แวบแรกที่เห็นเงากระบี่สีเขียว เหมือนธรรมดามาก แต่เมื่อจ้องมองให้ถ้วนถี่ กลับพบว่าเงากระบี่ทั้งสายเกิดจากการจับตัวกันของอักขระยันต์สีเขียวหลายตัว โดยแต่ละตัวมีขนาดราวหนึ่งนิ้ว
และอักขระยันต์เหล่านี้แตกต่างจากอักขระยันต์ทั่วไปมาก ทุกตัวล้วนเป็นสีเขียวมรกต พื้นผิวคลับคล้ายเห็นลายเส้นสีเงินและสีทองละเอียดยิบ อีกทั้งขณะกะพริบน้อยๆ ที่ว่างใกล้เคียงก็บิดเบี้ยวพร่ามัวขึ้นมา
ยิ่งตอนพลังปราณฟ้าดินอันกว้างใหญ่ซึ่งมีหานลี่เป็นศูนย์กลาง หลั่งไหลเข้าไปในอักขระยันต์ ก็รวดเร็วประดุจมีกรวยอย่างไรอย่างนั้น
เงากระบี่ซึ่งยังค่อนข้างพร่ามัวในตอนแรก พลันปรากฏของจริงที่ชัดเจนขึ้นมา ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“เป็นไปไม่ได้ นี่มัน สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ!”
ผู้เอ่ยปากมิใช่เป่าฮวา แต่เป็นเด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ข้างๆ ตกใจกะทันหัน ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทีเหลือเชื่อ
“ดูจากพลังปราณ เป็นวัตถุแห่งสวรรค์ทมิฬจริง เหมือนมีพลังมากกว่ากริชอาคมทมิฬของเจ้าอีก ช่วงที่ข้าตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานในแดนวิญญาณ ได้ยินว่าในแดนวิญญาณเพิ่งมีสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬลำดับที่สาม กระบี่ฟันวิญญาณปรากฏขึ้น แต่ยังไม่ถูกคนเผ่าวิญญาณค้นพบมาตลอด เห็นทีก็คือวัตถุชิ้นนี้แล้ว! ดูๆ ไปเจ้ากับข้าล้วนประเมินคนเผ่าวิญญาณต่ำจนเกินไป”
หลังจากเป่าฮวากะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเนียนดุจหยกก็ปรากฏอาการเคร่งเครียดเป็นครั้งแรก
“ไม่ถูก ถ้าคนเผ่าวิญญาณได้วัตถุแห่งสวรรค์ทมิฬมาจริงๆ เหตุใดถึงมอบให้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งเล่า ถ้ามิได้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีขึ้นไป กระทั่งกระตุ้นสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ ก็ล้วนไม่ทำไม่ได้”
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนกลับส่ายหน้าติดต่อกัน
“กระตุ้นไม่ได้? แล้วภาพนิมิตในมือเขาคืออะไร เหตุใดถึงต้านทานดรรชนีเวทนาดอกไม้ของข้าได้”
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาขบคิดเล็กน้อย กลับหัวเราะเย็นชาออกมาก่อนพูด
“เขาอาจแค่อยากอวดโอ้ฤทธิ์เดช จึงอาศัยพลังนิดหน่อยจากวัตถุแห่งสวรรค์ทมิฬมาช่วยเท่านั้น”
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนหรี่ตาทั้งสองข้างลง พลางพูดอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง
“นี่กลับมีสิทธิ์เป็นไปได้ ข้าก็สงสัยอยู่บ้าง สหายหยวนเหยี่ยน สนใจที่จะลงมือสักตั้งไหม” จู่ๆ บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาก็หัวเราะขึ้นมา ก่อนถาม
“หึๆ ตอนนี้สหายเป่าฮวาคิดก่อความเดือดร้อนให้กับคนผู้นี้ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ถ้าอยากพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือปลอม เจ้าลงมือดูก็สิ้นเรื่อง ผู้น้อยไม่สนใจลงมือแล้ว”
เด็กหนุ่มชุดดำหัวเราะหึๆ ปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
“ฟังจากความหมายของคำพูดนี้ ถือว่าเจ้าล้มเลิกความคิดที่จะลงมือกับคนผู้นี้แล้ว อีกสักครู่ หลังจากข้าลง
มือแล้ว สหายหยวนเหยี่ยนคงไม่มีความคิดเป็นอื่นนะ”
เป่าฮวากลับแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ก่อนถามกลับ
“วางใจได้แน่นอน ในเมื่อสหายเป่าฮวามาเพราะคนผู้นี้ ข้าก็จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกใดๆ เป็นอันขาด”
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนหัวเราะแปลกๆ ก่อนตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว
“ดี ข้าเชื่อว่าเจ้าพูดคำไหนคำนั้น เช่นนั้นข้าก็จะลองดูว่า คนผู้นี้สามารถกระตุ้นสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬที่อยู่บนตัวได้จริงหรือไม่!”
