“ข้าแผนที่ใกล้ๆ กับเหมืองแร่มาด้วยวิธีพิเศษ และพบว่าห่างจากเหมืองแร่ไม่ไกลนัก คือเหมืองแร่ของท่านเจ้าเมือง ว่ากันว่าเป็นเหมืองแร่ระดับสุดยอดที่เหมือนกับเส้นโลหิตของเหมืองแร่ แม้แต่คนของเจ้าเมืองก็ยังไม่กล้าขุด จึงยังอยู่จนมาถึงทุกวันนี้” อู๋โยวเอ่ยอย่างแช่มช้า
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าศิลาแร่หายากที่พวกเราพบความจริงแล้วเป็นของเจ้าเมือง” ชายหนุ่มเผ่ามารพลันตกตะลึง แต่ก็ยังมีท่าทีไม่เชื่อหลายส่วน
“ใช่แล้ว ข้าขบคิดอย่างละเอียดแล้ว จากเหมืองแร่ที่พวกเราขโมยมา มากสุดคงเป็นเหมืองแร่ระดับกลางเท่านั้น ต่อให้ทลายท้องฟ้า ก็ไม่อาจมีศิลาแร่ระดับสุดยอดจำนวนมหาศาลนี้ปรากฏขึ้นได้ กว่าครึ่งระหว่างที่ขุดคงไปทางเหมืองแร่ และไปขุดโดนเหมืองแร่ระดับสุดยอดของท่านเจ้าเมือง จุดที่ตัดสลับกันไปมาของเหมืองแร่ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น แค่พวกเราดวงดี จึงแอบขุดมาได้นานขนาดนี้ และไม่เคยถูกผู้คุ้มกันของจวนเจ้าเมืองพบเท่านั้น” อู๋โยวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ครั้งนี้แม้แต่บุรุษและสตรีเผ่ามารคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี
ไม่ต้องสงสัยเลย จากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทะเลสาบน้ำตกสีครามที่มีที่พึ่งคือท่านเจ้าเมือง เป็นขุมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบน้ำตกสีคราม ต่อให้เป็นเบื้องหลังของขุมอำนาจอื่นๆ ก็ยังต้องขบคิด แต่ย่อมไม่กล้าเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองตรงๆ
พวกเขาเป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาเท่านั้น ไปยุ่งกับขุมอำนาจที่เดิมก็ต้องเงยหน้ามอง จุดจบจะเป็นเช่นไรไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
ชั่วขณะนั้นแม้แต่หญิงสาวเผ่ามารที่มีใบหน้าหมดจดผู้นั้น ใบหน้าก็ไม่มีสีหน้าอาลัยอาวรณ์อีก กลับมีสีหน้าหวาดกลัว
“ดังนั้น พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะโชคดี ครั้งนี้รักษาชีวิตรอดออกไปจากทะเลสาบน้ำตกสีครามได้ก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว และสาเหตุที่ข้าหาคนนอกมารับศิลาแร่กองนี้ไป ยิ่งไปกว่านั้นยังขายในราคาต่ำก็ขึ้นอยู่กับจุดนี้ด้วย ศิลามารจำนวนมหาศาลจากการขายศิลาแร่ในครั้งนี้ อาจจะกลายเป็นเครื่องมือรักษาชีวิตสุดท้ายของพวกเรา แน่นอนว่าหากพวกเราหนีไปได้อย่างราบรื่น ศิลามารกองนี้ย่อมต้องแบ่งให้กับทุกคน” อู๋โยวดูเหมือนจะขบคิดทุกอย่างเสร็จแล้ว จึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของอู๋โยว เผ่ามารคนอื่นๆ ก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมา แน่นอนว่าย่อมทยอยกันเอ่ยว่าขอรับไม่หยุด
ส่วนการแลกเปลี่ยนพรุ่งนี้ คนเหล่านี้ก็ไม่ได้กังวลใจใดมากนัก
ถึงอย่างไรการแลกเปลี่ยนก็เป็นเรื่องลับๆ และสถานที่การแลกเปลี่ยนก็ไม่ได้อยู่ในที่รกร้าง ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่อาจมีความคิดอื่นได้ มิเช่นนั้นหากไปเรียกขุมอำนาจอื่นๆ มา ก็มีแต่ต้องซวยด้วยกันแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นอู๋โยวก็ยังเตรียมการทุกอย่าง และออกคำสั่งอย่างละเอียด ให้ลูกน้องไปทำตาม
