคจร ในเวลาเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายเดี๋ยวแข็งแกร่งเดี๋ยวอ่อนแอออกมา เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้ายินดี เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้ว่าพลังปราณในร่างแข็งแกร่งขึ้น
“ไม่เลว พลังงานเหมือนกับทองคำมารประหลาดก้อนนั้นทุกระเบียบนิ้ว เช่นนั้นขอแค่หาทองคำมารประหลาดชนิดนี้ได้มากกว่านี้ การจะทำให้พลังปราณเพิ่มขึ้นจากระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายไปอยู่ในระดับมหายานก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นี่จะลดเวลาฝึกฝนอย่างหนักไปได้พันปีเศษ ดูแล้วหากมีโอกาสคงต้องไปทะเลสาบน้ำตกสีน้ำเงินดูสักครั้ง” หานลี่เอ่ยพึมพำเสียงเบา สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
ครุ่นคิดชั่วครู่ หานลี่พลันชูนิ้วขึ้นตรงหน้า
ปลายนิ้วเปล่งแสงสว่างวาบ ไอสีเขียวถูกบีบออกมาอย่างเงียบเชียบ ลอยพลิ้วอยู่บนปลายนิ้ว
“เจ้าสิ่งนี้ตามออกมาด้วยดังคาด ดูแล้วมีเพียงต้องสิงอยู่ในร่างของทารกมารเพื่อปิดผนึกต่อ” หานลี่สั่นศีรษะ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทว่าไอสีเทาขาวที่เขาหลอม เป็นแค่หนึ่งในสิบส่วนของพลังที่แฝงอยู่ในไข่มุกผลึกเท่านั้น หากหลอมพลังทั้งหมดในลูกผลึก ก็เพียงพอจะทำให้พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นเหลือเฟือ เป็นเรื่องน่ายินดีที่น่าตกตะลึง
แต่เพื่อความระวังหานลี่ไม่ได้คิดจะหลอมทั้งหมดในรวดเดียว แต่ติดจะใช้เวลาสิบกว่าวันหลอม ทุกครั้งจะหลอมทีละนิดๆ เพื่อให้ระดับมั่นคง
และหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังปราณเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป จนเกิดผลข้างเคียงอันใดที่ยังไม่รู้มาก่อน
ถึงอย่างไรเสียครั้งนี้ก็ได้มามากกว่าครั้งที่แล้วสิบเท่า
หลังจากที่หานลี่ตัดสินใจแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อ ยันต์สีทองเงินสิบกว่าแผ่นบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วแปะอยู่บนลูกลำแสงสีทอง ผนึกเขาเอาไว้
จากนั้นเขาพลันหยิบขวดสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกออกมาพลิ้วไหวเล็กน้อย พ่นรัศมีลำแสงห้าสีออกมาม้วนลูกสีทองเข้าไปข้างใน
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา หลังจากเก็บขวดเล็กไปแล้ว ก็วางสองมือลงบนหัวเข่า แล้วเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง
สิบวันต่อมาหานลี่ไม่ได้ออกจากเจดีย์แม้แต่ก้าวเดียว ในที่สุดก็หลอมพลังในลูกผลึกจนหมด ทำให้พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น
สองสามวันต่อมาหานลี่กลับเริ่มเข้าออกเมืองฮ่วนเย่ และรวบรวมคัมภีร์และสิ่งที่มีขายเฉพาะในเมืองฮ่วนเย่ ส่วนเจดีย์หมื่นทาส เขากลับวิ่งไปแล้วสองสามรอบ สุดท้ายก็ซื้อเคล็ดวิชาลับการหลอมหุ่นเชิดผลึกมารชุดหนึ่งมาจากสองเผ่ามารระดับหลอมสุญตาที่นั่งบัญชาการเจดีย์อยู่
ด้วยเหตุนี้หานลี่ไม่เพียงเอาอาวุธมารระดับสุดยอดออกมาสองสามชิ้น แต่ยังเสียศิลามารจำนวนมากจนทำให้ตัวตนระดับจอมมารเจ็บปวด
แต่เช่นนี้หานลี่กลับเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
เทียบเคล็ดวิชาหลอมหุ่นเชิดชนิดนี้กับการหลอมหุ่นเชิดแดนวิญญาณแล้วย่อมไม่เหมือนกัน
หุ่นเชิดผลึกมารเหล่านี้ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสสิงสู่เพื่อกระตุ้น แต่ใช้เขตอาคมที่วางไว้เสร็จแล้วในหุ่นเชิดและสิ่งยืนยันมากระตุ้นการเคลื่อนไหว เช่นนี้ขอแค่หลอมตัวหุ่นเชิดให้แข็งแกร่ง ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำก็สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เสียจิตสัมผัสที่ต้องแยกไปควบคุมมันเท่าใดนัก แม้กระทั่งมารระดับต่ำก็ยังสามารถควบคุมกองทัพหุ่นเชิดได้อย่างง่ายดาย
ยามที่หานลี่รู้เรื่องนี้จะตกตะลึงแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเรื่องราวต่างๆ ในโลกไม่ได้สวยงาม หุ่นเชิดผลึกมารทำให้ผู้คนใจเต้น แต่จุดบกพร่องก็มีไม่น้อยเช่นกัน
