“ดูร่องรอยที่ทิ้งไว้ที่นี่ ดูเหมือนจะมีจำนวนคนไม่น้อย เช่นนั้นข่าวคราวที่ข้าได้รับยามที่ข้าออกจากเขตอาคมของอีกฝ่ายคงจะเป็นความจริง กิ้งก่ามาที่ถูกขโมยไปของตระกูลจ้าวเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้” ชั่วขณะนั้นชายชราอีกคนหนึ่งพลันเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เกรงว่ากว่าครึ่งคงเป็นเช่นนั้น! หากคนเหล่านั้นเป็นพวกเดียวกันกับสองคนนั้น เกรงว่าพลังยุทธ์และอิทธิฤทธิ์คงไม่ใช่ศิษย์ที่ลูกศิษย์ที่เฝ้าอยู่จะต้านทานได้ ดูแล้วตระกูลจ้าวคงจะเป็นเป้าของเขาตั้งนานแล้ว การเคลื่อนไหวของพวกเราเมื่อคืนคือการถูกล่อให้ออกจากป้อมปราการตระกูลจ้าว กิ้งก่ามารสองสามตัวนั้นถึงเป็นเป้าหมายหลักของพวกเขา มิเช่นนั้นคงไม่หนีเข้าไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวได้รวดเร็วเช่นนี้” ชายชราที่เอ่ยปากคนแรก ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
“โจรเหล่านี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะกล้าทำกับตระกูลจ้าวของพวกเรา ไม่อาจปล่อยไปได้ ความแค้นครั้งนี้ต้องชำระ! มิเช่นนั้นจากนี้ตระกูลจ้าวของพวกเราจะยืนหยัดอยู่ในเมืองฮ่วนเย่ได้อย่างไร!” ชายชราอีกคนหนึ่งพลันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเอ่ย
“ล้างแค้น เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย สองคนที่ล่อพวกเราออกมา แม้ว่าจะเผยพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาออกมา แต่เกรงว่าคงไม่ใช่พลังยุทธ์ที่แท้จริงของพวกเขา” ชายชราที่เอ่ยปากก่อนกลับสั่นศีรษะขณะเอ่ยตอบ
“ความหมายของพี่คือสองคนนั้นคือตัวตนระดับจอมมาร มิน่าล่ะคนที่บุกเข้ามาในตระกูลจ้าวของพวกเราก็มีพลังยุทธ์ไม่แตกต่างกัน! หากเป็นเช่นนั้นมิน่าล่ะถึงมองว่าป้อมปราการตระกูลจ้าวของพวกเราไม่มีสิ่งใด คาดไม่ถึงว่าจะกล้าสนใจกิ้งก่ามาร แต่ในเมืองฮ่วนเย่ของพวกเรามีตัวประหลาดเท่ากลุ่มหนึ่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่มีข่าวคราวเลย” ชายชราอีกคนหนึ่งได้ยินพลันครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
“เรื่องนี้พูดยาก! เจ้าสองคนนั้นเป็นพวกเดียวกัน บางทีอาจจะเป็นแค่ลูกน้องของพวกเขาเท่านั้น ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น แค่สองคนนั้นพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าเจ้ากับข้า และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็เข้าไปในส่วนลึกของทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวแล้ว อาศัยเพียงพลังของตระกูลจ้าว เกรงว่าคงหาความยุติธรรมคืนมาได้ยาก ส่วนข่าวที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลยนั้น กลับไม่แปลกใจเลยสักนิด พวกเขาอาจจะปกปิดพลังยุทธ์และใบหน้าที่แท้จริงของตนเองเอาไว้ หรือบางทีอาจจะอยู่นอกเมืองไม่เคยเข้ามาในเมืองฮ่วนเย่มาก่อน” ชายชราที่เอ่ยปากคนแรกกลับครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น
“คิดจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ” ชายชราอีกคนหนึ่งเอ่ยพร้อมกับเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาอีกครั้ง
