“หากกล่าวว่าอาคม ก็ไม่อาจนับว่าเป็นอาคม แค่เคล็ดวิชามารที่ข้าฝึกฝนเป็นเคล็ดวิชาที่นางสร้างขึ้นโดยเฉพาะ แน่นอนว่าย่อมต้องมีอันใดซ่อนเอาไว้ นอกเสียจากข้าจะมีพลังยุทธ์เหนือกว่าบรรพชนแรกเริ่มผู้นี้ มิเช่นนั้นขอแค่นางใช้ความคิด พลังปราณในร่างก็จะถูกนางควบคุมไปจนหมด ไม่อาจต่อต้านได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องร่างแยกสำรอง ก่อนหน้านี้ลิ่วจี๋เคยพูดเอาไว้อย่างชัดเจน และเป็นข้าที่เลือกเอง จึงไม่อาจเคียดแค้นอันใดได้ และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้นางมีบุญคุณต่อข้า ตอนแรกหากนางไม่ลงมือช่วยเหลือ ข้าจะมีโอกาสบรรลุขึ้นมาได้อย่างไร คงค้างอยู่ที่แดนมนุษย์ และกลายเป็นดินเหลืองใต้ยมโลกแล้ว” วิญญาณม่วงถอนหายใจออกมากลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เกิดเรื่องอันใดกับเจ้าที่แดนมารกันแน่ เหตุใดบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลิ่วจี๋ถึงได้ช่วยให้เจ้าบรรลุขึ้นมา” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยถามด้วยอย่างเคร่งขรึม
“ความจริงแล้วก็ไม่มีอันใดต้องพูด ตอนนั้นคุณสมบัติของข้ามีจำกัด แม้ว่าจะผนึกระดับก่อกำเนิดได้ แต่ก็ไม่อาจไปถึงระดับเทพแปลงได้ พลังยุทธ์เช่นนี้ต่อให้เสี่ยงเข้าไปในห้วงมิติเวลา โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีโอกาส จะทำอย่างไรได้ ข้าจึงทำได้เพียงคิดหาวิธีจากสิ่งอื่น ตอนนั้นจึงเริ่มเดินทางไปตามสถานที่ลึกลับในแดนมนุษย์ เพื่อตามหาสมุนไพรและสูตรปรุงยาที่มีประโยชน์มาช่วยทะลวงจุดคอขวดของตนเอง ตามที่ข้าคิดต่อให้เลวร้ายแค่ไหนหากหาสมบัติคุ้มครองร่างกายที่แข็งแกร่งได้ ข้าเองก็กล้าเสี่ยงเข้าไปในห้วงมิติเวลาก่อนที่อายุขัยจะสิ้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าข้าเสียเวลาไปสองสามร้อยปีก็หาสมุนไพรและสมบัติที่เหมาะสมไม่พบ แต่กลับหาแท่นบวงสรวงที่หลงเหลืออยู่ของมารโบราณพบ และบังเอิญไปถูกมันเข้า” วิญญาณม่วงเอ่ยจนมาถึงยามนี้ ก็หยุดชะงักด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่าอาศัยแท่นบวงสรวง เจ้าถึงติดต่อบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลิ่วจี๋ได้!” หานลี่พลันถึงบางอ้อ
“แม้ว่าขั้นตอนจะยุ่งยาก ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่สุดท้ายผลก็ไม่แตกต่างกันนัก เสี้ยวจิตสัมผัสของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลิ่วจี๋ใช้แท่นบวงสรวงลงมาจุติผ่านห้วงเวลา จากนี้ก็ไม่ต้องอธิบายให้ละเอียดแล้ว ภายใต้การชักจูงด้วยเสี้ยวจิตสัมผัสของลิ่วจี๋ สุดท้ายข้าก็ถูกนางช่วยบรรจุไอมารที่หลงเหลืออยู่ในดินแดนลับเข้าไปในร่าง และเปลี่ยนไปฝึกฝนเคล็ดวิชาสายมาร และพัฒนาจนมาอยู่ระดับเทพแปลงได้อย่างรวดเร็ว ความเร็วในการฝึกฝนและความง่าย แม้แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึง ตามที่ลิ่วจี๋กล่าวข้ามีร่างหยินพรหมจรรย์ที่หายาก ฝึกฝนเคล็ดวิชามารใช้สติปัญญาน้อยแต่ได้ผลมาก น่าจะเดินทางสายมารตามธรรมชาติ นี่คือสาเหตุที่นางเป็นฝ่ายอยากช่วยข้าบรรลุขึ้นมาแดนมาร หากเปลี่ยนเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ แม้ว่าจะติดต่อนางได้ แต่นางจะยุ่งยากทำไมกัน และหลังจากที่ข้าบรรลุขึ้นมาพบลิ่วจี๋ที่แดนมาร ถึงได้รู้ว่านางช่วยข้า ก็เพราะอยากเตรียมตัวเลือกร่างแยกของตนเท่านั้น” วิญญาณม่วงเอ่ยอย่างแช่มช้า