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจิตสัมผัสไม่อาจควบคุมไม่ได้ หุ่นเชิดชนิดนี้ทำได้เพียงอาศัยแกนของเขตอาคมมาทำการออกคำสั่งง่ายๆ ไม่อาจออกคำสั่งที่ซับซ้อนเกินไปได้
และเพราะจุดบกพร่องข้อนี้การโจมตีของหุ่นเชิดผลึกมารจึงอานุภาพน้อยกว่าหุ่นเชิดระดับเดียวกันของแดนมนุษย์ไม่น้อย
ประการที่สองคือการหลอมแกนกลางควบคุมหุ่นเชิดนั้นยุ่งยากมาก และยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบที่ใช้ก็หายากมาก ดังนั้นต้นทุนจึงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะแบกรับได้ ยิ่งเป็นหุ่นเชิดผลึกมารระดับสูง ราคาในการสร้างก็ยิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
สิ่งที่ทำให้หานลี่กลัดกลุ้มก็คือเสียเงินจำนวนมากขนาดนี้แลกเคล็ดวิชาหลอมหุ่นเชิดมาจากเจดีย์หมื่นทาส มันเป็นแค่เคล็ดวิชาหลอมหุ่นเชิดระดับต่ำและกลางเท่านั้น ว่ากันว่าสำหรับเผ่ามารระดับหลอมสุญตาที่นั่งบัญชาการเจดีย์หมื่นทาสในเมืองฮ่วนเย่ เคล็ดวิชาหลอมหุ่นเชิดผลึกมารระดับสูงอยู่ในมือของอาวุโสระดับจอมมารสองสามตนที่อยู่ในระดับสูงที่สุดของเจดีย์หมื่นทาส ไม่มีทางแพร่งพรายออกมาภายนอกเลยสักนิด
แม้กระทั่งหุ่นเชิดผลึกมารระดับสูงสองสามชนิด เจดีย์หมื่นทาสก็เอาออกมาขายภายนอกน้อยมาก
นี่ทำให้หานลี่รู้สึกเสียดายเล็กๆ
หานลี่ไม่ได้สนใจหุ่นเชิดผลึกมารระดับสูงนัก หากไม่ได้จำนวนที่แน่นอน ก็ไม่มีส่วนช่วยเขาในยามนี้มากนัก นั่นเป็นสาเหตุที่เขายอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อเจดีย์แห่งนี้ แค่อยากใช้มันยืนยันเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของตนเอง ดูว่าจะเข้ากันได้หรือไม่ ทำให้เคล็ดวิชาหุ่นเชิดเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
หานลี่กักตนไม่ยอมออกมา แล้วเริ่มเรียนรู้อย่างหนัก
ช่วงเวลานี้เขาหลอมหุ่นเชิดผลึกมารระดับต่ำ เพื่อยืนยันระดับความรู้ที่ตนเองเรียนมา นับว่าได้ประโยชน์ไม่น้อย
วันนี้เขาอยู่ในเขตอาคมต้องห้ามชั้นบนสุดของเจดีย์ กำลังทดลองกระตุ้นหุ่นเชิดผลึกมารสี่แขนตนหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็มีเสียงร้องต่ำๆ ดังมา ลำแสงสีขาวดวงหนึ่งบินออกมาจากบั้นเอว เปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่ตรงหน้า และกลายเป็นสิ่งที่รูปร่างเหมือนผ้าไหม
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ยกมือขึ้นชี้ไปที่ผ้าไหม ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งจมหายเข้าไปข้างใน
ครู่ต่อมาผ้าไหมก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ผิวมีตัวอักษรเล็กๆ สีเงินปรากฏขึ้นแถวขึ้น
หานลี่กวาดสายตาผ่านไป ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นกวักเรียก
ชั่วขณะนั้นผ้าไหมพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวบินเข้ามาในแขนเสื้อ ส่วนหานลี่ก็หันกายเดินลงจากเจดีย์ทันที
ภายในห้องโถงชั้นหนึ่งของเจดีย์ จูกั่วเอ่อร์ถือคัมภีร์หนังอสูรสีแกมเหลืองอยู่ม้วนหนึ่ง กำลังตั้งสมาธิเพ่งดูอันใดสักอย่างอยู่ เมื่อเห็นหานลี่ลงมาจากบันได ก็หยัดกายลุกขึ้นมาคารวะด้วยความตกตะลึงทันที แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“นายท่านมีเรื่องอันให้บ่าวไปทำหรือ”
“สองสามวันมานี้มีใครมาเยี่ยมข้าหรือไม่” หานลี่เอ่ยปากถามส่งๆ
“ไม่มี! ช่วงนี้ข้าเอาแต่เฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่มีอาวุโสท่านใดมาเยี่ยมนายท่านเลย” จูกั่วเอ๋อร์ตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“อ่า เข้าใจแล้ว ไม่มีอันใด เจ้าอยู่ที่นี่ต่อเถิด ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย!” หานลี่พยักหน้าอย่างราบเรียบ ไม่รอให้สาวน้อยเอ่ยอันใดอีก พลันสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากประตูใหญ่
จูกั่วเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ ยังคงมีท่าทีงุนงง
