ทว่าถึงอย่างไรเสียบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่มีอายุอานามหลายปีคนหนึ่ง ชั่วพริบตาที่เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด ก็สัมผัสถึงความผิดปกติในร่างทันที ทันใดนั้นก็กัดปลายลิ้น อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา
ครู่ต่อมาพลังอาศัยพลังความเจ็บปวด สติสัมปชัญญะก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่สายตาที่มองหญิงสาวชุดขาวกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวราวกับกำลังมองแมงป่องพิษ
“พลังของมหายาน เจ้าคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามาร!”
แม้ว่าบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงจะสูญเสียพลังปราณไปจำนวนมาก แต่จิตสัมผัสยังคงแข็งแกร่งดังเก่า แต่เมื่อปะหน้ากับหญิงสาวชุดขาวก็ได้รับอิทธิพลของอีกฝ่าย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวตนระดับผสานอินทรีย์จะทำได้ เขาย่อมเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากพบหน้าที่สุดในแดนมารได้ทันที
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์! ก็พอจะนับได้ ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า หากเจ้ายินยอมร่วมมือ ข้าจะให้เจ้าตายอย่างไร้ซึ่งความเจ็บปวด และมีโอกาสกลืนคืนสู่วัฏสงสาร หากไม่ยอมข้าก็จะใช้วิธีพิเศษทำให้จิตวิญญาณของเจ้าแหลกสลายหายไป” หญิงสาวชุดขาวย่อมเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาที่ติดตามหานลี่และพวกมาโดยตลอด ยามนี้กำลังเอ่ยถามบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างราบเรียบ
“ในเมื่ออยู่ในเงื้อมมือของท่านอาวุโสแล้ว ผู้แซ่หลินก็ไม่มีอันใดต้องขัดขืนอีก ท่านอาวุโสถามมาเถิด” ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหลินมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส สุดท้ายถึงได้หัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย
“เจ้ารู้จักวางตัวเป็นอย่างมาก ยามนี้เปิดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเถิด” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาหัวเราะน้อยๆ ออกมา พริบตานั้นรอยยิ้มก็ทำให้บุปผาไร้สี แต่ทันใดนั้นก็ยกนิ้วเรียวขึ้นชี้ไปที่บุรุษในต้นบุปผา
เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น!
ลำแสงวิญญาณสีชมพูดีดตัวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นดอกพิศวงลำแสงดอกหนึ่งจมหายเข้าไปในศีรษะของบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิง
บุรุษพลันหน้าเปลี่ยนสี หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วล้มเลิกความคิดต้านทาน พลางเปิดจิตวิญญาณดั้งเดิมออก
เขาในยามนี้ทำได้เพียงเดิมพันด้วยฐานะของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารผู้นี้ว่าจะไม่ผิดคำพูดกับเขา และให้โอกาสเขาได้กลับคืนสู่วงจรวัฏสงสาร
ครู่ต่อมาดวงตาทั้งสองข้างบุรุษพลันแข็งค้าง แววตาเปลี่ยนเป็นมืดมน หน้าผากมีลายมารสีชมพูปรากฏขึ้นสองสามสาย และมีลำแสงวิญญาณประหลาดกะพริบเรืองๆ
ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ที่อยู่ด้านข้างมองเห็นสถานการณ์ของบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หญิงสาวชุดขาวก็เลิกคิ้วดำขลับ มือหนึ่งร่ายอาคมอย่างไร้ซึ่งกลุ่มควัน
บุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงที่เดิมถูกรัศมีลำแสงดอกไม้สีชมพูรัดเอาไว้พลันขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นเปลวเพลิงสีชมพูท่ามกลางเสียงเบาๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นเถ้าถ่านทันที
มีเพียงลำแสงสีขาวที่ไร้ซึ่งอันตรายในเปลวเพลิง สุดท้ายก็ส่งเสียงกรีดร้องแล้วพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปบนที่สูงขึ้นร้อยจั้งเศษ
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาทำเหมือนมองไม่เห็นทุกอย่าง แค่ยื่นมือที่ร่ายอาคมออกไปข้างหน้าและตะปบออกไป
เสียง ‘สวบ’ ดังขึ้น!
