เช้าวันหนึ่งในหนึ่งปีให้หลังบนผิวทะเลกำเนิดมารที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในแดนมาร สำเภายักษ์สีดำเขียวลำหนึ่งที่มีอสูรทะเลราวกับวาฬลากอยู่ กำลังห้อตะบึงไปบนผิวมหาสมุทรสีดำสนิท
กลางอากาศเหนือจากผิวทะเลไปร้อยจั้ง หมอกสีดำหมุนวนเป็นระลอกๆ และมีประจุไฟฟ้าสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด และมีเสียงฟ้าร้องดังแว่วมา
ตรงส่วนหน้าของสำเภายักษ์บุรุษและสตรีกำลังยืนอยู่ตรงรั้วสำเภา และมองอันใดสักอย่างอยู่เบื้องหน้า
“ทะเลกำเนิดมารเลื่องชื่อเรื่องเป็นแหล่งกำเนิดของเผ่ามาร ความเข้มข้นของไอมารสมคำร่ำลือจริงๆ แต่แค่ไอที่ปะปนแฝงอยู่ก็ไม่น้อยเช่นกัน เกรงว่าเผ่ามารทั่วไปคงไม่อาจฝึกฝนอยู่ที่นี่ได้” บุรุษที่มีใบหน้าสีทองอ่อนเอ่ยปากด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“น้องได้ยินมาว่าไอที่ปะปนอยู่น้อยกว่าในอดีตมากแล้ว ว่ากันว่าสองสามล้านปีก่อนนี่คือหนึ่งในเขตต้องห้ามของเผ่ามาร คนทั่วไปไม่อาจเข้าออกตามอำเภอใจได้ ไม่แน่ว่าอีกหน่อยไอที่ปะปนอยู่ก็คงจะสลายหายไปจนหมด ทะเลนี้ก็จะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามาร!” หญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้างดงามเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
สองคนนี้คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบรรพชนเฒ่าตระกูลหล่งและหญิงสาวสวมชุดขนนกจากตระกูลเยี่ย
เห็นได้ชัดว่าหานลี่และพวกมารวมตัวกับคนอื่นๆ อีกครั้งแล้ว และกำลังขับเคลื่อนสำเภาเข้าไปในทะเลกำเนิดมาร
“หึๆ ต่อให้ทะเลผืนนี้มีสิ่งประหลาดอันใดอยู่ พวกเราผ่านประสบการณ์มากมายถึงจะมาถึงที่นี่ได้ ย่อมไม่มีทางล้มเลิกกลางคันแน่ สิ่งเดียวที่คิดไม่ถึงก็คือพลังสายฟ้าของที่นี่แข็งแกร่งนัก แม้แต่เหาะเหินก็ไม่อาจทำได้” บรรพชนตระกูลหล่งตอบกลับด้วยสีหน้าจนปัญญา
“ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีเหาะเหิน แต่ไม่อาจใช้เคล็ดวิชาหลีกหนีเป็นระยะเวลานานได้ ภายใต้การโจมตีของสายฟ้าที่หนาแน่นเช่นนี้ ต่อให้พลังยุทธ์ลึกล้ำแค่ไหนก็ไม่อาจประคับประคองได้นานนัก” หญิงสาวสวมชุดขนนกตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“ไม่ว่าอย่างไร เวลาที่ต้องใช้หาบ่อชำระวิญญาณคงจะยาวนานกว่าที่คิดเอาไว้มาก เบาะแสที่สหายเผ่าวิญญาณทุกท่านนำมามันรางเลือนมาก มีเพียงหาสัญลักษณ์ในน่านน้ำก่อน พวกเราถึงจะมีโอกาสหาเกาะนั้นพบ และจากผืนทะเลกำเนิดมารที่กว้างไกลนี้ ยามนี้ก็คงต้องพึ่งโชคชะตาถึงจะมีโอกาสหาพบในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้แล้ว” บรรพชนตระกูลหล่งถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย
หญิงสาวสวมชุดขนนกได้ยินคำนี้ก็หุบยิ้มบนใบหน้า หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เวลาของพวกเราไม่ได้มีมากนัก เดาว่ายามนี้คงมีขุมอำนาจเผ่ามารที่กำลังจับตามองจอมมารระดับผสานอินทรีย์แปลกหน้าอย่างพวกเราแล้ว หากพวกเขารู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของพวกเรา ปัญหาจะมากมายขนาดไหนแค่คิดก็รู้แล้ว ในทุกๆ เดือนพวกเราต้องเสี่ยงมากขึ้นอีกส่วนหนึ่ง”
