“นายท่านเป่าฮวาต้องการให้ข้าไปตรวจสอบหรือไม่” เฮยเอ้อร์พูดพลางกลอกตาไปมา
“ไม่ต้อง ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไร มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ในเมื่อตอนนี้ข้าได้รับยาวิญญาณแล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำตอนนี้คือออกจากทะเลปีศาจในทันที จากนั้นหาที่ปลอดภัยเพื่อกลั่นยาวิญญาณ และฟื้นคืนพลัง” เป่าฮวาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะส่ายหน้าและพูดออกมา
“ขอรับนายท่าน ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ หยวนเหยี่ยนและท่านนิพพานพบนายท่านแล้ว เกรงว่าจะเป็นอันตรายหากยังคงอยู่ที่นี่ เพียงแค่นายท่านฟื้นคืนพลังได้ ก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีกต่อไป” เฮยเอ้อร์พยักหน้า พลางพูดด้วยความตื่นเต้น
หากเจ้านายของตนฟื้นคืนพลังได้สำเร็จ เขาในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะได้ผลประโยชน์มากมายเช่นกัน
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าทำ เมื่อสักครู่สามารถคว้าโอกาสที่จะลงมือได้แล้ว” เป่าฮวากะพริบตา พลางถามเขา
“นายท่านวางใจเถิด ข้าประทับรอยเลือดลงบนร่างกายมังกรดำทั้งสามแล้ว แม้จะพูดไม่ได้ว่าสามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนของมันได้จากสิ่งนี้ แต่ในภายภาคหน้าหากมันเข้าใกล้พวกเราในระยะพันลี้ ข้าสามารถรับรู้ได้ทันที” เฮยเอ้อร์ตอบ
“ทำได้ดีมาก พวกเจ้ามีเลือดเผ่ามังกร มังกรอสูรทั้งสามคือสัตว์วิญญาณของหยวนเหยี่ยน เช่นนั้น โดยปกติแล้วทั้งสองจะไม่แยกจากกัน ในภายภาคหน้าหากหยวนเหยี่ยนแอบเข้าใกล้เพื่อลอบโจมตี เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่รู้” รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเป่าฮวา พลางพูดยกย่อง
“ฮ่าฮ่า ทั้งหมดนี้คือเคล็ดวิชาที่น่าทึ่งที่นายท่านได้สั่งสอน แม้แต่ท่านหยวนเหยี่ยนยังสามารถปกปิดได้ มิฉะนั้น ข้าคงไม่มีความกล้าหาญถึงเพียงนี้” เฮยเอ้อร์อ้าปากหัวเราะเสียงดัง
“เคล็ดวิชาลับนี้สามารถทำได้โดยผู้ที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้น นอกจากนี้ ที่นี่คือเกาะวิญญาณขมขื่น และจิตวิญญาณของหยวนเหยี่ยนถูกระงับไว้ในระดับหนึ่งแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จะไม่รับรู้ เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” เป่าฮวายิ้ม พลางตอบกลับ จากนั้นยกมือหนึ่งข้างในท่าสวดภาวนา ทันใดนั้นจึงเกิดแสงส่องประกายอยู่ด้านหลังของนาง ร่างของต้นไม้ดอกสีชมพูจึงปรากฏขึ้น พร้อมทั้งพุ่งทะยานออกไป
ทันใดนั้น แสงสีชมพูจึงผลิบาน ปกคลุมร่างทั้งสอง
และเมื่อต้นไม้ดอกขนาดใหญ่เกิดเสียง “ปัง” จากนั้นจึงเกิดแสงสิ่งประกายระยิบระยับ เป่าฮวาและเฮยเอ้อร์จึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ช่วงขณะหนึ่ง ไม่มีผู้ใดอยู่ในเกาะวิญญาณขมขื่น และความสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง
เจ็ดวันต่อมา แขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนมายังเกาะวิญญาณขมขื่น!
ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน ดูเหมือนว่าจะเป็นอสูรระดับสูงและอายุต่างกันมาก
ชายสวมเกราะอสูรสีคราม ดูเหมือนว่าอายุราวๆ สามสิบกว่าปี ครั้นเมื่อลืมตาขึ้น แสงก็เปล่งประกายออกมา รูปลักษณ์ภายนอกดูกล้าหาญและทรงพลัง
ส่วนผู้หญิงกลับเป็นหญิงชราผมขาว ผิวหนังเหี่ยวย่น ถือไม้เท้าหัวนกกระเรียน ซึ่งดูแก่หง่อมมาก
ทั้งสองลอยอยู่เหนือหุบเขา ดวงตาของพวกเขากวาดสายตาไปรอบๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังมองหาอะไรบางอย่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงชราก็พ่นลมออกมาอย่างเย็นชา ทันใดนั้นไม้เท้าในมือจึงตกลงกลางอากาศ
เสียง “ปัง” ดังสนั่นหวั่นไหว!
ทันใดนั้นพื้นที่ที่ใดที่หนึ่งกลับพังทลาย เผยให้เห็นหลุมขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายเมตร
“นางแพศยาเป่าฮวามาที่นี่จริงๆ ยังหลงเหลือลมปราณอยู่ที่นี่ ครานี้ ข้าจะไม่ปล่อยนางไป” น้ำเสียงของหญิงชราแหบแห้งไม่น่าฟัง ทว่าเนื้อหาของคำพูดกลับน่าตื่นตระหนกมากกว่า
“ศิษย์น้อง ผ่านไปหลายปี เจ้ายังไม่ละทิ้งความแค้นในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ผ่านมาหลายปีการฝึกฝนของเจ้าก็ไม่พัฒนา” ดวงตาของชายชุดเกราะสีครามหรี่ลง พร้อมทั้งหันไปมองหญิงชรา และถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าก็พูดง่าย หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะนางแพศยาเป่าฮวา ร่างกายของข้าคงไม่ถูกทำลาย และถูกบังคับให้อยู่ในร่างชราเช่นตอนนี้ ไม่มีทางที่จะพัฒนาขั้นสูงไปได้มากกว่านี้ หรือรักเก่าของเจ้าจบลงแล้ว เจ้าก็ลืมไปแล้วว่าในตอนนั้นนางเคยทำร้ายเจ้า” หญิงชราตะโกนออกมาด้วยความโกรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เรื่องในตอนนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว พูดขึ้นมาอีกแล้วจะมีประโยชน์อะไร มีแต่จะรบกวนจิตใจของข้า” ชายชุดเกราะสีครามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบซึ่งไม่ขัดกับรูปลักษณ์ของเขา
“หยุดพูดจาแดกดันเสียที เทียนชี่ หากเจ้าลืมเรื่องนี้จริงๆ เหตุใดจึงต้องรีบมาที่นี่ทันทีเมื่อได้ยินข่าวจากหยวนเหยี่ยน” ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความอิจฉาและคับแค้นใจ และนางก็ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะลืมเรื่องราวนั้น
“ศิษย์น้อง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่การฝึกฝนเคล็ดวิชาน้ำตาโลหิตปีศาจของข้ามาถึงขั้นไร้ความรู้สึกใดๆ แล้ว ความรู้สึกรักหรือเกลียดชังของข้าหมดไปตั้งนานแล้ว เหตุผลที่ข้ามาที่นี่กับเจ้าคือสมบัติล้ำค่าในร่างกายเป่าฮวา เพียงแค่ข้าได้ครอบครองสมบัติล้ำค่านั้น ข้าก็จะสามารถควบคุมภัยพิบัติในครั้งต่อไปได้” ชายชุดเกราะสีครามกลับตอบอย่างนิ่งเฉย
“สมบัติล้ำค่า หรือว่ามันคือตราสายฟ้าที่นางมีอยู่!” เมื่อหญิงชราชุดคลุมสีแดงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็สั่นเทา ในที่สุดนางก็จำบางอย่างได้จึงถามออกมา
“ใช่ มันคือสมบัติชิ้นนี้ เพราะสมบัติชิ้นนี้เป่าฮวาจึงเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติใหญ่ๆ มากมายได้อย่างราบรื่น สำหรับเรื่องอื่นๆ ข้าไม่ได้สนใจ” ชายชุดเกราะสีครามตอบอย่างเย็นชา