ส่วนหานลี่พลันเปล่งแสงสว่างวาบเดินออกมาจากเจดีย์ หลังจากนั้นไม่นานก็ขวางรถอสูรคันหนึ่งบนถนน แล้วพุ่งตรงออกนอกประตูเมืองไป
สองสามชั่วยามต่อมาหานลี่พลันควบคุมลำแสงหลีกหนีมาปรากฏเหนือเนินเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองฮ่วนเย่ไปสองสามร้อยลี้ แล้วมองไปด้านล่าง
เห็นเพียงหมอกสีขาวห่อหุ้มภูเขาทั้งลูกเอาไว้ คนปกติไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านล่างม่านหมอกได้
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้กลับพ่นลมหายใจออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลงและยกมือขึ้น ลำแสงสายหนึ่งบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงเข้าไปในม่านหมอกด้านล่าง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่กลางภูเขาด้านล่างก็มีเสียงราบเรียบของบุรุษดังขึ้น
“เป็นสหายหาน ข้าน้อยจะเปิดเขตอาคม ให้สหายเข้ามา”
ผู้พูดดูเหมือนว่าจะยืนยันฐานะของหานลี่แล้ว ชั่วขณะนั้นม่านหมอกบางๆ พลันแยกออก เผยทางเดินสายหนึ่งออกมา
หานลี่ได้ยินเสียงคนพูดก็หน้าเปลี่ยนสี ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวจมหายเข้าไปข้างใน
หลังจากที่ม่านหมอกตรงหน้ารางเลือนสลายหายไป ร่างของหานลี่ก็มาปรากฏเหนือยอดเขา
บนหินภูเขาสองก้อนที่ค่อนข้างสะอาดซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก มีคนสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
หนึ่งในนั้นมีใบหน้าสีทองอ่อน สวมชุดคลุมสีดำ นั่นก็คือบรรพชนตระกูลหล่งและอาวุโสแซ่ฮุยอีกคนหนึ่งของตระกูลหล่ง
ทว่ายามที่หานลี่กวาดสายตาไปที่สองคนนั้น ดวงตาทั้งสองกลับอดที่จะหรี่ลงไม่ได้
บรรพชนตระกูลหล่งยังพอว่าแค่หน้าซีดขาวเล็กน้อย และส่งยิ้มให้กับหานลี่ แต่ชายชราแซ่ฮุยผู้นั้นกลับมีไอสีดำอยู่บนใบหน้า ท่าทางไร้เรี่ยวแรง และยิ่งไปกว่านั้นยังแขนขาดไปข้างหนึ่ง
“เหตุใดสหายฮุยถึงมีสภาพเช่นนี้ หรือว่าทั้งสองพบกับศัตรูระหว่างทาง” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว อีกเดี๋ยวผู้แซ่หล่งจะอธิบายให้พี่หานฟังอย่างละเอียด ข้าอยากถามพี่หานก่อน ยามนี้ผู้ที่มาถึงเมืองฮ่วนเย่คงไม่ได้แค่พี่หานคนเดียวสินะ” บรรพชนตระกูลหล่งหัวเราะอย่างขมขื่น แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าราบเรียบพลางเอ่ยถาม
“ในเมื่อพี่หล่งใช้สมบัติเรียกแล้ว หากยังไม่มีคนอื่นมาละก็ กว่าครึ่งคงเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยโรงเตี๊ยมในเมืองที่ข้านัดไว้ก่อนหน้าก็ไม่พบกับผู้ใด” หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเอ่ย
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็รออีกเดี๋ยวเถิด ถึงอย่างไรก็เสียเวลาไม่มาก” บรรพชนตระกูลหล่งลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
หานลี่ได้ยินพลันพยักหน้าไม่ได้มีเจตนาปฏิเสธ และหาก้อนหินอีกก้อนพลางนั่งลง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี ชูคอขึ้นกวาดตามองไปกลางอากาศ รูม่านตาเปล่งแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ดูเหมือนจะมีสหายคนอื่นมาแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นสหายท่านไหน”
บรรพชนตระกูลหล่งได้ยินก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย จ้องเขม็งไปที่ม่านหมอกที่อยู่สูงขึ้นไปเช่นกัน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่กลางอากาศก็มีเสียงไพเราะของสตรีดังขึ้น
“ด้านล่างคือสหายท่านไหน น้องมาสายแล้ว หวังว่าจะไม่ถือสา!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ นั่นก็คือบรรพชนตระกูลเยี่ยที่มีรูปร่างเหมือนเด็กสาวผู้นั้น!
บรรพชนตระกูลหล่งได้ยินเสียงนี้ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา มือหนึ่งร่ายอาคม ม่านหมอกกลางอากาศแยกออกอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นรัศมีลำแสงก็ร่อนลงมาจากกลางอากาศ