คนอื่นๆ ย่อมไม่มีความเห็นใด ทันใดนั้นก็ทยอยกันตอบตกลง จากนั้นก็แบ่งกลุ่มทยอยออกไปจากห้องโถง
……
ยามนี้หานลี่นั่งโดยสารอยู่บนรถอสูรคันหนึ่ง กำลังวิ่งตรงไปยังประตูเมืองทางตะวันออก
สองสามชั่วยามต่อมารถอสูรก็เคลื่อนออกจากประตูเมือง และวิ่งไปตามถนนหินสายหนึ่งเนิ่นนาน สุดท้ายก็เข้าใกล้ขอบป่าลึกสีเขียวขจี
รถหยุดลง หานลี่ลงจากลงทันที และมองไปยังป่าลึกแวบหนึ่ง
ตรงชายป่ามีถนนสายเล็กๆ ที่คดเคี้ยวสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันทอดตัวไปสู่สถานที่อันเงียบสงบ
หานลี่แววตาเปล่งประกายสายตาตกอยู่ที่ต้นไม้สูงค้ำฟ้าข้างทาง
บนกิ่งไม้นั้นมีแผ่นป้ายไม้สีเหลืองไม่สะดุดตาตอกอยู่ ด้านบนใช้หมึกสีดำอ่อนเขียนตัวอักษรโบราณที่สวยงามเอาไว้!
“เรือนก่วงหยวน”
หานลี่อ่านตัวอักษรโบราณบนแผ่นไม้ด้วยเสียงแผ่วเบา แล้วสาวเท้าเดินไปยังถนนสายเล็กๆ ที่ทอดตัวไปยังป่าลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
เมื่อเดินเข้ามาในป่าลับได้ไม่ถึงสามสิบสี่สิบจั้ง หักเลี้ยวสองสามครั้ง ทางเข้าเดิมก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และในยามนั้นเองด้านหน้าถนนกลับมีชายชราชุดสีเทาร่างกายสูงใหญ่ปรากฏขึ้นคนหนึ่ง
สีหน้าแดงก่ำ ดวงตารียาว!
เขาถือคัมภีร์โบราณหนังสีเงินเอาไว้ พิงต้นไม้ใหญ่อยู่ริมทาง แล้วสั่นศีรษะพร้อมกับอ่านอย่างเพลิดเพลิน
หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของชายชราเล็กน้อย พบว่าเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วแล้วเดินไปด้านหน้าต่อ
ยามที่เขาผ่านข้างกายของชายชราไป ก็แค่แผ่กลิ่นอายระดับหลอมสุญตาออกมาเท่านั้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ส่วนชายชราก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น แค่อ่านคัมภีร์โบราณในมือ ราวกับว่าจมอยู่ในภวังค์อย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเมื่อเงาแผ่นหลังของหานลี่หักเลี้ยวไปจากถนนสายเล็กๆ ชายชราชุดคลุมสีเทาก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้ามีเหงื่อแตกพลั่ก
“แรงกดมหาศาลเพียงนี้ ดูแล้วคงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาธรรมดาๆ ต้องแจ้งเจ้าพวกด้านหลังว่าอย่าขวางเขา คนผู้นี้มีคุณสมบัติเข้าเรือนก่วงหยวนได้” ชายชราเอ่ยพึมพำกับตัวเอง นิ้วหนึ่งวาดไปบนคัมภีร์โบราณในมืออย่างรวดเร็ว
อักขระยันต์สีดำสองสามตัวปรากฏออกมา แต่ทันใดนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหน้ากระดาษสีเงิน
ชายชราถอนหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ร่างกายเลือนราง ระเบิดลำแสงสีเขียวออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไปจากใต้ต้นไม้ใหญ่
……
หนึ่งมื้ออาหารต่อมาหานลี่ก็เดินมาถึงหน้าหอห้าชั้นที่อยู่ตรงใจกลางป่าลึก
หอแห่งนี้สร้างขึ้นจากไม้แกะสลักสีขาวนวล และยิ่งไปกว่านั้นดูจากสีแกมเหลืองแล้ว ดูเหมือนจะมีอายุเก่าแก่ อยู่มาไม่น้อยแล้ว