ดวงตาสวยดุจคลื่นฤดูใบไม้ร่วงของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวากลอกไปมาครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าช้าๆ
จากนั้น นางก็ถูมือทั้งสองข้าง พอดอกไม้สีชมพูในมือวาบ ก็สลายหายวับ แต่แสงสีชมพูกลับคุกรุ่นขึ้นอีกครั้งในมือทั้งสองข้าง ควบแน่นเป็นกิ่งไม้สีชมพูเรียวยาวหนึ่งกิ่ง
กิ่งๆ นี้ยาวไม่ถึงสองศอก แต่โปร่งใสตลอดกิ่ง พื้นผิวอัดแน่นไปด้วยอักขระยันต์สีชมพู
มือข้างหนึ่งขอเป่าฮวาคว้าจับ กิ่งไม้วาบไปปรากฏบนนิ้วมือทันที พอสะบัดช้าๆ ก็พุ่งเข้าใส่หานลี่ที่อยู่ไกลออกไป
เมฆและลมในรัศมีหลายลี้เปลี่ยนสีในพริบตา กลีบดอกสีชมพูนับไม่ถ้วนพลันปะทุพรวดๆ ออกจากที่ว่าง กะพริบถี่ๆ ชั่วขณะ พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปหน้าเปลี่ยนสี ที่ว่างใกล้ๆ วาบแสงสีชมพู กลีบดอกสีชมพูนับไม่ถ้วนปรากฏออกอย่างแปลกประหลาด และทยอยกันกลายเป็นกระบี่ผลึกใสเล่มเล็กๆ เล่มแล้วเล่มเล่า พุ่งเข้าหาเขา
ชั่วขณะนั้น เสียงแหวกอากาศดังลั่น แสงสีชมพูอันคมกริบกะพริบระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
หานลี่ที่อยู่ตรงกลาง พอเห็นภาพอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้ แววตาก็ค่อยๆ นิ่ง ไม่เผยความกลัวออกมา แต่กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ ปากพลันส่งเสียงท่องคาถากำบังกายที่พิลึกพิลั่นออกมา
เงากระบี่สีเขียวในฝ่ามือสายนั้นพลันส่งเสียงดังหึ่งๆ พอวาบ ก็หดตัวเข้าไปอยู่ในฝ่ามือ ไวปานฟ้าแลบ
จากนั้น เจตนากระบี่ขนาดมหึมาที่มิอาจบรรยายได้ขุมหนึ่ง ม้วนตัวแรงๆ ออกจากร่างของหานลี่ พอแสงสีเขียวคล้ำกะพริบถี่ เงาร่างกระบี่ยักษ์สะท้านฟ้ายาวร้อยกว่าจั้งเล่มหนึ่งก็พุ่งออกจากแขนขึ้นไปบนฟ้า
ร่างของหานลี่ถูกแสงกระบี่สีเขียวคล้ำปกคลุมอยู่ด้านล่างทันที
พอเส้นแสงกระบี่สีชมพูนับไม่ถ้วนแทงถูกม่านแสงกระบี่ ก็ส่งเสียงทึบตันดังสนั่นติดต่อกัน แล้วหายไปในแสงสีเขียวอย่างรวดเร็วราวกับหิมะโดนแสงแดดฤดูใบไม้ผลิก็มิปาน ทำอะไรใดๆ ม่านกระบี่สีเขียวขมุกขมัวนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย
พอสตรีชุดขาวเห็นฉากนี้ ก็ไม่แสดงอาการแปลกใจออกมาแต่อย่างใด กลับสั่นกิ่งไม้ผลึกใสในมือเบาๆ สองครั้งหน้าตาเฉย
เส้นแสงกระบี่สีชมพูบนท้องฟ้าเหนือสระน้ำ ดิ่งลงดุจพายุฝนตกลงมาอย่างหนักในทันที กระบี่ขนาดเล็ก
นับพันนับหมื่นเล่มกลายเป็นพายุกระบี่ ทิ่มแทงใส่ม่านแสงกระบี่สีเขียวอย่างดุเดือด
แม้ภายในม่านแสงกระบี่สีเขียวแฝงพลังที่ไม่คาดคิดไว้ แต่กระบี่ผลึกใสเล่มเล็กๆ ซึ่งแปลงมาจากกลีบดอกไม้เหล่านี้ ทุกเล่มเทียบชั้นกับมีดบินธรรมดาไม่ได้อยู่แล้ว
หลังจากเส้นแสงแยงตาวาบติดต่อกัน แม้แต่ม่านแสงกระบี่สีเขียวแปลงมาจากพลังฟ้าดินซึ่งกระตุ้นโดยวัตถุแห่งสวรรค์ทมิฬ ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นน้อยๆ เหมือนกัน
ตอนนี้มุมปากของเป่าฮวาจึงยกขึ้น คลับคล้ายเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา
นางมั่นใจเต็มที่ว่า ถ้าฝ่ายตรงข้ามเพียงพึ่งพาพลังนิดหน่อยของวัตถุแห่งสวรรค์ทมิฬจริง ต้องต้านทานการจู่โจมอย่างรุนแรงในรอบนี้ของนางไม่ได้แน่
อย่างไรการจู่โจมครั้งนี้ นางใส่พลังแห่งแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของตนเข้าไปด้วย เรื่องพลังจึงไม่ด้อยไปกว่าการจู่โจมของสมบัติสวรรค์ทมิฬทั่วไปเท่าไหร่
หานลี่ที่อยู่ในม่านแสงกระบี่สีเขียว เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา จึงเหลือบมองไปยังแขนที่มีเส้นแสงสีเขียวคล้ำลอยอยู่อีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่นน้อยๆ
แต่จากนั้น สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมลง มือข้างหนึ่งตบไปที่กบาล ปราณทารกสีทองขมุกขมัวตัวหนึ่งลอยออก
ใบหน้าน้อยๆ ของปราณทารกเคร่งเครียดมาก หน้าตาเหมือนหานลี่ไม่มีผิด รอบตัวมีกระบี่จิ๋วสีเขียวยาวราวหนึ่งนิ้วสิบเล่มบินวน กำลังทำท่าร่ายอาคมมือเดียว!
ทันใดนั้น ร่างของหานลี่ก็เปล่งเสียงใสๆ เสียงคำราม และเสียงอื่นๆ ออกมาพร้อมกัน แสงสีทองห้ากลุ่มพุ่งออก พอกะพริบน้อยๆ ก็แปลงร่างตรงๆ เป็นวานรยักษ์ หงส์หลากสี นกยักษ์สีเงิน นกยูง มังกรทอง ห้าเงาร่างสูงราวหนึ่งจั้ง หมุนรอบตัวเขาไม่หยุด
แล้วปราณทารกก็ใช้มือเล็กๆ ร่ายรำกระบวนท่าไปรอบทิศอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย!