“จากข่าวที่ได้รับมาสองคนนั้นไม่ได้เปิดฉากสังหารที่ป้อมปราการตระกูลจ้าว แค่ฆ่าปิดปากลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับความสำคัญสองสามตนเท่านั้น แม้ว่ากิ้งก่ามารสองสามตัวที่สูญเสียไปในครั้งนี้จะสำคัญกับตระกูลจ้าวของพวกเราเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ถึงกับสั่นคลอนรากฐานตระกูลจ้าวของพวกเรา ส่วนปัญหาด้านชื่อเสียงนั้น อีกเดี๋ยวพวกเราก็หาคนมาสังหารทิ้งสักสองสามคนก็พอ ทำว่ามันคือพวกเดียวกันแล้วบอกต่อสาธารณชนก็แล้วกัน” ชายชราคนแรกเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าจะขบคิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว
“ทำเช่นนี้ ไม่เป็นการหลอกตัวเองและผู้อื่นหรือ! โทสะครั้งนี้ข้าทนไม่ไหว” ชายชราอีกคนได้ยินพลันตกตะลึง แล้วกระทืบเท้าพลางเอ่ย
“ทนไม่ไหวก็ต้องทน! เจ้ากับข้าคือที่พึ่งเพียงสองแห่งของตระกูลจ้าว ผู้ใดเกิดเรื่องตระกูลจ้าวก็อาจจะเสื่อมลงได้ เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลจ้าว ก็มีเพียงต้องระงับโทสะนี้ไป ทว่าหากน้องชายระงับโทสะได้ยาก ก็ไม่ต้องให้เจ้ากับข้าลงมือ เราสามารถยืมดาบสังหารคนได้” ชายชราคนแรกกลับเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ยืมดาบสังหารคน” ชายชราที่พูดทีหลังหน้าเปลี่ยนสี เผยสีหน้ามีแผนการออกมา
“ใช่แล้ว เดี๋ยวเจ้ากลับไปติดต่อกับคนของตำหนักจอมอสูร ให้เขาลงมือแทนพวกเรา ส่วนการลงมือล้างแค้นนั้นก็ใช้ศิลามารที่สะสมเอาไว้ในเผ่า แต่บอกไว้ก่อนนะไม่ว่าตำหนักจอมอสูรจะลงมือสำเร็จหรือไม่ ก็จะจ้างแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แม้ว่าคนกลุ่มนั้นจะไม่ได้รับความเสียหาย ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าใช้วิธีการอื่นหาเรื่องพวกเขาอีก! และยิ่งไปกว่านั้นยามที่ติดต่อกับตำหนักจอมอสูร อย่าเปิดเผยฐานะของข้า” ชายชราคนที่หนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“พี่วางใจ ข้ารู้ว่าจะทำอย่างไร หึๆ หากสัตว์ประหลาดฝูงนั้นของเผ่าจอมอสูรลงมือ ต่อให้คนกลุ่มนั้นไม่ตาย แต่ก็หนังหลุดแน่ ต่อให้จ่ายศิลามารก้อนนั้นไป เกรงว่าตระกูลข้าวก็ต้องตึงเครียดระยะหนึ่ง” ชายชราอีกคนพลันตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยอย่างลังเล
“หึ ตัวประหลาดเฒ่ากลุ่มนั้นพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าเจ้ากับข้า และยิ่งไปกว่านั้นประสบการณ์การต่อสู้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เผ่ามารธรรมดาๆ อย่างเจ้ากับข้าจะเทียบเทียมได้ การจ้างวานพวกเขาไปล้างแค้นก็ไม่นับว่าเกินไปนัก ทว่าให้พวกเขาเข้าทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวไปสังหารคนกลุ่มนั้นก็ไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นจริงนัก ทำได้เพียงรอให้พวกเขาออกมาแล้วให้ตำหนักจอมอสูรลงมือ” ชายชราคนแรกแค่นเสียงหึขณะเอ่ย
“เช่นนั้นก็ดี ขอแค่ตำหนักมารอสูรส่งคนไปตรวจสอบเมืองต่างๆ ในละแวกของทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว ก็จะหาร่องรอยของคนกลุ่มนั้นได้ ทว่าไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเข้าไปทำอันใดในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยว และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะออกมา” ชายชราอีกคนหนึ่งเผยสีหน้าโหดเหี้ยมขณะเอ่ย
“ตัดสินใจจะทุ่มเทโลหิตแล้ว มากหน่อยก็ไม่เป็นไร กำหนดเวลาจำกัดภายในร้อยปีเถิด หากคนกลุ่มนี้อยู่ในทะเลทรายไม่ยอมออกมาร้อยปี ศิลามารก้อนนั้นก็นับว่ามอบให้ตำหนักจอมอสูร จะเป็นไรไป ชักช้าไม่ได้แล้วพวกเรากลับเมืองแล้วแยกกันจัดการเถิด” ชายชราคนแรกกวาดสายตาไปยังส่วนลึกของทะเลทรายแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชายชราอีกคนหนึ่งย่อมไม่มีความเห็นอันใดเลยสักนิด