“จุดนี้ผู้แซ่หล่งย่อมรู้ดี แต่อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้า พวกเราขึ้นหลังเสือแล้วย่อมลงยาก และยิ่งไปกว่านั้นก็ขาดแค่ก้าวสุดท้าย ไม่ว่าจะกล่าวอันใดก็ต้องกัดฟันทำต่อไป” บรรพชนตระกูลหล่งมีสีหน้าเหยเกยขณะเอ่ย
หญิงสาวสวมชุดขนนกถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง และไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
แต่ยามนี้สายตาของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลหล่งพลันเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามสิ่งที่ทำให้หญิงสาวประหลาดใจออกมา
“ครั้งนี้พี่หานและท่านเซียนมาถึงช้ากว่าพวกเราเดือนกว่า แล้วยังมารวมตัวยังจุดนัดพบตรงเวลา และจากที่ข้าดูแล้วกลิ่นอายของท่านเซียนดูเหมือนจะแตกต่างจากยามที่แยกกัน ดูแล้วสหายคงมีวาสนาอันใดระหว่างทางสินะ หากเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หล่งก็ขอแสดงความยินดีกับท่านเซียนและพี่หานด้วย”
บรรพชนตระกูลหล่งเผยสีหน้ามีเลศนัยออกมา!
“พี่หล่งช่างดวงตาเฉียบแหลมนัก ความเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยของข้า คาดไม่ถึงว่าจะมองออก ทว่าข้าและพี่หานมีวาสนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พี่หล่งและสหายฮุยก็คงได้ประโยชน์มาหลายส่วนสินะ” หญิงสาวสวมชุดขนนกหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครากลับหัวเราะคิกคักออกมา
“ฟังจากคำพูดของท่านเซียน ดูเหมือนจะรู้อันใดบางอย่าง ทว่าวางใจข้าไม่ได้สนใจจะซักถาม แค่เอ่ยไปงั้นๆ!” บรรพชนตระกูลหล่งกลับหัวเราะร่าออกมา
หญิงสาวสวมชุดขนนกมุมปากกระตุก ใบหน้าเผยสีหน้าดูเหมือนจะอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมา
ในเวลาเดียวกันภายในห้องตรงชั้นล่างของสำเภายักษ์ หานลี่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ได้ยินบทสนทนาระหว่างบรรพชนตระกูลหล่งและหญิงสาวสวมชุดขนนกผ่านจิตสัมผัสที่ลึกลับอย่างชัดเจน หลังจากฉีกยิ้มบางๆ ออกมาก็ดึงจิตสัมผัสที่แผ่ออกไปกลับมา เผยแววตาขบคิดออกมา
หนึ่งปีก่อนหลังจากที่เขาและหญิงสาวสวมชุดขนนกได้รับโลหิตเที่ยงแท้หงส์มรกตมา ก็ถูกร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนมาขวางไว้ตรงชายแดนของภูเขาทรายเหล็ก
ผลคือสู้กันฉากหนึ่งหานลี่ที่มีสมบัติวิเศษของหญิงสาวสวมชุดขนนกคอยช่วยเหลือ และอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ของตนเอง ก็ทำให้ร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นได้รับบาดเจ็บหนัก
หลังจากที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลิงหยวนผู้นี้ได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว แม้ว่าต่อมาจะหลุดพ้นจากความลำบากแล้วก็ไม่กล้าไล่ตามต่ออีก ทำได้เพียงกลับไปยังภูเขาทรายเหล็กอย่างจนปัญญา
หานลี่และหญิงสาวสวมชุดขนนกไม่ได้ไล่ตามไป ย่อมเดินทางต่ออย่างยิ่งใหญ่ ส่วนระยะทางจากนี้ของทั้งสองก็ค่อนข้างราบรื่น แม้ว่าจะพบกับปัญหาเล็กๆ ระหว่างทาง แต่ก็ถูกจัดการได้อย่างง่ายดาย
ครึ่งเดือนก่อนทั้งสองก็มารวมตัวกับบรรพชนตระกูลหล่งและเผ่าวิญญาณคนอื่นๆ ตรงท่าเรือของเผ่ามารที่เป็นนัดพบจุดสุดท้าย
แต่หลังจากที่พบหน้ากันหานลี่ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย!
