“พี่หาน เจ้าเอาเกราะมารออกมาเถิด” หญิงสาวเผ่าผลึกหันหน้าม้า เอ่ยกับหานลี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่มีความเห็นอันใด ทันใดนั้นพลันพลิกฝ่ามือ กล่องหยกขนาดสองสามฉื่อปรากฏออกมา ผิวของมันมียันต์ต้องห้ามแปะอยู่สองแผ่น
แขนเสื้อปัดไปบนกล่อง ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันเปิดออก ไอสีดำกลุ่มหนึ่งทะลักออกมา
ท่ามกลางไอสีดำ เกราะสงครามสีม่วงขนาดครึ่งฉื่อชิ้นหนึ่งปรากฏออกมา
เกราะนี้ไม่เพียงมีรูปลักษณ์ที่น่ากลัว ตรงหัวไหล่ยังมีหนามแหลมๆ ทิ่มออกมา ผิวของมันมีลวดลายสีดำ ไอมารพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ตรงทรวงอกพลันมีรูขนาดใหญ่ที่สะดุดตาอยู่รูหนึ่ง ตรงขอบมีลอยแตกร้าว
หลังจากที่เซียนเซียนเห็นไอสีดำที่วงเวียนโคจรอยู่บนเกราะมาร พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย มือเรียวโบกสะบัด หลังจากที่บนเรือนร่างเปล่งแสงแวววับ ถึงได้ชี้ไปที่กล่องใบนั้น
เกราะสงครามสีม่วงราวกับถูกพลังไร้รูปร่างชักจูง ตรงลอยเข้าไปหาเขตอาคม
แต่ไม่ทันได้มาถึงใจกลาง หญิงสาวเผ่าผลึกพลันชูมือหนึ่งขึ้น อาคมสีเงินอ่อนสายหนึ่งบินออกไป
เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในหม้อสัมฤทธิ์อย่างไร้ร่องรอย
ชั่วขณะนั้นเสียงระฆังดังเหง่งหง่างพลันดังขึ้น ผิวหม้อสัมฤทธิ์มีเปลวเพลิงสีดำเขียวปรากฏขึ้น ชั่วครู่ก็ม้วนเอาเกราะมารสีดำไว้ข้างใน แล้วดึงกลับไปในหม้อ
จากนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังออกมาจากในหม้อ ลวดลายวิจิตรตระการตาที่กำแพงด้านนอกเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ
และแทบจะในเวลาเดียวเขตอาคมทั้งเขตด้านล่างก็มีไอสีดำหมุนวน จุดต่างๆ มีอักขระสีเงินอ่อนปรากฏขึ้น พวกมันเพิ่งปรากฏตัว ก็ทะลักเข้าไปในหม้อ และทยอยกันจมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นปากของเซียนเซียนพลันบริกรรมคาถาเบาๆ มือหนึ่งร่ายอาคม เขตอาคมในบริเวณรอบเริ่มบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ทั้งสี่ทิศมีลำแสงสีเหลืองเจิดจ้า จุดต่างๆ ของแท่นบูชามีศิลาสีเหลืองเข้มปรากฏขึ้น
แท่นบูชาเหล่านี้สูงแค่หนึ่งจั้ง แต่ทุกอันล้วนใสแวววับ ด้านบนมีธงสีดำสนิทปักอยู่
ส่วนด้านล่างธงก็มีขวดกระปุกมากมายวางเรียงรายอยู่
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมามีสีหน้าปกติ
ท่ามกลางเสียงบริกรรมคาถา ธงสี่ด้ามเปลี่ยนจากเล็กเป็นใหญ่ จนมีขนาดห้าหกจั้ง
เซียนเซียนถึงได้หยุดร่ายคาถา แล้วหันหน้ามาเอ่ยกับหานลี่
“สหายหาน พวกเราเริ่มกันเถิด ระหว่างการซ่อมแซมพี่หานแค่ฟังคำสั่งของข้า ถึงยามนั้นก็บรรจุลมปราณเข้าไปธงทั้งสี่ด้ามก็พอแล้ว”
“ไม่มีปัญหา” หานลี่พยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เผ่าผลึกได้ยินใบหน้าพลันประดับไปด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นชี้ไปที่จานอาคมที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นในจานอาคมพลันมีเสียงร้องยาวๆ ดังขึ้น อาคมจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพ่นออกมากลางอากาศอีกครั้ง
เมฆสีดำปรากฏขึ้นกลางอากาศ กดลงมาทะมึนทึบ บรรยากาศรอบด้านมีไอสีเทาขวางกั้นอยู่
ชั่วครู่เงาร่างของหานลี่และเซียนเซียนก็ถูกม่านหมอกม้วนเข้าไปข้างใน