“เอาล่ะ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง หยวนเหยี่ยนบอกว่าพลังของนางแพศยายังไม่ฟื้นคืน เพียงแค่หานางให้พบ ไม่ใช่ปัญหาที่เจ้ากับข้าจะร่วมมือกัน เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะต้อนรับ ‘อดีตบรรพบุรุษ’เป็นอย่างดี” หลังจากได้ยินคำพูดของชายชุดเกราะสีครามแล้ว สีหน้าของหญิงชราจึงอ่อนลงเล็กน้อย ทว่านางก็ยังพูดอย่างชั่วร้ายเช่นเดิม
“ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าได้สมบัติ เจ้าได้นาง! พวกเราต้องส่งสารไปยังหอบรรพบุรุษอสูรที่อยู่ใกล้เคียง เปิดเขตอาคมและส่งคนไปตรวจตรา นางคงหนีไม่พ้นแหฟ้าตาข่ายดินของพวกเรา” ชายชุดเกราะสีครามตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
ครั้นเมื่อเห็นท่าทางไร้ความรู้สึกของชายชุดเกราะสีคราม ความสงสัยที่อยู่ในจิตใจของหญิงชราได้หายหมดสิ้นไปในทันที พร้อมทั้งยินดีและเห็นด้วย
“แต่ว่ามีบางอย่างค่อนข้างแปลก ปูยักษ์ตัวนั้นหายไปไหน เหตุใดจึงไม่เห็นอยู่ในทะเลสายฟ้า หุ่นเซียนปลอมมีพลังอาคมและไม่อยู่ภายใต้บรรพบุรุษ ไม่ง่ายที่จะละเลย เรื่องนี้น่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเป่าฮวา” ชายชุดเกราะสีครามครุ่นคิดอีกครั้ง และพึมพำด้วยความสงสัยบางอย่าง
“แปลกจริงๆ หุ่นเซียนปลอมตัวนี้อยู่ในโลกก่อนที่ข้าจะเกิดเสียอีก กี่พันปีแล้วที่มันไม่เคยจากทะเลสายฟ้าเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับหายไป มันน่ากังวลจริงๆ แต่ถ้าจะบอกว่าเกี่ยวกับเป่าฮวาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ นางแพศยาคนนี้มีความสามารถ ตอนนั้นที่นางเป็นบรรพบุรุษก็คงลักพาตัวไปตั้งนานแล้ว คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้” หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หญิงชราในชุดคลุมสีแดงก็ส่ายหน้าไปมา
“ในคำสั่งกำจัดของหยวนเหยี่ยนที่ส่งให้พูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งมิใช่หรือ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนนี้!” ชายชุดเกราะสีครามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมทั้งพูดช้าๆ
“อาจจะเป็นไปได้ แต่สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ไม่เพียงแต่รบกวนการไล่ล่าเป่าฮวาของพวกเราทั้งสอง แต่เงินรางวัลที่หยวนเหยี่ยนประกาศไม่เพียงพอสำหรับดวงตาที่เฉียบแหลมของข้าและเจ้า ฉะนั้นไม่ต้องสนใจเรื่องนี้” หญิงชราชุดคลุมสีแดงพูดอย่างเคร่งขรึม
“สิ่งที่ศิษย์น้องพูดมีเหตุผล การตามหาเป่าฮวาสำคัญกว่า ดังนั้นตอนนี้ข้าไม่ควรว่อกแว่ก พวกเราไปกันเถอะ” ชายชุดเกราะสีครามครุ่นคิดอีกครั้ง ในใจยังคงรู้สึกกังวล ทว่ากลับพูดพลางพยักหน้า
ดังนั้น ทั้งสองจึงเคลื่อนไหว ทันใดนั้นจึงกลายเป็นกลุ่มแสงสีแดงและสีครามพุ่งทะยานไปในอากาศ
……
ในคลื่นที่โหมซัดกระหน่ำ เรือไม้สีครามยาวเจ็ดแปดจั้งกลับเคลื่อนไหวในทะเลอย่างมั่นคง
ส่วนหน้าของเรือมีชายหนุ่มสวมชุดสีคราม เอามือไพล่หลัง พร้อมทั้งจ้องมองไปยังทะเลที่ไกลออกไป
สีหน้าของเขานิ่งเฉยกว่าปกติ และในขณะนี้หานลี่ได้มาถึงขอบทะเลแล้ว
ร่างกายของเขาต้องใช้ยาจำนวนมาก ร่างกายของเขาจึงฟื้นตัวจากการบาดเจ็บแล้ว ทว่าการเปลี่ยนร่างเป็นนิพพานขั้นสอง บวกกับใช้ดาบวิญญาณโจมตีสวรรค์ทมิฬ และโจมตีกับปูสีทอง ซึ่งมันทำร้ายพลังเดิมของเขาจริงๆ