ทันใด เงาร่างวิญญาณแท้ห้ากลุ่มก็วาบหายเข้าไปในร่างปราณทารก
เสียงดังกระหึ่ม!
ร่างปราณทารกสีทองอ่อนระเบิดเส้นแสงสีทองเจิดจ้าออกมา และพอเส้นแสงสีทองเก็บลง หานลี่กับปราณทารกก็หายวับไปพร้อมกัน แทนที่ด้วยเงาคนสูงใหญ่สามเศียรหกกรเงาหนึ่ง
เงาคนนี้ สีทองอร่ามตลอดทั้งร่าง ไม่ว่าผิวหนังหรือใบหน้าล้วนปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทองอ่อน บนศีรษะมีเขาเดี่ยวสีเขียวงอกออกมา หว่างคิ้วมีดวงตาปีศาจสีดำดวงหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างน่าพิศวง
หลังจากเงาคนเงยหน้าเหลือบมองเป่าฮวาอย่างเย็นชา ใบหน้าหลังเกล็ดสีทองที่เผยให้เห็นตะคุ่มๆ ก็คือใบหน้าของหานลี่ แต่ตอนนี้ดูไปแล้วกลับให้ความรู้สึกของปีศาจที่ทำให้คนตกใจชนิดหนึ่ง ม่านตาไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย และคล้ายมีหนามสีน้ำเงินทองเส้นหนึ่งทอประกายอยู่
พอเด็กหนุ่มชุดดำสบตาครู่เดียว สองตาก็คลับคล้ายรู้สึกปวดแสบปวดร้อนประหนึ่งถูกเข็มทิ่มแทง ขณะตื่นตกใจ ตั้งสติจ้องมองให้ดีๆ อีกครั้ง พลันแตกตื่นขึ้นมา
“กายนิพพานศักดิ์สิทธิ์ กลับเป็นกายนิพพานศักดิ์สิทธิ์! เขากับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่นิพพานแล้วเกี่ยวข้องอะไรกัน ร่างมารสูงสุดนี้ มิใช่มีเพียงผู้ที่นิพพานแล้วถึงฝึกสำเร็จหรือ”
“เป็นกายนิพพานศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แต่มิใช่ฝึกสำเร็จ แค่เป็นรูปลักษณ์ที่เพิ่งรวบรัดทำออกมา ไม่รู้ว่าเขายังทำ
การแปลงร่างขั้นต่อไปได้หรือเปล่า”
ตาสวยของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาจ้องมองเงาคนสีทองในม่านแสงสีเขียวสว่างไสว ใบหน้าแสดงท่าทางตกใจและสงสัยออกมาวาบหนึ่ง
หานลี่ที่กลายร่างเป็นมารสูงสุด และเล่นเอาบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารสองท่านตื่นตระหนก ไม่สนใจไม่ถามใดๆ กลับคำรามเสียงต่ำออกมา ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นทันที
พอแสงสีเขียวคล้ำบนแขนสีทองอร่ามวาบ กระบี่สีเขียวคล้ำเล่มเล็กยาวไม่กี่นิ้วเล่มหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา หดขยายไม่หยุด คลับคล้ายมีอักขระยันต์สีทองและสีเงินนับไม่ถ้วนหมุนรอบตัวมัน
“สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ เป็นสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬจริงด้วย! ลำบากมากละคราวนี้ ถ้ามีกายนิพพานอยู่กับตัว สมบัติชิ้นนี้ก็ถูกเขากระตุ้นออกมาได้เช่นเดียวกัน”
พอเป่าฮวาเห็นฉากนี้ ก็รู้สึกเครียด ขมวดคิ้วที่วาดไว้ขณะพึมพำ
มารแปลงหานลี่ก้มลงมองกระบี่เล่มเล็กสีเขียวคล้ำที่ลอยออกจากแขน แววตามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกอย่างหนึ่งวาบผ่าน จึงเงยหน้ามองสตรีชุดขาวที่อยู่ห่างออกไป พลางพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“ยังจะลงมืออีกหรือ ถ้าอยู่นอกเกาะนี้ แม้ข้ามีสมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ ก็ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านแน่ แต่ถ้าอยู่ที่นี่ ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดของท่านกับข้า มีแต่บาดเจ็บและพ่ายแพ้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผู้อาวุโสตั้งใจที่จะทำเช่นนี้จริงหรือ อีกอย่าง ข้าคล้ายพบหน้าท่านเป็นครั้งแรก ผู้อาวุโสไม่น่ามีเหตุผลที่จะตกตายไปพร้อมกับข้านะ!”