ดอกประหลาดสีชมพูลอยออกมาจากเปลวเพลิงแล้วบินไปทางหญิงสาวชุดขาวสุดท้ายก็ร่อนลงในมือของนางอย่างแช่มช้า จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ใบหน้าของหญิงสาวชุดขาวเผยลายมารสีชมพูสองสามสายออกมาเช่นกัน ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายแล้วกลอกไปมาแล้วหลับตาทั้งสองข้างลง
ท่ามกลางลายมารที่เปล่งแสงสว่างวาบ ใบหน้าของหญิงสาวไร้ซึ่งความรู้สึกราวกับว่ากลายเป็นรูปสลักน้ำแข็ง
ส่วนชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำก็เดินสองสามก้าวมาอยู่ข้างกายหญิงสาว และเอาสองมือประสานกันอยู่ด้านข้างอย่างซื่อสัตย์
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เปลือกตาของหญิงสาวกHขยับ แล้วลืมตาคู่งามขึ้นอีกครั้ง พลางเผยแววตาสีดำสนิทราวกับดวงดาวออกมา
“ใต้เท้าเป่าฮวา ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์หรือไม่!” บุรุษเกราะสีดำเห็นเช่นนั้น พลันเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ได้มานิดหน่อย! แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ในที่สุดก็รู้แผนที่พวกเขาเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเพื่อบ่อชำระวิญญาณและดอกบัววิญญาณพิสุทธิ์ นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจจริงๆ!” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาเอ่ยอย่างมีแผนการ
“บ่อชำระวิญญาณ ดอกบัววิญญาณพิสุทธิ์ นั่นคือสิ่งใด ทำให้พวกเขายอมเสี่ยงอันตรายขนาดนี้” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำรู้สึกฉงนขึ้นมา
“ผู้ที่รู้จักสองสิ่งนี้ทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์มีไม่ถึงสิบคน แม้ว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์บางคนก็ยังไม่รู้จัก เจ้าไม่รู้จักก็ไม่แปลกเลยสักนิด” หญิงสาวตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“สองสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างไรถึงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรแดนวิญญาณรีบรุดมาขนาดนี้ คงไม่ธรรมดาสินะ” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลมากนัก แม้ว่าสองสิ่งนี้จะมีความพิเศษสำหรับมนุษย์แดนวิญญาณ แต่สำหรับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา กลับมีแต่อันตรายไม่มีประโยชน์” ดูเหมือนว่าจะมองความคิดของชายร่างใหญ่ออก บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อไม่มีประโยชน์สำหรับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ข้าก็ไม่สนใจอันใด” ชายร่างใหญ่เบะปาก แล้วตอบกลับพลางลูบท้ายทอยไปมา
ยามนี้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวากลับไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ กลับเอ่ยอย่างราบเรียบด้วยแววตาเปล่งประกาย
“ในเมื่อรู้ว่าพวกเขามีเป้าหมายนี้ พวกเขาวางแผนจะไปที่ใด ข้าก็พอจะรู้แล้ว เวลาต่อจากนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องตามเข้าไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวอีก ถึงยามนั้นก็ไปรอยังจุดที่พวกเขาจะไปเลย การกลับมาแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าในครั้งนี้ เดิมก็คิดจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ แล้วไปกับสหายเก่าสักหน่อย ยามนี้หรือดูท่าทางแล้วคงไปได้ไวกว่าเดิม” บรรพชนเป่าฮวาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แววตาฉายแววแปลกประหลาดขณะเอ่ย
“ไม่ว่าใต้เท้าเป่าฮวาจะไปที่ใด ข้าน้อยก็จะขอติดตามไปด้วย” ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำเอ่ยด้วยเสียงอันดังโดยไม่ต้องขบคิด
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา แต่ฉับพลันนั้นก็นึกอันใดได้พลางออกคำสั่ง
“หญิงสาวเผ่ามนุษย์อีกคนหนึ่ง มีประโยชน์กับข้า อีกเดี๋ยวเจ้าพานางไปกับข้า อย่าเพิ่งคร่าชีวิตนาง!”