แม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากยาวิญญาณ แต่ถ้าเขาต้องการที่จะฟื้นฟูการฝึกฝนของเขาให้ถึงจุดสูงสุด ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะใช้เวลาครึ่งปี
ทว่าตอนนี้หานลี่กลับไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างไรก็มีปูยักษ์สีทองที่แปลงกายเป็น “นักพรตปู” อยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอสูรบรรพบุรุษระดับสูง หรือแม้แต่บรรพบุรุษอสูรธรรมดาก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้
ทว่าหลังจากได้รับนักพรตปูหุ่นเซียนปลอม จึงทำให้เดิมทีที่หานลี่คิดหาวิธีออกจากโลกปีศาจโดยเร็ว กลับมีการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้เข้าสามารถเข้าสู้โลกปีศาจได้ แต่จะเอารัดเอาเปรียบเป่าปีศาจเพื่อเปิดทางเข้าสู่โลกวิญญาณ ไม่เช่นนั้นเมื่อสงครามระหว่างปีศาจกับมนุษย์สิ้นสุดลง แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับมหายานขั้นสูง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าสู่โลกปีศาจ
ดังนั้นหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมาหลายวัน เขายังคงตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้อยู่ในโลกปีศาจอีกสักพัก เพื่อหาประโยชน์ที่ยังไม่ได้รับ เมื่อได้รับแล้วค่อยว่ากัน
ประโยชน์ที่ว่านี้ก็คือข้าวฟันเลือดซึ่งเป็นสิ่งของพิเศษในโลกปีศาจและผลึกในทองคำปีศาจลึกลับ
ของทั้งสองสิ่งนี้ หนึ่งคือสามารถทำให้เขาพัฒนาในระดับต่อไปได้ และอีกสิ่งหนึ่งคือสิ่งที่สามารถแปลงพลังงานที่มีอยู่ในร่างกายให้เป็นพลังที่แท้จริงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถประหยัดเวลาในการฝึกฝนได้มาก เป็นสิ่งที่เขาต้องการครอบครอง
และตามข้อมูลที่เขาได้รับ ทั้งสองสิ่งนี้อยู่ในที่เดียวกัน
“ทะเลสาบสีฟ้า!” หานลี่พึมพำกับตัวเองด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟ
แสงในดวงตาของหานลี่หายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พลิกฝ่ามือ และแมลงสีทองก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
มันคือแมลงสีทองที่โตเต็มวัย
แมลงสีทองตัวนี้ ขดตัวอยู่ในอุ้งมือของเขา ไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายไม่มีลมหายใจ ราวกับว่าไม่รู้จักความเป็นความตาย
ที่แปลกประหลาดไปกว่านั้นคือมีรอยแตกสีเงินหนาทึบบนตัวของแมลงสีทอง ราวกับว่ามันอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ตลอดเวลา
หานลี่จ้องไปที่แมลงวิญญาณ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเขาสั่นไหวอย่างไม่แน่ใจ และเขาไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
……
ในขณะเดียวกัน ในห้องโดยสารเรือขนาดสามสี่จั้งของเรือไม้สีคราม มีชายหนุ่มผิวขาวนวลคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิราวกับไม่แกะสลัก ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงด้วยใบหน้านิ่งเฉย ไร้อารมณ์ใดๆ
ไม่ไกลจากฝั่งตรงข้าม เด็กสาวชุดเหลืองแสนสวยก็นั่งขัดสมาธิบนฟูกเช่นกัน ดูเหมือนว่านางกำลังฝึกฝน แต่ดวงตาของนางกลับมองดูชายหนุ่มเป็นครั้งคราวด้วยใบหน้าแดงก่ำ