กวนยางหยุดสำเภาไม้อยู่ที่ริมฝั่งใกล้กับประตูใหญ่ แล้วมาส่งหานลี่ที่นอกประตูเมืองด้วยตนเอง
เห็นได้ชัดว่าเขาและเผ่ามารถือขวานที่คุ้มกันเมืองสนิทสนมกันมาก หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค ก็พาหานลี่เข้ามาในเมืองโดยไม่ต้องตรวจสอบใดๆ
หานลี่ยืนอยู่ข้างถนนในประตู พิจารณาสิ่งปลูกสร้างที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในบริเวณรอบแล้วพยักหน้า ยกมือขึ้นโยนศิลามารระดับกลางสองสามไปให้กวนยาง
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ตอบแทนอย่างหนัก!”
บุรุษเผ่ามารรับศิลามารเหล่านั้นไป หลังจากตรวจสอบดูแล้วก็เผยสีหน้ายินดีแล้วเอ่ยขอบคุณเป็นพัลวัน!
ปกติแล้วเขารับเผ่ามารระดับสูงคนหนึ่งมาส่งที่เมืองน้ำตกสีครามก็จะได้ศิลามารระดับกลางแค่หนึ่งถึงสองก้อนเท่านั้น หานลี่กลับให้เขามากกว่าปกติสามสี่เท่า จะไม่ทำให้เขาดีอกดีใจได้อย่างไร
หานลี่โบกมือส่งสัญญาณให้เขาไปได้
แต่หลังจากที่กวนยางลังเลเล็กน้อย มองไปซ้ายทีขวาทีเห็นว่าไม่มีคนสนใจ ถึงได้ใช้น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“หากท่านอาวุโสอยากให้การเดินทางครั้งนี้สมประสงค์ ไม่ลองไปที่เรือนก่วงหยวนดูสักครั้ง บางทีอาจจะสมประสงค์”
เอ่ยจบกวนยางก็ไม่รอให้หานลี่เผยสีหน้าตกตะลึงแล้วเอ่ยถามอันใด รีบทำความเคารพแล้วหันกายออกไปจากประตูเมือง
“เรือนก่วงหยวน!”
หานลี่เอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา สีหน้าตกตะลึงค่อยๆ สลายหายไป กลับเผยรอยยิ้มออกมา
ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ เขาก็ต้องลองไปดูสักครั้ง
ในเมืองน้ำตกสีครามย่อมมีเขตอาคมห้ามเหาะเหินอยู่
หานลี่กวักมือเรียกรถอสูรคันหนึ่ง หลังจากเอ่ยคำว่า ‘ร้านค้า’ ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองออกมา พลขับวัยกลางคนผู้นั้นก็เอ่ยคำว่า ‘รับทราบ’ แล้วออกมาทันที พลางกระตุ้นอสูรมารให้เคลื่อนรถออกไป
หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่ในรถ พิจารณาฝีเท้าด้านล่างอย่างเงียบๆ สองตากลับพิจารณาหน้าต่างที่อยู่ด้านข้างอย่างสบายอารมณ์
เห็นได้ชัดว่าเมืองน้ำตกสีครามคึกคักกว่าเมืองของเผ่ามารทั่วไปเป็นอย่างมาก ผู้คนที่สัญจรไปมาสองข้างทางจ้อกแจ้กจอแจ คึกคักไม่ธรรมดา
ทว่าหานลี่กลับสัมผัสได้ว่าแม้ว่าเผ่ามารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นเผ่ามารระดับต่ำที่มีพลังยุทธ์แค่ระดับฝึกปราณและสร้างปราณ แต่หนึ่งในนั้นกลับมีเผ่ามารระดับสูงอย่างระดับเทพแปลงและหลอมสุญตาปรากฏอยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งหลังจากที่เดินทางมายังเห็นสิ่งมีชีวิตระดับจอมมารอยู่สองตน
และรถอสูรเพิ่งจะวิ่งผ่านถนนมาได้สองสามสาย แม้แต่มุมหนึ่งของทะเลสาบน้ำตกสีครามก็ยังไม่พ้น
“เอ๋ คนผู้นั้นคือ…”
หานลี่ที่เดิมนั่งขัดสมาธิอยู่พลันมองเห็นเงาร่างที่คุ้นตาแล้วจึงหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“ไม่สิ ไม่ใช่นาง กลิ่นอายผิดปกติ!” หานลี่จ้องเขม็งไปที่แผ่นหลังของนาง เงาร่างอ้อนแอ้นกำลังเดินเข้าไปในร้านข้างทาง แล้วปฏิเสธตนเองอย่างผิดหวังเล็กๆ