“กายนิพพานศักดิ์สิทธิ์ สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ! เจ้าสามารถมีสองสิ่งนี้พร้อมกัน มีคุณสมบัติสู้ตายกับข้าแล้วจริงๆ เห็นทีข้ายังคงดูเบาเจ้าแล้ว เอาล่ะ ไม่ลงมือก็ไม่ลงมือ แต่เจ้าต้องมอบของสิ่งหนึ่งให้ข้า ถึงจะได้!”
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวากะพริบตาปริบๆ พลันยิ้มหวานออกมา จากหน้าตาของนาง รอยยิ้มเหมือนดอกไม้ร้อยดอกพลันบานสะพรั่งอย่างไรอย่างนั้น
“ของ! ผู้อาวุโสต้องการของอะไร”
หานลี่ได้ยินก็อึ้งเล็กน้อย หลังจากสำรวจมองสตรีชุดขาวขึ้นๆ ลงๆ ก็ทอประกายตาพลางถาม
“ถ้าจะเจาะจงลงไป ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แปดถึงเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นสมุนไพรวิญญาณต้นหนึ่ง”
สตรีชุดขาวขบคิดเล็กน้อย มุมปากขยับนิดหน่อย กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงแทนการพูด เห็นชัดว่าไม่อยากให้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนได้ยินการสนทนาต่อจากนี้ไป
พอเด็กหนุ่มชุดดำเห็นดังนี้ ก็ขยับท่าทีเล็กน้อย แต่หลังจากหัวเราะเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ก็ยืนกอดอก มิได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย
“จากสถานะและอิทธิฤทธิ์อื่นๆ เมื่อก่อนของท่าน มีสมุนไพรวิญญาณอะไรที่ไม่สามารถได้มาบ้าง เหตุใดถึงต้องมาเอาจากข้าด้วย”
หานลี่แอบตกใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ ถ่ายทอดเสียงถามกลับเช่นกัน
“เหตุใดถึงต้องมาเอากับเจ้า เจ้ากลับไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล แต่สมุนไพรวิญญาณที่ข้าอยากได้ อย่างน้อย
เป็นไปได้เจ็ดแปดส่วนที่จะอยู่ในมือเจ้า ข้ายังมั่นใจ มิฉะนั้นก็ไม่มีวันสะกดรอยตามเจ้ามาตลอดทาง เสี่ยงกลับเข้า
มาในแดนศักดิ์สิทธิ์ กลับมาที่นี่อีกครั้งแล้ว” เป่าฮวาตอบกลับอย่างไม่นำพา
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในเมื่อผู้อาวุโสจับตาดูผู้น้อยมาแต่แรก เหตุใดถึงไม่ลงมือกับพวกเราแต่แรก คนอื่นๆ ในสายตาท่าน คิดว่าอย่างไรก็เอาชนะได้ในคราวเดียว”
หานลี่เปลี่ยนความคิดกะทันหัน ยังคงถามอย่างงุนงงอยู่บ้าง
“นั่นเป็นเพราะก่อนจะมาที่นี่ ยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าสมุนไพรวิญญาณต้นนั้นอยู่กับเจ้าจริงหรือไม่ ส่วนตอนนี้ คนอื่นๆ ล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว ย่อมเป็นเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย”
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป่าฮวาหัวเราะเบาๆ แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่คลางแคลงใจแม้แต่น้อย