ได้ยินเพียงส่วนลึกของม่านหมอก มีเสียงอึกทึกดังออกมาเป็นบางครั้งคราว
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามวัน
ประตูร้านค้าเปิดออก เงาร่างที่มีสีหน้าราบเรียบเดินออกมา และยกมือขึ้นกวักเรียกรถอสูรคันหนึ่ง พลางออกจากถนนสายนั้นไปอย่างไม่รีบร้อน
ภายในมิติเวลาส่วนตัวในร่าง เซียนเซียนกลับยืนอยู่ตรงขอบของเขตอาคม เหลือบมองหม้อสัมฤทธิ์ตรงหน้าอย่างเหม่อเลย
ผิวของหม้อสัมฤทธิ์นี้มีรอยแตกเต็มไปหมด
ส่วนเขตอาคมด้านล่างก็เฉกเช่นเดียวกัน ส่วนน้อยถูกทำลาย ส่วนผลึกศิลาสีดำที่ฝังอยู่รอบๆ พลันกลายเป็นกองขยะ
เหนือหัวของหญิงสาวผู้นี้ เงาลวงตากิเลนตัวนั้นมีขนาดแค่สองสามฉื่อ กำลังขบคิดอะไรสักอย่างด้วยแววตาที่เปล่งประกายเช่นเดียวกัน
“เกรงว่าเกราะมารนี้คงมีประวัติความเป็นมาร เกราะมารของมารเหนือฟ้าธรรมดาๆ ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้แน่” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เงาลวงตากิเลนถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากที่ซ่อมแซมเกราะมารเสร็จ คาดไม่ถึงว่าเรียกจิตของมารในแดนอื่นมาร จนเกือบจะทำให้มันอาศัยไอมารของที่นี่รวมตัวกันเป็นร่างมารได้” ใบหน้าของเซียนเซียนอดที่จะเผยสีหน้าหวาดผวาไม่ได้
“ทว่าโชคดีที่เจ้าเด็กแซ่หานมีอัสนีเทวะปัดเป่าภยันตราย โจมตีไอมารที่รวมตัวกันได้ มิเช่นนั้นคงยุ่งยากไม่น้อย” กิเลนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“แต่คาดไม่ถึงว่ามารตนนั้นจะใช้จิตข้ามแดนลงมาจุติได้ เห็นได้ชัดถึงความน่ากลัวของพลังยุทธ์ของมัน ไม่มีทางด้อยไปกว่าระดับจิตวิญญาณเที่ยงแท้แน่ หรือว่าเกราะมารชิ้นนี้มีความมหัศจรรย์อันใดอีก? แต่หลังจากซ่อมแซมเสร็จแล้ว ข้ากลับไม่พบอันใด” เซียนเซียนเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ระยะเวลามันสั้นเกินไป ข้าเองก็มองอันใดไม่ออก แต่หากรู้เช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางส่งเกราะมารชิ้นนี้ให้ผู้อื่นแน่ ความจริงแล้วยามที่ซ่อมเกราะมารเมื่อครู่ เจ้าก็ใช้ข้ออ้างเก็บมันเอาไว้ก็ได้ แล้วเอาสมบัติชิ้นอื่นมาเปลี่ยนให้เข้าแทน” ฉับพลันนั้นกิเลนสีเขียวก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ข้าก็คิดจะทำเช่นนั้น แต่หลังจากที่คนผู้นี้โจมตีไอมารนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่เยือกเย็นเลย แต่ข้าสัมผัสได้ว่ายามนั้นถ้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมา เกรงว่าสหายหานผู้นี้คงจะลงมือกับข้าทันทีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ความสามารถของเขาแทบจะไม่ด้อยไปกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น ส่วนสมบัติช่วยชีวิตสองสามชิ้นที่ข้าหลอมเอาไว้ ก็ใช้ไปในเทือกเขามารสีทองเกือบหมดแล้ว ไม่มีความมั่นใจว่าจะหนีเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือที่โหดเ**้ยมของอีกฝ่ายได้เลยสักนิด” หญิงสาวเผ่าผลึกหัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ยตอบ
“น่าเสียดาย ตอนแรกข้าเสียปราณแท้ไปเยอะในเทือกเขามารสีทอง มิเช่นนั้นล่ะก็ คงอาศัยเขตอาคมห้วงเวลาแห่งนี้ พวกเราสองคนร่วมมือกันก็ไม่ใช่ว่าจะรั้งเจ้าสิ่งนี้ไว้ไม่ได้” กิเลนสีเขียวเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อย
