“ใช่หรือ เจ้าอย่าได้ดูถูกพวกมันนักนะ สองเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจถึงแม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นในดินแดนวิญญาณแม้สักนิด แต่ระดับมหายานในประวัติศาสตร์ของพวกมัน ไม่ใช่บุคคลที่ธรรมดาเลยสักคน จากหลายปีมานี้ที่สองเผ่าสามารถต้านทานการรุกรานของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้ และไม่ได้อยู่ในสภาพเสียเปรียบด้วย ก็พอมองเห็นอะไรได้บ้าง และเจ้าตัวประหลาดนั้นของเผ่าวิญญาณ ก็ไม่ใช่ระดับมหายานแบบทั่วไป ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าราชาวิญญาณในประวัติศาสตร์แท้จริงแล้วก็คือร่างอวตารของคนเดียวกัน หรืออาจจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำว่า มันอาจจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับแดนเซียนแท้เสียด้วย หาไม่แล้วของอย่างเพลาเซียนจำแลง คงจะไม่มาอยู่ในมือระดับมหายานเผากระจ้อยร่อยแบบนี้ได้หรอก” หญิงสาวในชุดขาวพูดขึ้นสีหน้ากลับมาสงบนิ่งอีก
“เรื่องพวกนี้ ตอนที่พวกข้าตัดสินใจแผนการนี้ ย่อมใคร่ครวญมาแล้ว ไม่ว่าเผ่าพันธุ์พวกนี้จะมีอะไรเบื้องหลัง แต่หากคิดจะต้านทานเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อย หากไม่เกรงว่าจะไปดึงดูดความสนใจของเผ่าพันธุ์ใหญ่ระดับสูงในแดนวิญญาณ ข้าก็คงใช้กำลังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์กำจัดพวกมันจนแหลกลาญไปแล้ว ฮึ ต่อให้พวกมันมีคนที่เกี่ยวข้องกับแดนเซียน ก็ไม่ได้มีอะไร พวกเราเผ่าศักดิ์สิทธิ์เองก็มีที่พึ่งในดินแดนระดับสูงเช่นกัน อีกอย่างตามกฎเหล็กของแดนเซียน เว้นเสียแต่จะเกิดเรื่องที่อยู่นอกข้อห้ามอันเคร่งครัดอย่างมาก ต่อให้ดินแดนสักแห่งถูกทำลายล้าง ผู้คนในดินแดนที่สูงขึ้นไปก็จะไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วพวกเราใหญ่ต้องกังวลอะไรด้วย”บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนพูดตอบอย่างไม่แยแส
“ในเมื่อพวกเจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้ ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะมายังที่แห่งนี้ ถ้าได้ผ่านดินแดงรอยผนึกปฐมกาล ถึงแม้ว่าจะเพียงแต่มองจากไกลๆ แต่ในช่องว่างระหว่างรอยผนึกนั้นเมื่อเทียบกับตอนที่ข้ายังเป็นบรรพชน ดูเหมือนจะขยายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า เจ้าพวกที่พุ่งออกมาจากด้านใน พละกำลังเองก็เพิ่มขึ้นมาก จากที่ข้าเห็นในสงครามทั้งสองครั้ง ก็สูญเสียพญามารไปตนหนึ่งและระดับผสานอินทรีย์หลายสิบคน ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์เฝ้ารอยผนึกทั่วไปเหล่านั้น บาดเจ็บล้มตายไปนับพัน นี้ยังเป็นผลที่ได้เพราะตุ๊กตายนต์นับร้อยตัวและสัตว์อสูรคอยช่วยเหลือ แต่ที่ต้องสนใจมากกว่านั้นก็คือ ในสงครามทั้งสองครั้งนี้ถ้ายังไม่เห็นสหายนิพพานเลยสักครั้ง แต่เป็นร่างจำแลงของลิ่วจี๋ต่างหากที่ปรากฏตัวอยู่ที่นั่น” น้ำเสียงของเป่าฮวาเปลี่ยน ทันใดนั้นก็พูดเรื่องที่ทำให้หยวนเหยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนออกมา
“เจ้าคงไม่ได้ลงมือกับร่างจำแลงของลิ่วจี๋หรอกกระมัง”