ดังนั้นทั้งสองพลันมีไอมารแผ่ออกมาจากเรือนร่าง กลายเป็นลำแสงสีดำสองดวงพวยพุ่งแหวกอากาศไป แล้วตรงกลับไปยังเมืองฮ่วนเย่
และหลังจากที่หานลี่และพวกเข้าไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวนี้ก็ผ่านไปสี่เดือนเต็มถึงได้มีศิษย์ของตระกูลใหญ่อีกตระกูลของเมืองฮ่วนเย่พากิ้งก่ามารสองสามตนเข้าไปในทะเลทรายอีกครั้งอย่างระมัดระวัง
ยามนี้เป็นเพราะกิ้งก่ามารของตระกูลจ้าวถูกชิงไปจนก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองฮ่วนเย่ และค่อยๆ เงียบสงบลง
หลังจากที่สองจอมมารของตระกูลจ้าวตรวจสอบแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับหานลี่ที่หายตัวไป แต่ก็ไม่มีเครื่องพิสูจน์ แน่นอนว่าจึงไม่ได้พูดอันใดกับคนภายนอก
เช่นนั้นเวลาพลันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปทีละปีๆ เมืองฮ่วนเย่ก็ยังคงเป็นที่มั่นของสี่ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลข้าวในวันนั้นกลับไม่มีคนเอ่ยถึงอีกแล้ว
ชั่วพริบตาเวลาสี่สิบปีก็ผ่านไปแล้ว
วันนี้ตรงขอบที่รกร้างว่างเปล่าในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวก็มีพายุทรายปรากฏขึ้น พายุหมุนสีเทาพุ่งไปยังขอบฟ้า ราวกับว่าจะทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นทะเลพายุหมุน ภายใต้ความขมุกขมัวนั้นจึงไม่อาจมองเห็นสิ่งใดท่ามกลางพายุได้
ฉับพลันนั้นกลางพายุหมุนก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น อสูรมารขนาดยักษ์สองสามตัวกระโดดออกมา และร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง
ท้องของอสูรมารเหล่านี้มีขาสั้นๆ แปดขา ราวกับกิ้งก่ายักษ์ที่ใหญ่ขึ้นสิบกว่าเท่า แต่ทุกตัวล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นผง ด้านบนมีเงาร่างคนนั่งอยู่เก้าคน
นั่นก็คือหานลี่และพวกที่ออกจากเมืองฮ่วนเย่เข้าไปในทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวยี่สิบสามสิบปีก่อน
ทว่ากิ้งก่ามารสิบตัวนั้นผ่านการเดินทางระยะยาว ยามนี้จึงเหลือเพียงห้าตัว คนกว่าครึ่งทำได้เพียงนั่งกันคนละตัว
ดูจากสีหน้าหานลี่และบรรพชนตระกูลหล่งยังเหมือนกับยี่สิบสามสิบปีก่อนทุกระเบียบนี้ สีหน้าในยามนี้เผยความตื่นเต้นออกมา
“ในที่สุดก็ออกจากทะเลทรายสมควรตายได้แล้ว เจอวิวเดิมๆ มายี่สิบสามสิบปี รับไม่ไหวแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่กักตนไปร้อยปีก็รู้สึกยากจะรับไหวแล้ว” หญิงสาวสวมชุดขนนกพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วฉีกยิ้มเบิกบาน รู้สึกว่าในที่สุดก็หลุดพ้นจากทะเลแห่งความยากลำบากแล้ว
“อยู่ในทะเลทรายยี่สิบสามสิบปีราวกับเร่งเดินทางหนึ่ง เป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นสามมารที่ร้ายกาจของทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวก็แทบจะทำให้พวกเราพบกับเคราะห์ร้ายหลายครั้ง แม้แต่กิ้งก่ามารแปดขากว่าครึ่งก็ไม่อาจรักษาได้” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวที่โดยสารกิ้งก่ามารตัวเดียวกันกับหญิงสาวชุดขนนกกลับเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