และตรงหน้าหอกลับมีหญิงสาวสวมชุดคลุมสีเขียวคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงนั้นเงียบๆ
หญิงสาวหน้าตาพริ้มพราย ท่าทางมีอายุสิบห้าสิบหกปี สวมชุดสาวใช้คนหนึ่ง
นางเห็นหานลี่ปรากฏตัวก็เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน และคารวะพลางเอ่ยกับหานลี่ว่า
“ซีเอ๋อร์คารวะท่านอาวุโส เชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ คุณหนูของพวกเรารอท่านอาวุโสอยู่ที่ด้านบน”
“คุณหนูของพวกเจ้า? ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าของเรือนก่วงหยวนจะมีเซียนอยู่ท่านหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็นำทางไปเถิด!” หานลี่กลับไม่ได้คิดอันใดมาก พยักหน้า แล้วตามหญิงสาวสวมชุดสีเขียวไปที่ประตูหอ
เมื่อเข้าไปในประตูหานลี่ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แปลกประหลาด แทบจะทำให้หนาวสะท้าน หลังจากที่โคจรพลังปราณในร่างทันทีรอบหนึ่ง ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
แต่รอให้เขากวาดจิตสัมผัสไปรอบด้านก็พบว่ากลางอากาศมีระลอกคลื่นต้องห้ามรางๆ
เห็นได้ชัดว่าด้านในถูกคนลงอาคมที่ร้ายกาจเอาไว้ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าอันตรายได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นอาคมที่ไม่ธรรมดา
ชั้นหนึ่งของหอนอกจากจะมีโต๊ะเก้าอี้ง่ายๆ แล้ว ก็มีภาพวาดโบราณแขวนอยู่ตามผนังสองสามภาพ และไม่มีสิ่งใดอีก
หานลี่มองภาพวาดโบราณที่อยู่ใกล้เขาที่สุดแวบหนึ่ง แล้วกวาดสายตาไปยังภาพวาดโบราณภาพอื่นๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา และพยักหน้าน้อยๆ
บนภาพวาดโบราณคือกระจกสัมฤทธิ์ขึ้นสนิม ดูสมจริง และยังมีท่าทีชำรุดไม่สมบูรณ์
บนภาพวาดโบราณอีกสามภาพเป็นภาพกระบี่ยาวสีฟ้าเปล่งแสงเย็นเยียบ ทวนยาวสีทองเรืองรอง และแผ่นป้ายสีดำสนิท
“อันใด ท่านอาวุโสมองอันใดออกหรือ! หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่านอาวุโสพบความลึกลับของภาพวาดได้ในระยะเวลาอันสั้น สายตาเฉียบแหลมนัก เพียงพอจะจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของแขกที่เข้ามาในเรือนของเรา” สาวใช้สวมชุดสีเขียวชีเอ๋อร์แววตาฉายแววตกตะลึง
“เพิ่งจะจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกหรือ?” หานลี่ได้ฟังก็มีท่าทางไม่คิดเช่นนั้น
“ท่านอาวุโสอย่าดูถูกร้อยอันดับแรก หนึ่งในพวกเขาล้นเป็นท่านอาวุโสระดับหลอมสุญตาเหมือนกับกับท่านอาวุโส ส่วนคนอื่นๆ ที่มีพลังยุทธ์น้อยกว่า ก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมาก” สาวใช้สวมชุดสีเขียวรีบร้อนอธิบาย
“ร้อยอันดับแรก หึๆ! หากคนนอกคิดว่าภาพวาดสี่ภาพนี้เป็นแค่เขตอาคมสี่คชสารธรรมดา เกรงว่าหากตกอยู่ในเขตอาคม ก็คงต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย เขตอาคมลับอีกเขตที่พวกเจ้าวางเอาไว้ถึงจะเป็นเครื่องมือสังหารที่แท้จริงสินะ ไม่ทราบว่าจุดนี้มีแขกกี่คนที่มองออก” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชาออกมาขณะเอ่ย