“ขอรับ!” ชายร่างใหญ่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ค้อมตัวลงตอบรับอย่างรีบร้อน
หญิงสาวชุดขาวพยักหน้า หลังจากที่หันหน้าไปเหลือบมองเมืองฮ่วนเย่อีกครั้ง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า
ชั่วขณะนั้นกลีบดอกสีชมพูก็ปลิวออกมา และหมุนวนกลายเป็นเสาพายุพวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า และมีเสียงพายุสายฟ้าดังแว่วออกมาเป็นระลอกๆ
ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำมองเห็นฉากนี้ก็ตะปบมือไปกลางอากาศทางหลุมดินที่อยู่ใกล้กันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด สองเท้าย่ำไปบนพื้น ร่างกายพลิ้วไหวแล้วเข้าไปในเสาวายุราวกับลูกธนู
หลังจากที่เสียงอึกทึกดังขึ้นในหลุม ร่างเล็กๆ ก็บินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเสาวายุ
นั่นก็คือจูกั่วเอ๋อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว
เสาวายุส่งเสียงดังสนั่น ชั่วขณะนั้นก็ขยายใหญ่แล้วปริแตกออก กระจายเป็นดวงๆ ท่ามกลางลำแสงสีชมพู ไหนเลยจะมีเงาร่างทั้งสามคน
……
ยามพลบค่ำในสองวันให้หลังบนเนินดินที่ไม่สะดุดตาตรงขอบของทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวมีกิ้งก่ามารแปดขาสองตัวกำลังหมอบนิ่งอยู่บนเนินทราย
และบนแผ่นหลังของอสูรมารกลับมีเงาร่างคนสองสายนั่งนิ่งอยู่บนนั้น
หนึ่งในนั้นคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีเขียว อีกคนกลับเป็นชายชราสวมชุดนักปราชญ์คนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหานลี่และนักพรตชรา ‘วิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ของเผ่าวิญญาณ
ทั้งสองนั่งอยู่บนตัวกิ้งก่ามารแปดขาด้วยสีหน้าราบเรียบ และไม่ได้พูดคุยอันใด ราวกับว่ากำลังรออันใดอยู่
พวกเขาสองคนล้วนถูกบรรพชนตระกูลหล่งจัดให้รักษาการณ์อยู่ที่นี่ เพื่อรับมือกับกลุ่มคนอื่นๆ โดยเฉพาะ
ส่วนกิ้งก่ามารสองตัวนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นสองตัวที่หานลี่ได้มาจากตระกูลไป๋
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ทางเมืองฮ่วนเย่ก็มีลำแสงสว่าวงาบ ลำแสงหลีกหนีจางๆ สองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลางพุ่งไปหาหานลี่และพวกทั้งสองคน
หานลี่และนักพรตชราล้วนอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีก็ร่อนลงมาด้านล่าง หญิงสาวสวมชุดขนนก ชั่วขณะนั้นเงาร่างของสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวก็ปรากฏขึ้นบนเนินดิน
หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของคนเหล่านั้นจากนั้นก็เอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม
“เหล่าสหาย ดูแล้วการเคลื่อนไหวครั้งนี้คงราบรื่นสินะ”
“พี่หานดูออกด้วย ตระกูลจ้าวไม่มีจอมมารสองตนนั่งบัญชาการอยู่ เขตอาคมแค่ไหนจะต้านทานการร่วมมือกันของพวกเราได้อย่างไร การเดินทางครั้งนี้ได้กิ้งก่ามารมาแปดตัว นอกจากแบ่งได้คนละตัวแล้ว ยังเหลือว่างอีกตัวด้วย!” หญิงสาวสวมชุดขนนกเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