“ในเมื่อเจ้ารู้จุดประสงค์ของนางแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องตอบรับการเป็นศิษย์ของนาง ส่วนบุญคุณที่ช่วยเจ้าบรรลุขึ้นมา วันหน้าเจ้าค่อยหาวิธีอื่นตอบแทนก็ได้” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ตอนแรกที่ลิ่วจี๋ให้ตัวเลือกกับข้า! ไม่ให้นางเก็บไอมารเที่ยงแท้ที่มอบให้ข้าตอนแรกคืนไปทันที และกำจัดเคล็ดวิชามารที่นางถ่ายทอดให้ ทำให้ข้าตกลงไปเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำอีกครั้ง ไม่ก็เป็นศิษย์คนที่เจ็ดของนาง เตรียมเป็นร่างแยกสำรองให้นาง นางพูดไว้อย่างชัดเจน เป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องเคล็ดวิชา รวมทั้งในร่างของข้าก็มีแค่ร่างแยกของลิ่วจี๋เท่านั้น หากยามนี้ร่างแยกไม่เป็นไร ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้ศิษย์อย่างพวกเราไปชดเชย และจากตำแหน่งของบรรพชนแรกเริ่มลิ่วจี๋ แม้ว่าจะเป็นร่างแยกก็ไม่มีทางพบกับอันตรายง่ายๆ ดังนั้นพวกเราก็อาจจะเป็นแค่ศิษย์ของนางต่อไป ศิษย์คนโตของนางพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายไปตั้งนานแล้ว แม้กระทั่งมีชีวิตมาสองสามหมื่นปีโดยไม่เป็นอันใด และยิ่งไปกว่านั้นตามคำสัญญาของลิ่วจี๋ หากนางมีวันที่จะบรรลุได้จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องมีร่างแยก พวกเราก็จะได้รับอิสระ และยิ่งไปกว่านั้นคุณสมบัติของศิษย์ที่ฝึกฝนก่อนหน้านี้ล้วนมีขอบเขตการเติมเต็มที่ไม่จำกัด ไม่เหมือนกับเผ่ามารอื่นๆ ที่ต้องพยายามค้นหาไปทั่ว และจากที่ข้ารู้ความอันตรายของแดนมารก็ไม่ใช่สิ่งที่แดนมนุษย์หรือแดนวิญญาณอย่างพวกเจ้าจะเทียบเทียมได้ ทุกปีล้วนมีเผ่ามารระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนเพลี่ยงพล้ำไปกับอันตรายต่างๆ และการแย่งชิงในนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นพี่หาน จะเลือกอย่างไร?” วิญญาณม่วงเอ่ยออกมาทีเดียวมากมาย และสุดท้ายก็ถามย้อนกลับด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“ข้าหรือ…”
หานลี่ได้ฟังแล้วพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางเอ่ยพึมพำ
“ความเพียรของพี่หานวิญญาณม่วงนับถือมาโดยตลอด บางทีหากเปลี่ยนเป็นพี่หานอาจจะเลือกไม่เหมือนกัน แต่สำหรับข้าแล้วทางหนึ่งคือพลังยุทธ์ลดลง และยิ่งไปกว่านั้นต้องเสี่ยงอันตรายดิ้นรนฝึกฝนอยู่ในแดนมาร ไม่รู้ว่าตัวเองจะเพลี่ยงพล้ำไปอย่างง่ายดายวันไหน ทางหนึ่งคืออาจจะมีชีวิตอยู่ได้สองสามหมื่นปีอย่างปลอดภัยแม้กระทั่งนานกว่านั้นโดยไม่ต้องเครียดเรื่องแหล่งทรัพยากรฝึกฝน