ครั้งนี้บรรพชนตระกูลหล่งและผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ฮุยไม่เป็นไร แต่ ‘อาวุโสจิน’ ของเผ่าวิญญาณกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บรรพชนตระกูลหล่งเองก็ประหลาดใจ หลังจากซักถามเล็กน้อย เผ่าวิญญาณถึงได้ตอบอย่างคลุมเครือว่า ‘อาวุโสจิน’ ประสบอุบัติเหตุ จึงเพลี่ยงพล้ำกลับคืนสู่ต้นกำเนิดวิญญาณแล้ว
ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมชาวเผ่าวิญญาณกลับไม่มีเจตนาจะอธิบายให้ละเอียด
หานลี่และบรรพชนตระกูลหล่งย่อมไม่ได้ซักถามต่อ แต่ในใจย่อมรู้สึกฉงนสงสัย
หานลี่คิดมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วตามความรู้สึก ตรงหน้ามีใบหน้าของชายหนุ่มเผ่าวิญญาณนามว่า ‘จื่อสุ่ย’ ฉายแวบผ่านไป
คนผู้นี้ให้ความรู้สึกแปลกๆ กับหานลี่ หลังจากที่พบหน้ากันครั้งนี้ จิตสังหารที่แผ่ออกมาหนาแน่นมากกลับหายไป เปลี่ยนเป็นเหมือนเผ่าวิญญาณทั่วไป
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าอุบัติเหตุของอาวุโสจินผู้นี้อาจจะเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้
แน่นอนว่าการคาดเดานี้เขาย่อมไม่มีหลักฐานเลยสักนิด แต่ก็อดจะจับตามองชายหนุ่มเผ่าวิญญาณผู้นี้เพิ่มขึ้นหลายส่วนไม่ได้
หานลี่คิดมาถึงตรงนี้ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลง ขบคิดอย่างรวดเร็ว ฉับพลันนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ขวดสีขาวปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามืออย่างเงียบเชียบ
ใช้นิ้วลูบไปบนขวดสองสามครา ใบหน้าอดที่จะฉายแววดีใจขึ้นมาไม่ได้
มีโลหิตเที่ยงแท้หงส์มรกต การแปลงกายด้วยคาถาตื่นจากจำศีลย่อมเพิ่มขึ้นอีกชนิดหนึ่ง และทำให้อานุภาพของการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ส่วนอิทธิฤทธิ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของหงส์มรกตก็คือควบคุมวายุ
ว่ากันว่าร่างจิตวิญญาณเที่ยงแท้นี้ถือกำเนิดท่ามกลางวายุสวรรค์ทมิฬ หากโกรธเกรี้ยวจะปล่อยพายุทมิฬที่พอจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินทลายแคว้นและเมืองได้ เรียกได้ว่าน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!