ดูจากคำพูดของนางเห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายกับการเดินทางก่อนหน้าเป็นอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นก็ดี ยามนี้พวกเราแค่รอให้พี่หล่งและสหายไป๋กลับมาก็พอแล้ว จากอิทธิฤทธิ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายของทั้งสองคน สลัดจอมมารสองตนน่าจะไม่ใช่เรื่องยากอันใด!” หานลี่พยักหน้า มุมปากเปื้อนยิ้มขณะเอ่ย
แต่เมื่อสายตาเหลือบไปมองชายหนุ่มเผ่าวิญญาณนามว่า ‘จื่อสุ่ย’ นั้น ก็อดที่จะขมวดคิ้วในใจไม่ได้
ดูเหมือนว่าไอเย็นเยียบบนเรือนร่างของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณจะหนาแน่นกว่าก่อนหน้าส่วนหนึ่ง
แต่ชายหนุ่มเผ่าวิญญาณพลันมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ไอเย็นเยียบแผ่ออกมาทั่วเรือนกาย ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของหานลี่ เหมือนปัญญาอ่อนและแข็งทื่ออย่างไรอย่างนั้น
“ฮ่าๆ พี่หานไม่ต้องกังวล! ผู้แซ่หล่งและสหายไป๋ชีสลัดจอมมารตระกูลข้าวสองตนนั้นได้แล้ว”
กลางอากาศพลันมีเสียงหัวเราะเบิกบานของบรรพชนตระกูลหล่งดังขึ้น
จากนั้นกลางอากาศพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น บรรพชนตระกูลหล่งที่ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มและเงาลำแสงสีขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นพร้อมกัน
“ที่แท้สหายหล่งก็มาถึงแล้ว ไม่ทราบว่าจอมมารจากตระกูลจ้าวทั้งสองอยู่ที่ใด” หานลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“สหายหานวางใจ! พวกเขาถูกพวกเราล่อเข้าไปในเขตอาคมที่วางเอาไว้ หากไม่ถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนย่อมไม่อาจหลุดออกมาได้” ‘ไป๋ชี’ ที่อยู่ท่ามกลางลำแสงสีขาวตอบกลับอย่างราบเรียบ
“เยี่ยมไปเลย ในเมื่อมากันครบแล้ว ก็เอากิ้งก่ามารแปดขาทั้งหมดออกแล้วออกเดินทางทันทีเถิด!” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ
“คำพูดของพี่หญิงเชียนชิว ก็คือเจตนาของข้า!” หญิงสาวสวมชุดขนนกตระกูลเยี่ยเอ่ยปากสนับสนุน
คนอื่นๆ ย่อมไม่มีความเห็นอันใด เมื่อหญิงสาวชุดขนนกและสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวยกมือข้างหนึ่งขึ้น ชั่วขณะนั้นก็ปล่อยกิ้งก่ามารออกมา
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหล่งทยอยกันพลิกตัวขึ้นขี่อสูรมาร กลุ่มคนจึงบินไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวทันที และหลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็หายวับไปท่ามกลางพายุทรายสีเทา
หนึ่งวันต่อมาท้องฟ้าพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงสีดำสองกลุ่มเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงโลหิตอ่อนๆ ร่อนลงมา หลังจากกะพริบวาบๆ บนเนินดินที่หานลี่และพวกอยู่ก่อนหน้า พลันมีชายชราสวมชุดผ้าไหมร่างกายผ่ายผอมสองคนปรากฏขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง แผ่จิตสังหารสีดำเข้มข้นออกมา
“กลิ่นอายของพวกเขาดูเหมือนจะเคยอยู่ที่นี่ น่าจะเข้าไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวแล้ว” ชายชราคนหนึ่งพิจารณามองรอบๆ แล้วเงยหน้ามองทะเลทรายสีเทาที่อยู่ไม่ไกลนัก พลางเอ่ยด้วยสีหน้าดูไม่ได้