“ช่างเถิด ต่อให้เกราะมารชิ้นนี้มีอิทธิฤทธิ์เหนือชั้นขนาดไหน ถึงอย่างไรก็เป็นยุทธภัณฑ์มารชิ้นหนึ่ง ต่อให้ข้าเก็บเอาไว้ก็ไม่อาจบวงสรวงนำมาใช้ได้ กลับจะไปล่วงเกินทัพเสริมอย่างสหายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเราซึ่งหาได้ไม่ง่ายอีกด้วย มันได้ไม่คุ้มเสีย” หญิงสาวเผ่าผลึกมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“หึๆ เจ้าคิดเช่นนี้ ก็นับว่าไม่ผิด นับว่าเสียเปรียบเจ้าเด็กนั้นก็แล้วกัน ส่วนความลับในนั้น ก็ต้องดูวาสนาของเจ้าเด็กนั้นแล้ว แต่แค่เสียดายเล็กน้อยต้นกำเนิดของเกราะมารอาจจะมีวาสนากับเจ้า” เงาลวงตากิเลนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วทำได้เพียงถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย
“วาสนานั้นหากมีเจ้าอยู่ ข้าจะขาดแคลนหรือ?” เซียนเซียนดูเหมือนว่าจะคิดเรื่องนี้ออกแล้ว จึงหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“นั่นมันก็ใช่ ตอนนี้เจ้าไม่ได้ขาดแคลนวาสนา แต่รีบพัฒนาระดับพลังยุทธ์และความสามารถเถิด มิเช่นนั้นต่อให้วาสนาดีขนาดไหน ก็ไม่อาจคว้าเอาไว้ได้ จะเสียเวลาเปล่าๆ เอาละ เรื่องนี้ยังไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่ข้าให้เจ้าสืบหา เจอแล้วหรือยัง?” เงาลวงตากิเลนพลันเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเอ่ยถาม
“ยังไม่เจอ เบาะแสของสิ่งนั้นว่ากันว่ามีเพียงตัวประหลาดเฒ่าระดับศักดิ์สิทธิ์สองสามคนที่รู้ รับมือยากเป็นอย่างมาก” เซียนเซียนได้ยินคำนี้พลันเผยสีหน้าลำบากใจออกมา
“เช่นนั้นเจ้าต้องทุ่มเทให้มากแล้ว หากไม่มีสิ่งนั้น ต่อให้เจ้าไปที่ซากปรักหักพังโบราณเจ้าก็ไม่อาจบุกเข้าไปได้” กิเลนสีเขียวเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าเองก็รู้เรื่องนี้ ข้ามีอีกวิธี ดูว่าสามารถซื้อสิ่งนั้นหรือยืมสิ่งนั้นมาจากบุตรหลานในสำนักของตัวประหลาดเฒ่าเหล่านั้นได้หรือไม่” หลังจากที่ครุ่นคิดชั่วครู่แววตาของเซียนเซียนก็เปล่งประกาย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
ในยามที่หญิงสาวเผ่าผลึกและเงาลวงตากิเลนกำลังปรึกษาแผนการของตนนั้น หานลี่ก็อยู่ระหว่างทางที่กำลังกลับไปถ้ำพำนัก
บนรถอสูรเขาดูเหมือนว่าจะกำลังนั่งสมาธิด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ความจริงแล้วในใจกลับกำลังคุกรุ่นดุจคลื่นพายุโหมกระหน่ำอย่างไรอย่างนั้น
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า แค่ซ่อมเกราะมารเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะเกือบดึงหายนะครั้งใหญ่มา
ฉับพลันนั้นมือข้างหนึ่งของเขาพลันพลิ้วไหว สอดเข้าไปในส่วนลึกของแขนเสื้ออีกด้าน ควานหาสิ่งที่เย็นเยียบ
กล่องหยกสีเขียวที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เกราะมารเหนือฟ้าที่ซ่อมเสร็จแล้วเกราะนั้นถูกวางอยู่ในนั้น
แต่ผิวของกล่องหยกพลันมียันต์ต้องห้ามแปะอยู่สิบกว่าแผ่น
นิ้วของหานลี่ไล้ผ่านผิวของกล่องหยก อดที่จะย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในยามนั้นไม่ได้