หานลี่ย่อมสนใจพลังของวายุทมิฬเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้กินโลหิตเที่ยงแท้ไประหว่างทางและหลอมมันทันใดเหมือนกับหญิงสาวสวมชุดขนนก
คาถาตื่นจากจำศีลไม่เหมือนกับเคล็ดวิชาทั่วไป ยิ่งหลอมโลหิตเที่ยงแท้มากเท่าไหร่ ขั้นตอนการหลอมก็ยิ่งยาวนานขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งห้ามรบกวนระหว่างทาง
ดังนั้นเขาตอนแรกเขาจึงตัดสินใจว่ารอให้เรื่องของแดนมารจบลง กลับไปยังแดนวิญญาณจะทำการหลอมโลหิตเที่ยงแท้หงส์มรกตอย่างเป็นทางการ
เขาขบคิดในใจเช่นนี้ ในมือพลันมีลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ขวดเล็กๆ หายวับไปอีกครั้ง
เวลาต่อจากนี้หานลี่ก็เก็บความคิดสับสนวุ่นวาย เริ่มเข้าสู่สมาธิ
วันเวลาผ่านไป เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ สำเภายักษ์สีเขียวดำก็แล่นอยู่บนผิวน้ำจนผ่านไปสามเดือน
หานลี่และพวกแบ่งออกเป็นสองสามกลุ่ม สองคนจะรับหน้าที่ควบคุมหัวสำเภาและตรวจสอบน่านน้ำบริเวณรอบๆ คนอื่นๆ ก็จะนั่งสมาธิอยู่ในห้องโดยสาร
และทุกช่วงระยะเวลาหนึ่งก็จะพบกับอสูรมหาสมุทรที่ไม่รู้จักความเป็นความตายสองสามตัว สำเภายักษ์แล่นไปอย่างราบรื่นไม่ได้พบกับอุปสรรคใหญ่อันใด
แต่น่าเสียดายตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่พบน่านน้ำจากเบาะแสของเผ่าวิญญาณ
วันนี้ถึงเวรหานลี่และสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวควบคุมสำเภายักษ์พอดี
หานลี่ยืนอยู่ตรงหัวสำเภา มองไปยังผิวน้ำที่อยู่ไกลออกไปโดยไม่พูดไม่จา
ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวก็หยิบฟูกที่ทอจากเส้นไหมสีทองขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นั่งลงหลับตาทำสมาธิอยู่ด้านข้างหานลี่ห่างออกไปสองสามจั้ง
ทั้งสองดูเหมือนจะเงียบขรึมเป็นอย่างยิ่ง แต่ล้วนแผ่จิตสัมผัสออกมา ตรวจสอบทุกอย่างบนผิวน้ำในรัศมีหมื่นลี้ไม่หยุด
ฉับพลันนั้นหานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสีแววตาเปล่งประกาย
“ทำไม พี่หานพบอันใดหรือ” สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของระลอกคลื่นจิตสัมผัสของหานลี่ ก็ลืมตาทั้งสองขึ้นมองมาทันที
“ทางซ้าย สามพันลี้!” หานลี่ตอบกลับไม่พูดพล่ามไร้สาระเลยสักนิด
สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวได้ยินก็กวาดจิตสัมผัสไปยังจุดที่ชี้บอกอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใบหน้าของสตรีก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา และเอ่ยกับหานลี่ด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
“ปะการังวานรมาร เหมือนกับที่อธิบายเอาไว้ทุกระเบียบนิ้ว เป็นปะการังก้อนนั้นไม่ผิดแน่ พี่หาน เจ้าเปลี่ยนทิศทางเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเรียกคนอื่นๆ!”
หานลี่ย่อมไม่มีความเห็น หลังจากพยักหน้ามือหนึ่งก็ร่ายอาคมไปทางอสูรมหาสมุทรที่ลากสำเภาอยู่ด้านหน้าทันที
ชั่วขณะนั้นอาคมหลากสีสันก็พุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของอสูรมหาสมุทรเหล่านั้น
อสูรมหาสมุทรสองสามตัวส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา เปลี่ยนทิศทางลากสำเภายักษ์ไปทางซ้าย
ในเวลาเดียวกันสตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวก็ใช้เคล็ดวิชาลับรายงานบรรพชนตระกูลหล่งและพวก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทุกคนก็มาปรากฏตัวที่หัวเรือ และใช้จิตสัมผัสตรวจสอบไปยังทิศทางเดียวกัน ผลคือทุกคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น
แม้ว่าสำเภายักษ์จะไม่อาจเหาะเหินได้ แต่ด้วยการลากเต็มแรงของอสูรมหาสมุทร ก็ไม่รับว่าช้ามากนัก
สองชั่วยามต่อมาบนผิวมหาสมุทรที่ไกลออกไปพลันมี ‘ยอดเขา’ โดดเดี่ยวปรากฏขึ้น ครึ่งหนึ่งของยอดเขาสูงทะลุเมฆสีดำไป อีกครั้งหนึ่งเผยยอดเขาสีดำสนิทอยู่เหนือผิวมหาสมุทร
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือยอดเขาทั้งลูกคล้ายกับวานรยักษ์กำลังยกแขนสองข้างชูขึ้นฟ้า และยิ่งไปกว่านั้นหูตาจมูกปากยังครบครัน แม้ว่าจะดูหยาบๆ แต่มองจากไกลๆ กลับดูสมจริงมาก