วันเวลายี่สิบสามสิบปีไหลผ่านไป ราวกับไม่มีผลกระทบต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิญญาณผู้นี้เลยสักนิด
“ทว่าที่อันตรายที่สุดก็คงเป็นอสูรเงาทรายระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายตัวนั้น คาดไม่ถึงว่าจะตามติดพวกเราไปนานหลายปี และเอาแต่โจมตีเราไม่หยุด หากไม่ใช่เพราะสหายหานสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาสังหารมัน เกรงว่าพวกเราก็คงไม่อาจออกจากทะเลทรายได้ง่ายๆ” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกลับมองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความประหลาดใจ
“ท่านเซียนเชียนชิวเกรงใจเกินไปแล้ว! หากไม่ใช่เพราะสหาย ‘จื่อสุ่ย’ สำแดงอิทธิฤทธิ์พัวพันกับอสูรเงาทรายตัวนั้น ข้าจะมีโอกาสลงมือได้อย่างไร” หานลี่กลับมองชายชราเผ่าวิญญาณที่อยู่ไม่ไกลนักแวบหนึ่ง แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“หึๆ อสูรเงาทรายตัวนั้นลึกลับซับซ้อนมาก หากถูกจัดการแน่นอนว่าย่อมเป็นผลงานของพี่หานและสหายจื่อสุ่ย ยามนี้ในที่สุดพวกเราก็ออกจากทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวแล้ว จากนี้ก็ทำตามแผนที่ปรึกษากันไว้ เริ่มแยกกันปฏิบัติการเถิด” หลังจากเก็บกิ้งก่ามารสองสามตัวนั้นแล้ว บรรพชนตระกูลหล่งกลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะร่า
“ผู้แซ่หานไม่มีความเห็นอื่น!” หานลี่หันไปมองพายุทรายสีเทาเบื้องหลังแวบหนึ่ง แล้วถึงได้พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
หนึ่งปีก่อนพวกเขายังอยู่ในทะเลทรายก็ปรึกษาแผนการที่เป็นรูปธรรมหลังจากออกจากทะเลทรายแล้ว
แม้ว่าทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวจะเลื่องชื่อว่าเป็นแดนอันตรายของเผ่ามารธรรมดาๆ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเขาแล้วมากสุดก็เรียกว่าอันตรายเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งเดียวที่เขากลัดกลุ้มก็คือหนทางหลังจากนี้ เพื่อสังหารอสูรมารที่เชี่ยวชาญการอำพรางกายตัวหนึ่ง การสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของตนเองเพียงเล็กน้อยก็อาจจะมีคนบังเอิญเห็นเข้า
นี่ทำให้พวกบรรพชนตระกูลหล่งและพวกสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวเผ่าวิญญาณยิ่งเกรงใจเขามากกว่าเดิม และหวาดกลัวเขาขึ้นหลายส่วน!
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเพราะท่าทีของคนอื่นๆ เล็กน้อย แน่นอนว่าทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็น
ยามนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวและพวกเองก็ตอบรับเงื่อนไขของบรรพชนตระกูลหล่ง
ดังนั้นพอคนกลุ่มนี้มาที่นี่ ก็แยกออกเป็นสองสามกลุ่มพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่างขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีตรงไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
พวกเขาปรึกษาแผนการอย่างง่ายๆ เพราะกลัวว่าจะมีคนสะกดรอยตาม ระยะทางจากทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวมาถึงทะเลต้นกำเนิดมาร กลุ่มคนก็แบ่งกลุ่มกันปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง
แน่นอนว่าแม้ว่าจะเส้นทางแตกต่างกันแต่เป้าหมายสุดท้ายก็ยังคงเป็นทะเลกำเนิดมาร
แม้ว่าทำเช่นนี้จะทำให้พละกำลังของพวกเขาสลายไป แต่กลับดึงความสนใจเผ่ามารได้ง่ายมากกว่าเดิม อันตรายที่จะพบก็ลดลงจนอยู่ในระดับต่ำสุด