“ท่านอาวุโสดวงตาเฉียบแหลมนัก! แขกที่มองเขตอาคมสี่คชสารออกย่อมมีอยู่น้อยมาก แค่ไม่ถึงสิบคน และยิ่งไปกว่านั้นกว่าครึ่งล้วนเป็นท่านอาวุโสระดับจอมมาร ในเมื่อท่านอาวุโสทำได้ถึงขั้นนี้ ตามกฎแล้วก็ไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบที่ชั้นสอง สามารถไปพบคุณหนูของเราได้เลย คุณหนูของเรารอต้อนรับแขกคนสำคัญอยู่ที่ชั้นสาม” หญิงสาวสวมชุดสีเขียวพลันตกตะลึง กะพริบตาปริบๆ ขณะตอบกลับ
“เยี่ยม ข้าเองก็อยากพบตั้งนานแล้ว ว่ากันว่าเจ้าของเรือนก่วงหยวนไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ในทะเลสาบน้ำตกสีคราม” หานลี่ย่อมไม่มีความเห็นอื่น พลางพยักหน้าตอบรับ
ดังนั้นหานลี่จึงเข้าไปในชั้นสองของหอได้อย่างง่ายดายโดยมีหญิงสาวสวมชุดสีเขียวซีเอ๋อร์เป็นผู้นำทาง
การจัดวางของชั้นนี้ไม่เหมือนกับชั้นแรก นอกจากเก้าอี้ไม้ง่ายๆ สองสามตัวแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะมีกระถางต้นไม้หลากสีสันวางอยู่ ด้านในมีสมุนไพรวิญญาณนิรนามวางอยู่จำนวนมาก
และด้านหน้ากระถางเหล่านั้นก็มีฮูหยินเผ่ามารท่าทางอ่อนช้อยเรือนผมสีเทาขาวยืนอยู่คนหนึ่ง
ยามที่หานลี่เข้ามาฮูหยินผู้นั้นก็ใช้มือหนึ่งถือขวดหยกสีเขียวขวดหนึ่ง พ่นน้ำพุบริสุทธิ์ออกมา กำลังรดน้ำต้นไม้สีแดงสดต้นหนึ่ง
“น้าจูท่านอาวุโสผู้นี้เป็นแขกที่คุณหนูต้องการพบในวันนี้ เขาแยกแยะเขตอาคมที่สองของชั้นหนึ่งได้ ซีเอ๋อร์จะพาเขาไปพบคุณหนู” หญิงสาวสวมชุดสีเขียวเอ่ยกับฮูหยินอย่างเคารพนบน้อม
“อ๋อ แยกแยะเขตอาคมที่สองได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ เอ๋ นายท่านปกปิดพลังยุทธ์ไว้ส่วนหนึ่งสินะ”
เดิมฮูหยินผู้นั้นมีสีหน้าราบเรียบ เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวสวมชุดสีเขียวถึงได้มองหานลี่แวบหนึ่ง ผลขึ้นพลันหน้าเปลี่ยนสีในพริบตา แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าใจหายวาบ
ชั่วพริบตาที่หานลี่เห็นฮูหยินผู้นี้ก็มองออกว่าอีกฝ่ายเป็นจอมมารของเผ่ามาร และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นจอมมารระดับขั้นปลาย เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายดูออกว่าพลังยุทธ์ของตนเป็นของปลอม ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลง เนิ่นนานถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า
“ข้าน้อยคิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีคนที่มีพลังยุทธ์อย่างสหาย ทว่านายท่านโปรดวางใจ ข้าปิดบังพลังยุทธ์ไว้ไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่สะดวกในการทำธุระเท่านั้น”
“จุดนี้ข้าก็เชื่อ พลังยุทธ์ระดับท่าน ไม่เหมาะที่จะไปพบหน้าผู้คนมากมายจริงๆ แต่ในเมื่อสหายมาที่เรือนของเราด้วยตนเอง จากนี้ก็ให้ข้าพาท่านไปพบคุณหนูเถิด ซีเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อนเถิด” ฮูหยินเผ่ามารฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว หลังจากเอ่ยสองประโยค ก็ออกคำสั่งกับหญิงสาวชุดสีเขียว