“ไม่อยู่แล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งบรรพชน แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนรอยผนึกปฐมกาลคือที่ซึ่งสงครามใหญ่ปะทุขึ้น ข้าจะลงมือโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วนได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นร่างที่แท้จริงของลิ่วจี๋อยู่ที่นั่น เช่นนั้นก็อาจจะไม่แน่ แต่เมื่อมองจากด้านนี้ สภาพการณ์อันตรายที่เจ้าพูดมาก่อนหน้านี้ คงจะไม่ใช่เพียงแค่คำพูดขู่ขวัญเสียแล้ว” หญิงสาวในชุดขาวมองลึกไปยังบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยน แล้วพูดขึ้นช้าๆ
“ฮึ นี่มันเวลาไหนกันแล้ว ข้าจะมาล้อเล่นกับเจ้าด้วยเรื่องพรรค์นี้หรือ”ชายหนุ่มในชุดสีดำกลอกตา ท่าที่ไม่สบอารมณ์
“ทว่าถ้ายังรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ว่าพวกเจ้าไม่กลัวว่าสิ่งนั้นจะอยู่ๆๆ ตื่นขึ้นมา ใช้ร่างที่แท้จริงไปปะทะกับรอยผนึกบ้างหรือ ถึงแม้ว่าจะมีรอยผนึกสะกดอยู่ แต่เพียงแค่ร่างจำแลงของลิ่วจี๋ ยังไม่พอให้มันเขมือบในคำเดียวเสียด้วยซ้ำ”เป่าฮวาแค่นเสียงเยาะหนึ่งทีแล้วถาม
ชายหนุ่มในชุดดำได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็กลับกลายเป็นประหลาดใจขึ้นมา สักพักหนึ่ง จึงยิ้มแหยแล้วถามขึ้นว่า
“คำถามของเจ้าดูจะสายไปหน่อย ร่างที่แท้จริงของเจ้าสิ่งนั้นเมื่อหกพันปีก่อนได้ตื่นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว หนำซ้ำยังเผยพลังที่แท้จริงออกมา น่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่ตื่นมาในครั้งแรกเสียอีก”
“หกพันปีก่อน! ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว! นี่มันเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ตอนแรกมากทีเดียว” เป่าฮวาหน้าถอดสีทันที ดวงตาคู่งามฉายแววสะพรึงกลัว
“ตอนนั้น ข้าและลิ่วจี๋ได้รับข่าวการตื่นขึ้นของมัน ก็รีบเดินทางไปทันที แต่เมื่อถึงตอนนั้น สหายนิพพานก็ได้ใช้ร่างจำแลงสามนิพพานไปเสียแล้ว ต่อสู้กับเจ้าสิ่งนั้นจนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย และฝืนที่จะขับไล่มันไป แต่เมื่อผ่านสงครามครั้งนี้ ดวงจิตดั้งเดิมของสหายนิพพานได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ถึงกับจำต้องดึงเอาร่างจำแลงทั้งหมดกลับ เพื่อให้ร่างที่แท้จริงได้เข้าสู่สภาพกึ่งนิทรา แต่ข้าไม่วางใจ ได้สละร่างอวตารร่างหนึ่งเข้าไปยังรอยผนึก พบว่าเจ้าสิ่งนั้นดูเหมือนจะรวบรวมพละกำลังอยู่ และดูเหมือนจะสูญเสียไปพอสมควร และเข้าสู่ภาวะนิทราเช่นกัน นั่นหมายความว่า สหายนิพพานก็เป็นเหมือนที่เจ้าทำในครั้งแรก สร้างช่วงชะลอการปะทะให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราไว้ได้ ในช่วงเวลานี้ รอยผนึกปฐมกาลมีร่างอวตารของลิ่วจี๋ร่างหนึ่งคอยดูแลคุ้มกัน นั่นก็เพียงพอแล้ว อย่างไรเสียร่างแท้จริงของเจ้าสิ่งนั้นไม่ออกมา แรงปะทะรอยผนึกอื่นๆ ก็เป็นแค่ลูกหลานของมันเท่านั้น ระดับการบำเพ็ญเพียงสูงสุดเทียบกับพญามารทั่วไปก็ไม่ได้เหนือกว่าสักเท่าไร แต่รอยผนึกยังถูกทำให้คลายลงมากขึ้น คาดว่าครั้งหน้าที่มันจะตื่นขึ้นมา คงจะเร็วกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนถอนใจ สีหน้าสุดวิสัย
“ร่างจำแลงสามนิทานของสหายนิพพาน ในเวลาสั้นดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณแท้ แต่ยังถูกเจ้าสิ่งนั้นเล่นงานจนบาดเจ็บไปทั้งสองฝ่าย ครั้งแรกที่มันตื่นขึ้น ไม่ได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้” เป่าฮวาขยับสีหน้า