“ก็ใช่ ต่อให้นางบรรลุขึ้นมาจากแดนมนุษย์ จะมาปรากฏตัวที่แดนวิญญาณเท่านั้น จะวิ่งมาที่แดนมารได้อย่างไร ทว่าแค่เห็นเงาแผ่นหลังกลับเหมือนนางมาก หรือว่าช่วงนี้พลังยุทธ์ของข้าเพิ่มขึ้น ระดับจิตใจก็เลยไม่มั่นคง?” หานลี่ยังคงตกตะลึงระคนสงสัย แต่สุดท้ายก็นึกอันใดได้ พลางถึงบางอ้อขึ้นมา แล้วรีบร่ายคาถาสงบจิตใจ หลับตาโคจรพลังปราณ
……
ในเวลาเดียวกันภายใต้เผ่ามารระดับสูงสองสามตนที่เดินทางไปด้วย เงาร่างงดงามที่เข้าไปร้านค้าข้างทางคือหญิงสาวเผ่าสวมผ้าโปร่งคลุมหน้าสีดำ และยิ่งไปกว่านั้นเรือนร่างยังมีไอสีดำบางๆ รายล้อมอยู่ จนกลายเป็นผ้าโปร่งบาง
นี่จึงทำให้มองเห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ได้รางๆ คนนอกไม่อาจมองทะลุผ่านได้เลยสักนิด
แม้ว่าเมื่อครู่หานลี่เองจะใช้จิตสัมผัสแทรกเข้าไปดูใบหน้าที่แท้จริงของนาง แต่หากจิตสัมผัสแข็งแกร่งเกินไปก็กลัวว่าจะทำให้สิ่งมีชีวิตระดับจอมมารขึ้นไปสัมผัสได้ ถึงได้ไม่ได้ทำเช่นนั้นง่ายๆ
ยามนี้หลังจากที่สตรีเผ่ามารที่มีเผ่ามารระดับสูงหน้าตาโหดเหี้ยมสองสามตนร่วมเดินทางมาด้วยเดินเข้าไปในร้านค้าที่ดูไม่เล็กก็มีชายชราท่าทางเป็นเถ้าแก่เข้ามาต้อนรับแต่ไกล หลังจากคารวะแล้วก็เชิญหญิงสาวเข้าไปในห้องลับห้องหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง แล้วถึงได้เอ่ยอย่างนอบน้อม
“คารวะใต้เท้าผู้สื่อสาร ผู้เฒ่าน้อยได้เตรียมของที่ใต้เท้าต้องการไว้ครบหมดแล้ว ใต้เท้านำไปได้ตลอดเวลา”
“ทำได้ไม่เลว สองสามวันก่อนข้าเพิ่งจะเอ่ยถึง วันนี้เถ้าแก่เลี่ยวก็เตรียมเสร็จแล้ว ดูแล้วให้เจ้าเป็นเถ้าแก่ที่นี่ดูจะไม่เหมาะสมกับความสามารถไปหน่อย” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ เหลือบตามองเถ้าแก่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
เสียงไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงนกขมิ้น
“มิกล้า ผู้เฒ่าน้อยแค่ทำตามคำสั่งของใต้เท้าเท่านั้น” เถ้าแก่เลี่ยวตอบกลับด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“สือหั่ว เจ้าไปยกของมา” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำกลับไม่สนใจชายชราอีก พลางออกคำสั่งกับชายร่างใหญ่เผ่ามารที่มีเขาเดี่ยวงอกออกมาจากศีรษะ
“ขอรับ คุณหนูเจ็ด!” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ และไม่คิดจะเอ่ยอันใดอีก
ชายชราและเผ่ามารระดับสูงคนอื่นๆ ย่อมทำได้เพียงยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ มิกล้าเอ่ยปากอันใดง่ายๆ เช่นกัน
ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา ชายร่างใหญ่เผ่ามารพลางตามคนผู้นั้นกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง และกลับมารายงานหญิงสาวว่านำของออกมาแล้ว
หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่กลับเอ่ยถามอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
“เถ้าแก่เลี่ยว เจ้าดูแลร้านนี่มากี่ปีแล้ว?”