ความเย้ายวนใจนั้นไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวที่เพิ่งบรรลุขึ้นมาแดนมารอย่างข้าจะปฏิเสธได้ ดังนั้นข้าเองกลายเป็นศิษย์คนที่เจ็ดใต้อาณัติของลิ่วจี๋ไปทั้งอย่างนั้น ยามนี้แม้กระทั่งมีชื่อเสียงเล็กๆ ในแดนมาร และมีลูกน้องอยู่กลุ่มหนึ่ง” วิญญาณม่วงถอนหายใจพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“มิน่าล่ะเจ้าถึงได้เลือกเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้าก็จำใจต้องก้มหัว ทว่าการถูกควบคุมเช่นนี้ มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว หรือว่าไม่คิดจะหาวิธีหลุดพ้นเลยหรือ?” หานลี่เอ่ยถามพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง จินตนาการได้ว่าตอนนั้นวิญญาณม่วงคงจนปัญญาจริงๆ ถึงได้ตอบรับเงื่อนไขนี้
“หากมีวิธีทำให้หลุดพ้นจากการควบคุมของลิ่วจี๋ ศิษย์คนอื่นๆ อีกหกคนเหนือข้าล้วนเป็นเผ่ามารระดับสูงที่บรรลุระดับผสานอินทรีย์จะเชื่อฟังอยู่ใต้อาณัติลิ่วจี๋นางเช่นนี้หรือ ลิ่วจี๋นั้นเป็นบรรพชนแรกเริ่มของเผ่ามาร ประกอบกับมีร่างแยกจำนวนมากและลูกน้องที่นางควบคุมอยู่ ต่อให้ข้าหนีรอดจากการควบคุมของนางได้ แล้วจะซ่อนตัวได้นางเท่าไหร่ นอกเสียจากว่าจะซ่อนตัวอยู่แดนอื่น แต่หากไปจากแดนมารที่มีไอมารเต็มไปหมด ต่อให้ข้าล้มเลิกเคล็ดวิชามาร การรับใช้ไม่เพียงไม่มีโอกาสพัฒนาระดับขั้นอีก กลับอาจจะพลังยุทธ์ลดลง” วิญญาณม่วงมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจ เห็นได้ชัดว่าขบคิดถึงปัญหานี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว
“เช่นนั้นก็จัดการยากจริงๆ! แต่หากเสี่ยงอันตราย ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ไข” หานลี่ได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายพลางเริ่มครุ่นคิด
“อันใด พี่หานมีวิธีหรือ? ช่างเถิด แม้ว่ายามนี้เจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตอย่างลิ่วจี๋ก็ยังทำอันใดไม่ได้ เรื่องของข้ามันเสี่ยงเกินไป อย่าดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยวจะดีกว่า” วิญญาณม่วงพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้ แล้วสั่นศีรษะระรัวอย่างกังวลใจ
“จากกำลังในยามนี้ของข้าต่อกรกับบรรพชนแรกเริ่มลิ่วจี๋ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่พลังยุทธ์ของข้าไม่ได้หยุดนิ่ง ขอแค่ให้เวลาหน่อย ข้ามั่นใจว่าจะบรรลุระดับมหายานได้ ถึงยามนั้นข้ามั่นใจว่าแม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลิ่วจี๋ แต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ถึงยามนั้นก็มีคุณสมบัติจะเสนอราคากับมารตนนั้นได้” หานลี่แววตาเปล่งประกาย กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชาออกมา
“เจ้ามั่นใจว่าจะบรรลุระดับมหายานได้!” แม้ว่าวิญญาณม่วงจะมองความสามารถของหานลี่ไว้สูง แต่เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็อดที่จะร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้งไม่ได้ แม้กระทั่งน้ำเสียงยังสั่นเครือเล็กน้อย!