“นี่ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ! เจ้าคิดว่าพลังที่แท้จริงของเจ้าสิ่งนั้นจะมีเพียงแค่นั้นหรือ เมื่อรอยผนึกคลายลงเรื่อยๆ พลังที่แท้จริงของเจ้าสิ่งนั้นก็ค่อยๆ ฟื้นฟู คราวหน้าที่มันตื่นขึ้นมา เก่งว่าพละกำลังคงเทียบได้กับเซียนแท้ในดินแดนสูงขึ้นไป พวกข้าไม่อาจที่จะสะกดการทำลายได้อย่างแน่นอน และเมื่อมันพาลูกหลานจำนวนมากทะลักออกมาจากรอยผนึกปฐมกาลแล้ว ด้วยความเร็วในการขยายพันธุ์อันน่าสะพรึงกลัวของเผ่าพันธุ์พวกมัน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะเหลือที่ให้พวกข้าได้มีชีวิตอยู่ ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณหรือพลังมาร เจ้าสิ่งนี้สามารถกลืนกินเข้าไปได้โดยตรงทั้งหมด รวมกับการแพร่พันธุ์ด้วยจำนวนมหาศาลระดับนั้น ไม่รู้ว่าจะมีดินแดนอีกจำนวนเท่าไหร่ พี่จะถูกพวกมันทำลายลงเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นในสมัยโบราณ แดนเซียนคงไม่ส่งคนมาด้วยตนเอง แล้วกักมันไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็สะกดมันไว้ที่ดินแดนแห่งรอยประทับปฐมกาล น่าเสียดายเวลาผ่านไปนานถึงเพียงนี้ รอยสะกดนี้ในที่สุดก็เริ่มเสื่อมฤทธิ์ ดังนั้นพวกข้าจำเป็นที่จะต้องช่วงชิงพื้นที่แดนวิญญาณให้ได้ก่อนที่ตราผนึกจะถูกเปิดออก เพื่อที่จะให้เผ่าศักดิ์สิทธิ์มีที่อยู่ เพราะกลัวว่าจะเกิดโกลาหลขึ้น ตอนนี้นอกจากพวกข้าและบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นที่รู้เรื่องนี้ กับคนอื่นๆ ยังปกปิดไว้เป็นความลับ แต่คงปกปิดได้อีกไม่กี่ปี” ชายหนุ่มในชุดสีดำพูดขึ้นอย่างขมขื่น
“สามารถปิดผนึกมาได้ถึงตอนนี้ ข้าก็รู้สึกแปลกใจมากแล้ว หนำซ้ำแดนศักดิ์สิทธิ์กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คงมีบางคนที่จะไม่ได้มีใจเป็นอันเดียวกับเจ้าอยู่กระมัง” หญิงสาวในชุดขาวท่าทีไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“ฮึ พวกที่พากันเฮฮาถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าพวกที่คอยหนุนหลังตำหนักพญาอสูร” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนแค่นเสียงหนึ่งทีแล้วพูดขึ้น ท่าทีดูเข้าใจอย่างถ่องแท้
“อ๋อ นี่ก็ดูประหลาดอยู่บ้าง ถึงแม้ว่านิพพานจะอยู่ในช่วงฟื้นฟูบำรุง เจ้าและลิ่วจี๋ก็ใช่ว่าจะต่อกรได้โดยง่าย เอาแต่ดูพวกมันทำตัวไม่ใส่ใจการใหญ่เฉยๆ แบบนี้ หรือว่าไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปี พวกเจ้าก็เหลาะแหละเสียวแล้ว” เป่าฮวาถามกลับด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“หากเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป ข้าและลิ่วจี๋ย่อมกำราบได้ แต่ในหมู่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่สนับสนุนตำหนักพญาอสูร มีสองเฒ่าเทียนชี่และเฮ่อเหยียน พวกเขานี้เคยแย่งตำแหน่งบรรพชนศักดิ์สิทธิ์กับเจ้า อิทธิฤทธิ์แก่กล้าเพียงใดเจ้าคงรู้ที่สุด ข้าและลิ่วจี๋เองก็ไม่อยากที่จะไปปะทะด้วย” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำทำสีหน้าประหลาด สักพักใหญ่ ก็พูดขึ้นช้าๆ
“เที่ยนชี่ เฮ่อเหยียน!” ได้ยินชื่อทั้งสองนี้ เป่าฮวาก็หน้าบึ้งขึ้นทันที
เห็นสีหน้าของหญิงสาวในชุดขาวเช่นนี้ บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนเหยี่ยนก็หัวเราะคิกคัก แล้วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
……
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หานลี่กำลังอยู่กลางคืนที่ขนาดเส้นรอบวงร้อยลี้ ร่างกายลอยนิ่งอยู่ไม่ขยับไหวนี่บนท้องฟ้าเหนือสระน้ำสูงขึ้นไปร้อยจั้ง
ทั่วทั้งพื้นที่ เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดยักษ์สูงเสียดฟ้าหลายร้อยจั้ง!