ตอนนั้นระหว่างที่ซ่อมแซมเกราะมาร ครึ่งแรกล้วนผ่านไปอย่างราบรื่น แต่ต่อมากลับเริ่มมีความยุ่งยากเกิดขึ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง ไม่เขตอาคมหยุดทำงานกะทันหัน ก็เป็นหม้อสัมฤทธิ์มีรอยแตกปรากฏขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ โชคดีที่ปัญหาเหล่านี้ เขาสองคนร่วมแรงกันแก้ไขได้อย่างราบรื่น
แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเกราะมารซ่อมเสร็จ และบินออกมาจากหม้อนั้น พลันมีจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งมากสายหนึ่งฉีกห้วงเวลาออกมา ชั่วครู่มาจุติอยู่กลางอากาศ และกระโจนเข้าไปหาเกราะมารอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เพราะว่ามันกะทันหันเกินไป เซียนเซียนจึงเผยท่าทีตกตะลึงออกมา
แต่โชคดีที่จิตสัมผัสข้ามแดนนี้ หานลี่ไม่ได้เห็นเป็นครั้งแรก ทันใดนั้นอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายสายหนึ่งก็พุ่งออกไป ชั่วครู่ก็โจมตีจิตสัมผัสนั้นจนแหลกสลายไปส่วนหนึ่ง และดีดตัวออกมา
ตามหลักการจิตสัมผัสที่เห็นว่าไม่สำเร็จ ก็ควรจะพุ่งแหวกอากาศหนีไปอีกครั้งทันที แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของจิตสัมผัสนี้ต้องการเกราะมารจริงๆ หรือคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองคนไม่อยู่ในสายตา คาดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมล่าถอยแต่กลับบุกเข้ามาในไอมารบริสุทธิ์ในเขตอาคม จากนั้นไอมารทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ที่ตรงกลาง มารหน้าตาน่ากลัวหมายจะรวมร่างกัน
แต่หานลี่จะปล่อยให้มันสมประสงค์ได้อย่างไร ภายใต้ความตกตะลึงนั้น จึงปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายที่เหลือในร่างทั้งหมดออกไปป้องกัน ให้มารตัวนี้ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง
น่าเวทนาแม้ว่ามารตัวนี้จะมีอิทธิฤทธิ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา แม้กระทั่งจิตสัมผัสส่วนหนึ่งยังไม่รวมกันเป็นร่างมาร ล้วนสามารถรับการโจมตีจากอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายสิบกว่าสายอย่างต่อเนื่องกันได้ แต่ยามที่ประจุไฟฟ้าสีทองนับร้อยนับพันสายทะลักออกมาจากมือของหานลี่อย่างน่าสะพรึงกลัวแล้ว จิตสัมผัสของมารตนนี้ก็รวมตัวกันเป็นร่างมารอย่างต่อเนื่อง ไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ก็ถูกสายฟ้าสีทองทำให้หายวับไป
ทว่าเช่นนั้นไม่ว่าหานลี่หรือว่าหญิงสาวนามว่าเซียนเซียนย่อมรู้ว่าเกราะมารชิ้นนี้ไม่ธรรมดา ดูเหมือนว่าจะมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้
แน่นอนว่าหานลี่เองก็มองเห็นความลังเลของหญิงสาวเผ่าผลึก ทันใดนั้นใบหน้าของเขาพลันมีสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจกลับเกิดความคิดขึ้น มองหญิงสาวผู้นี้ว่าจะทำเรื่องที่เป็นปฏิปักษ์หรือไม่
ผลคือแม้ว่าหญิงสาวนามว่าเซียนเซียนผู้นี้จะแสดงออกว่าไม่พอใจ แต่ก็ยังคงปล่อยให้หานลี่เก็บเกราะมารเข้าไปในกล่องหยกอย่างราบรื่น เขาจึงผ่อนคลายลงมาเฮือกหนึ่ง
เช่นนั้นหานลี่จึงรู้สึกดีกับหญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้ขึ้นมาสองสามส่วน แต่ก็ไม่ได้รอคอยอันใด หลังจากขอบคุณแล้ว ก็ออกจากห้วงเวลาของอีกฝ่าย และนั่งไปบนรถอสูร
ยามนี้เขาใช้นิ้วลูบไปบนกล่องหยกในแขนเสื้อไปพลาง ยิ่งรู้สึกประหลาดใจกับการซ่อมแซม
เกราะมารนี้ไปพลาง