“วางใจเถิด ข้ากล้ากล่าวเช่นนี้ย่อมมั่นใจหลายส่วน” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ
วิญญาณม่วงมองใบหน้ามั่นใจของหานลี่อย่างตะลึงงัน อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้ตอบกลับอย่างอ่อนโยน
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าย่อมเชื่ออยู่แล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเรื่องนี้ยังต้องให้รอเจ้าบรรลุระดับมหายานค่อยปรึกษากัน รอเจ้ามีอิทธิฤทธิ์ระดับมหายานแล้ว คิดดูแล้วการฉีกห้วงเวลามาที่แดนมารอีกครั้ง ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก”
“ก็ได้ ยามนี้พลังยุทธ์ของเจ้าไม่นับว่าสูงนัก แม้ว่าร่างแยกของลิ่วจี๋จะเพลี่ยงพล้ำ ก็คงยังไม่มาหาเจ้า เจ้าอดทนสักหน่อยเถิด” หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ จึงฝืนระงับความกังวลในใจไว้ แล้วพยักหน้าอย่างแช่มช้า
“เอาล่ะ เมื่อครู่พี่หานเอาแต่พูดถึงเรื่องข้า เหตุใดถึงไม่พูดเรื่องตัวเองบ้าง เจ้าพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้ภายในระยะเวลาอันสั้น คิดดูแล้วคงมีประสบการณ์ในแดนวิญญาณมากกว่าข้ามาก” ราวกับอยากให้หานลี่เลิกคิดมากเรื่องตน วิญญาณม่วงจึงกลอกตาเป็นประกายไปมา ฉับพลันนั้นพลันเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาพลางเอ่ยถาม
“อืม ข้าบรรลุขึ้นมาก่อน จึงมีประสบการณ์ในแดนวิญญาณมากมาย บอกเจ้าหน่อยก็ไม่เป็นไร” หานลี่พลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็ตอบพร้อมกับอมยิ้ม
เวลาต่อจากนี้หานลี่พลันอธิบายประสบการณ์ตั้งแต่ที่ตนใช้ห้วงมิติเวลาข้ามมายังแดนวิญญาณอย่างช้าๆ แน่นอนว่าเรื่องลับๆ ระหว่างนั้นหานลี่ย่อมไม่ได้เอ่ยถึง
ประสบการณ์ในแดนวิญญาณของเขาย่อมน่าชมเป็นอย่างมาก
วิญญาณม่วงได้ฟังพลันหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง แม้กระทั่งอดที่จะเลิกคิ้วไม่ได้ มือหนึ่งปิดปากพร้อมกับร้องอุทานด้วยความตกตะลึงออกมาเป็นบางครั้งคราว ช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก!