“ข้าน้อยถูกจัดให้มาดูแลร้านนี้เมื่อสองร้อยปีก่อนขอรับ” เถ้าแก่เลี่ยวใจเต้น รีบตอบอย่างมิกล้าดูแคลน แค่ร่างกายที่อยู่ตรงหน้าหญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีกลับเตี้ยลงสองส่วนโดยไม่รู้ตัว
“สองร้อยปี ไม่สั้นเกินไป คิดดูแล้วนานขนาดนี้ตระกูลของเจ้าคงมั่งคั่งมากเลยสินะ” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำถอนหายใจออกมาเบาๆ เอ่ยสิ่งที่ทำให้ชายชราตกใจออกมา
“ใต้เท้าผู้สื่อสารเข้าใจผิดแล้วขอรับ ตั้งแต่ที่ข้าน้อยมาดูแลร้านนี้ก็หวาดกลัวมาโดยตลอด และไม่ได้เกินเลยอันใด แม้ว่าใต้เท้าจะเป็นผู้ที่เบื้องบนส่งมาตรวจตรา แต่ก็มิอาจเข้าใจข้าน้อยผิดนะขอรับ” เถ้าแก่เลี่ยวเอ่ยอย่างร้อนใจ
“มีปัญหาหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะตัดสินใจเองได้ มู่ซี เจ้าเอาของออกมา ให้เขายอมซะ!” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ฉับพลันนั้นก็ออกคำสั่งกับพวกที่ยืนอยู่ด้านหลังชายชรา
“ขอรับ คุณหนูเจ็ด! จำนวนสินค้าที่ซื้อมาขายปีช่วงสิบกว่าปีนี้ ราคา รวมทั้งผู้ค้าล้วนถูกบันทึกเอาไว้ คุณหนูเจ็ดโปรดตรวจสอบด้วยขอรับ!”
เจ้าผู้นี้คือชายหนุ่มหน้าตาหมดจดท่าทางอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดปี เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำ ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นอย่างนอบน้อมทันที และควักสมุดบัญชีสีดำม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
เถ้าแก่เลี่ยวเห็นฉากนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นสีเทาขาวอย่างหาที่เปรียบ
ส่วนหญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำพลันใช้มือหนึ่งกวักออกไป เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น สมุดบัญชีถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ และก้มหน้าลงตรวจสอบ
“ดังคาด ไม่เหมือนกับสมุดบัญชีอีกเล่มที่เจ้าเอามาให้ข้าดูเมื่อสองสามวันก่อน ระยะเวลาสั้นๆ สิบกว่าปีก็รับสินบนมากมายขนาดนี้แล้ว หากนับเวลาอื่นด้วยจำนวนก็น่าตกตะลึง เถ้าแก่เลี่ยวเจ้ามีอันใดจะพูดอีกหรือไม่!” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำเงยหน้าขึ้น ปิดสมุดบัญชีแล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ ฟังน้ำเสียงไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร
“มู่ซี คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าทำร้ายข้า คุณหนูเจ็ด เจ้านั่นมีความแค้นส่วนตัวกับตาเฒ่า ข้าถูกใส่ร้าย สมุดบัญชีนี่จะต้องเป็นของปลอมแน่”
“ปลอมหรือไม่ เดี๋ยวข้าก็รู้เอง ข้าจะใช้วิชาค้นจิตวิญญาณกับเจ้า หากเป็นความจริงเจ้าก็ต้องตายอย่างไร้ความเคียดแค้น หากเป็นความจริงข้าก็ฆ่าเขาแก้แค้นแทนเจ้า” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำหัวเราะน้อยๆ ออกมา แต่ปากกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้เถ้าแก่เลี่ยวตกใจจนขวัญกระเจิงออกมา
“ไม่”
ชายชราพยายามร้องตะโกนอย่างสุดชีวิต ฉับพลันนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ไอสีดำกลุ่มหนึ่งม้วนวนออกมา ในเวลาเดียวกันฝ่ามืออีกข้างที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็มียันต์สีเหลืองปรากฏขึ้นและสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว
ร่างของเถ้าแก่เลี่ยวเลือนราง คาดไม่ถึงว่าจะจมหายไปใต้ดิน