แต่ละต้นเขียวชอุ่ม เป็นประกายสีเขียวหลายเฉดที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ทุกที่บนพื้นล้วนแต่เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้าซึ่งไม่เป็นที่รู้จักต่างๆ เป็นพุ่มเตี้ยๆ กระจายอยู่ แผ่ไปทั่วพื้นที่ระหว่างต้นไม้ใหญ่ และเปล่งประกายแสงห้าสีรางๆ เช่นกัน
และในความว่างเปล่า ก็มีลูกแสงห้าสีขนาดเท่าหัวแม่โป้งหลายลูก เปล่งแสงรำไรลอยอยู่ทั่วท้องฟ้า ทำให้รู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางอันตราย!
แต่กลางสระน้ำด้านล่างหานลี่ ผิวน้ำกับสงบนิ่งเร่งแสงสีเงินจางๆ และยังดูข้นหนืดราวกับเป็นเงินเหลว ให้ความรู้สึกสงบนิ่งหนักแน่นอย่างมาก
หานลี่มองไปยังผิวน้ำสีเงินที่อยู่ด้านล่าง สีหน้าคงเดิม แต่ในใจกับตกตะลึงอยู่ไม่หยุด
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสระน้ำที่อยู่ด้านล่างนั้นเกิดขึ้นจากการควบแน่นรวมกันโดยตรงของพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ในนั้นยังมีพลังอันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่สามารถแยกแยะได้เลยหลายอย่างซ่อนอยู่ ดูท่านี่คือจุดสำคัญที่ตารางวิญญาณแห่งนี้จะทำให้เขาได้ถือกำเนิดมาอย่างแท้จริง
ทว่าสระล้างวิญญาณถึงแม้จะหาพบอย่างง่ายดาย แต่บัวชำระวิญญาณอยู่ที่ไหนกัน
สายตาหานลี่กวาดมองไปยังสระน้ำเล็กๆ แห่งนี้อย่างรวดเร็ว นอกจากผิวน้ำที่ส่องประกายสีเงินระยิบระยับแล้ว ก็ไม่ได้มีสิ่งใดลอยอยู่บนผิวน้ำแม้สักอย่าง
“หรือว่าจะอยู่ที่ก้นสระ!” หานลี่พึมพำ สายตามองลึกลงไปยังสระน้ำอีกครั้ง
จิตของเขาเมื่อครู่ได้กว่าสำรวจสระน้ำแห่งนี้แล้ว แต่เมื่อเข้าสู่ผิวน้ำประมาณหนึ่งจั้งก็ถูกพลังบางอย่างในน้ำตัดการเชื่อมต่อ
หานลี่ได้เพียงแต่นิ่งอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นรูม่านตาก็เปล่งแสงสีน้ำเงินจ้าตา พร้อมกันนั้นพลังอาคมทั่วทั้งกายก็ไหลไปกลางดวงตา
แต่เนตรวิญญาณกระจ่างเข้าลึกสู่กลางน้ำได้สิบกว่าจั้ง ก็ถูกแสงสีขาวบดบังเช่นกัน ไม่สามารถเข้าลึกลงไปได้อีกแม้สักนิด
หานลี่ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ลนลาน เขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ทั้งในนั้นแต่งสีน้ำเงินลูกหนึ่งก็พุ่งออกมา หมุนวนรอบหนึ่ง แล้วร่อนลงช้าๆ ด้านหน้า
นั่นก็คือตุ๊กตายนต์สุนัขป่าน้ำเงินสูงนับจั้งตัวหนึ่ง ดูราวกับมีชีวิต แต่เห็นได้ชัดว่ามีระดับไม่ได้สูงมากนัก
หานลี่เอานิ้วข้างหนึ่งแตะกลางหน้าผากโดยไม่ได้พูดอะไร
ไอสีขาวลูกหนึ่งก็ลอยออกมา วูบไหวอยู่ชั่วครู่ แล้วกลายเป็นใบหน้าสีขาวซีดดวงหนึ่ง เลือนรางไม่ชัดเจน แต่ก็เห็นเขาคงของหานลี่
ใบหน้านั้นหายไปกันที ซึมเข้าไปกลางร่างตุ๊กตายนต์หมาป่ายักษ์อย่างรวดเร็ว หายวับไปกับตา
“ไป”
หานลี่สะบัดแขนเสื้อไปยังสระน้ำที่อยู่ด้านล่างยังไม่ลังเล พลางพูดออกคำสั่ง
หมาป่ายักษ์ส่งเสียงคำรามเบาๆ ในคอ ขาทั้งสี่เริ่มขยับ ทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นแสงสีน้ำเงินลูกหนึ่งพุ่งลงไปด้านล่าง
วงน้ำกระเพื่อมเบาๆ จนแทบจะมองไม่เห็น ผิวน้ำสีเงินอ่อนก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
หานลี่จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เอามือทั้งสองไพล่หลัง รอกลางอากาศอยู่เงียบๆ