รอให้หานลี่เอ่ยจบวิญญาณม่วงย่อมอธิบายเรื่องที่ตนพบในแดนมารด้วยเช่นกัน และถือโอกาสเล่าว่าตนได้รู้จักกับหลันอิ่งได้อย่างไร
ยามนี้หานลี่ถึงได้รู้ว่าวิญญาณม่วงเคยมีวาสนาช่วยหญิงสาวผู้นี้ครั้งนี้ ถึงได้ทำให้หญิงสาวผู้มีฐานะไม่ธรรมดาเรียกนางว่าพี่น้อง
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนนี้หานลี่พลันนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงอดที่จะถามไม่ได้ว่าวิญญาณม่วงขอให้หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านทำนายอันใดกันแน่ คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะเป็นฝ่ายมาหาด้วยตัวเอง
เมื่อได้ยินหานลี่ถามเช่นนี้ใบหน้าของวิญญาณม่วงกลับแดงระเรื่อ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมบอกรายละเอียดคำทำนายกับหานลี่
หานลี่มองสาวงามตรงหน้าที่กำลังเขินอาย ในใจพลันคาดเดาได้เจ็ดแปดส่วน ทันใดนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา แต่ก็ไม่ได้ซักถามต่อ กลับเอ่ยถามว่าหลันอิ่งมีวิธีช่วยนางไม่ให้ถูกจับเป็นร่างแยกของลิ่วจี๋หรือไม่
วิญญาณม่วงได้ยินก็สั่นศีรษะเป็นพัลวัน!
เมื่อเอ่ยถึงบรรพชนแรกเริ่มแดนมาร แม้ว่าเรือนก่วงหยวนจะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ แต่เรื่องนี้ก็ทำอันใดไม่ได้ แม้กระทั่งเคล็ดวิชาการทำนายก็ยังไม่มีผลมากนัก!
ผู้ดูแลเรือนก่วงหยวนคนที่แล้วคือท่านย่าของหลันอิ่งพอดี เพราะว่าเพลี่ยงพล้ำไปในอุบัติเหตุ หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านถึงได้รับตำแหน่งเจ้าของต่อ
แต่เพราะผู้ที่เพลี่ยงพล้ำไปพร้อมกับท่านยาของหญิงสาวสวมชุดผ้าป่านยังมีผู้พิทักษ์ระดับสูของเรือนก่วงหยวนจำนวนมาก ดังนั้นแม้ว่าหลันอิ่งจะรับตำแหน่งเจ้าของ แต่ยามนี้เรือนก่วงหยวนก็แข็งนอกอ่อนใน ความจริงแล้วอ่อนแออย่างหาที่เปรียบ ต้องอาศัยชื่อเสียงในอดีตของเรือนก่วงหยวน และน้าจูกับผู้พิทักษ์ระดับสูงที่เหลืออยู่อีกคนหนึ่งถึงได้ประคับประคองเรือนไปได้
มิเช่นนั้นจากพลังกำลังอันแข็งแกร่งในอดีตของเรือนก่วงหยวน ลิ่วจี๋ก็ต้องหวาดกลัวสักหน่อย ก่อนหน้านี้หากเอ่ยปากร้องขอไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสช่วยวิญญาณม่วง แต่ยามนี้กลับมีใจแต่ไร้กำลังแล้ว
หานลี่ได้ฟังก็พยักหน้าในใจ แล้วรับคำอธิบาย
เช่นนั้นหานลี่และวิญญาณก็พูดคุยกันไปกว่าครึ่งวัน!
ระหว่างทั้งสองแม้กระทั่งคุยกันเรื่องฝึกฝน และยิ่งไปกว่านั้นยังออกรสชาติ ไม่รู้ว่าเวลากำลังล่วงเลยไปเลยสักนิด
หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ม่านลำแสงห้าสีที่เดิมห่อหุ้มทั้งห้องเอาไว้พลันพลิ้วไหว
ในยามที่หานลี่หน้าเปลี่ยนสี เสียงของหญิงสาวก็ดังทะลุม่านลำแสงเข้ามา
“ทั้งสองท่านคงคุยกันพอสมควรแล้ว! ยามนี้ก็ยามเย็นแล้วหากคุยต่อ เรือนของข้าคงต้องปิดประตูไล่แขกแล้ว พี่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากให้น้องหญิงช่วยแถลงไขมิใช่หรือ ไม่ทราบว่ายามนี้ยังต้องการหรือไม่?”
เสียงนี้ย่อมเป็นเสียงของหญิงสาวสวมชุดผ้าป่าน