“แค่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมรวม กล้ามาเล่นลูกไม้กับข้า” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อน แต่ชายร่างใหญ่เผ่ามารที่มีนามว่าสือหั่วกลับหัวเราะอย่างเย็นชา มือข้างหนึ่งตะปบออกไป
ชั่วขณะนั้นทั้งห้องพลันมีพายุปรากฏขึ้น ม้วนหมอกสีดำไปจนเกลี้ยง ในเวลาเดียวกันร่างของเถ้าแก่เลี่ยวที่เพิ่งเข้าไปใต้ดินได้ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าร่างกายแข็งค้าง ถูกพลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้ และไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูเจ็ดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยยอมมอบของที่ริบเอาไว้คืนให้ทั้งหมด…” เถ้าแก่เลี่ยวร้องอย่างสุดชีวิต
หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำเห็นสถานการณ์เช่นนี้กลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วร่ายนิ้วไปโดยไม่ปริปาก
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทะลวงผ่านหว่างคิ้วของชายชรา
ส่วนชายร่างใหญ่เผ่ามารที่มีนามว่าสือหั่วพลันชักฝ่ามือกลับมาทันใด ชั่วขณะนั้นเสียง “พรึ่บ” พลันดังขึ้น ซากศพพลิ้วไหวแล้วล้มตึงลงบนพื้น
“น่าเสียดาย ของที่เจ้าริบเอาไว้มันมากเกินไป และถูกเจ้าขายไปที่ใดก็สุดจะรู้ได้แล้ว มิเช่นนั้นจะไว้ชีวิตสักหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ มู่ซี ที่นี่ให้เจ้าเป็นเถ้าแก่ตั้งแต่วันนี้ สือหั่ว จัดการศพเสีย พวกเราไปกันเถิด ยังเหลืออีกสองสามร้าน” หญิงสาวสวมผ้าโปร่งสีดำออกคำสั่ง ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินออกจากประตูไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
ชายหนุ่มเผ่ามารยามว่ามู่ซีผู้นั้นย่อมคุกเข่าเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ ส่วนชายร่างใหญ่เผ่ามารกลับตอบรับ แล้วอ้าปากปล่อยเพลิงมารสีดำออกมาเผาซากศพของชายชราจนกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา จากนั้นก็ตามออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างน่ากลัว
……
“นี่คือร้ายที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่?” หานลี่ลงจากรถอสูร พิจารณาหอที่ดูเก่าแก่ตรงหน้า ขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปเอ่ยถามพลขับ
ด้านบนประตูหอมีแผ่นป้ายเขียนว่า ‘หอไฉ่เซวียน’
“ท่านอาวุโส อย่าเห็นว่าหอไฉ่เซวียนดูไม่สะดุดตาเลย แต่เป็นร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมาเนิ่นนานที่สุดของเมืองแล้ว” พลขับกลับเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ก็ได้ ข้าจะไปดูก่อน” หานลี่ได้ยินคำนี้ดูเหมือนจะยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยกมือขึ้นจ่ายศิลามาร แล้วเดินเข้ามาในหอด้วยท่าทีองอาจ
แต่เมื่อเข้าไปในประตูของหอ คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นเล็กๆ จากนั้นตรงหน้าก็มีแสงเจิดจ้า ชั่วขณะนั้นห้องโถงยักษ์ขนาดสองสามหมู่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
“จุ๊ๆ คาดไม่ถึงว่าจะใช้อาวุธมารห้วงเวลา เปิดรอยแยกห้วงเวลาเล็กๆ ดูแล้วแม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ร้านที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น” หานลี่อดที่จะเอ่ยชื่นชมไม่ได้ สายตาถึงได้กวาดไปทั่วทั้งห้องโถง