“อันใด ในมือของเจ้ามีจานแดนดารา อาวุธประเภทไข่มุกทลายแดนหรือ!” หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วพลางเอ่ยถาม
“อาศัยแค่จานแดนดาราย่อมไม่อาจทำเรื่องนั้นได้ รอให้ติดต่อตัวประหลาดเฒ่านั้นได้แล้ว ยามที่สหายมาครั้งหน้าน้องหญิงจะเตรียมตัวให้พร้อม ทว่าของสิ่งนั้นแม้ว่าจะล้ำค่าสำหรับเรือนก่วงหยวน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีข้อจำกัดในการใช้ แม้จะได้ของชิ้นนี้ไป พี่หานก็ไปมาที่แดนมารของเราได้ไม่ง่ายนัก ถ้าไม่จำเป็น ก็ห้ามใช้เด็ดขาด” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านพลันกำชับราวกับไม่วางใจ
“วางใจ หากเป็นอาวุธที่ใช้แล้วหมดไป ผู้แซ่หานจะใช้อย่างระมัดระวัง ไม่มีทางใช้อย่างเปล่าประโยชน์แน่” เมื่อได้ยินว่าสมบัติชิ้นนี้สามารถไปมาระหว่างสองแดนได้ หานลี่ย่อมดีอกดีใจเกินคาด และตอบตกลงทันที
หลันอิ่งเห็นหานลี่มีสีหน้าจริงใจ ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าเซียนจะสะดวกอธิบายให้ฟังได้หรือไม่” หานลี่กลับนึกอันใดได้ หลังจากไตร่ตรองเล็กน้อยก็เอ่ยถาม
“ยังมีปัญหา พี่หานก็ถามมาเถิด เหตุใดต้องเกรงใจเช่นนั้น” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มพลางตอบรับ
“ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดการรุกรานแดนวิญญาณของแดนมารในครั้งนี้ถึงไม่เหมือนกับครั้งอื่น คาดไม่ถึงว่าจะกินระยะเวลานาน และตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในแดนมารก็พบว่าเผ่ามารทั่วๆ ไปล้วนไม่รู้เรื่องนี้ และผู้ที่รุกรานแดนวิญญาณเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นขุมอำนาจที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์สั่งการมาและอสูรมารระดับต่ำและระดับกลางที่ถูกควบคุมเท่านั้น” หานลี่จ้องเขม็งไปยังที่หญิงสาวสวมชุดผ้าป่าน แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินหานลี่ถามเช่นนี้ ไม่ว่าหญิงสาวสวมชุดผ้าป่านหรือวิญญาณม่วงที่อยู่ข้างกาย และ ‘น้าจู’ ล้วนหน้าเปลี่ยน
“เรื่องนี้แม้ว่าน้องหญิงจะรู้แต่ข้อห้ามของเรือนคือ ‘ห้ามเข้าร่วมสงครามระหว่างแดนต่างๆ’ จึงไม่อาจบอกความจริงได้” หลังจากที่หลันอิ่งลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ในเมื่อเรื่องนี้ทำให้เซียนหลันลำบากใจ เช่นนั้นก็ทำเหมือนข้าน้อยไม่เคยถามก็แล้วกัน” หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ย่อมไม่กล้าซักถามต่อ แค่พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ
“พี่หาน หากอยากถามเรื่องนี้ ไม่ต้องหาน้องหญิงหลันหรอก ในฐานะลูกศิษย์ของลิ่วจี๋ย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว” วิญญาณม่วงหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งพลางเอ่ย
“อืม หากเจ้าสะดวกที่จะพูด หากไม่สะดวกก็ช่างเถิด ข้าเสียเวลาสักหน่อยก็ตรวจสอบเรื่องนี้ได้เช่นกัน” เดิมหานลี่ดีใจเล็กๆ แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“วางใจเถิด เจ้าไม่ต้องกังวล แม้ว่าเรื่องนี้จะมีแค่ระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะรู้ แต่จากที่แดนของเราทำสงครามกับแดนมนุษย์มาหลายปี ข่าวลือนี้คงไม่อาจปิดบังได้นานแล้ว ยามนี้ศิษย์ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราล้วนรู้แล้ว อีกไม่นานเชื่อว่าชนชั้นสูงทั้งแดนมารก็รู้เรื่องเคราะห์ของแดนมาร ไม่อาจปิดเป็นความลับได้อีก” วิญญาณม่วงตอบพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
“เคราะห์ของแดนมาร? เช่นนั้นข้าต้องตั้งใจฟังแล้ว” หานลี่ใจหายวาบ เอ่ยอย่างมิกล้าดูแคลน
“ถึงอย่างไรน้องหญิงหลันอิ่งและน้าจูรู้เรื่องนี้อยู่แล้วพูดไปก็ไม่เป็นไร หากมีจุดใดที่ผิด หวังว่าน้องหญิงหลันอิ่งช่วยบอกสักหน่อย” วิญญาณม่วงครุ่นคิด แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ความจริงแล้วเรือนของเรารู้เรื่องเคราะห์ของแดนมารไม่มากนัก และไม่ได้มากกว่าพี่หญิงม่วงเท่าใดนัก รู้แค่ว่าหากรับมือไม่ดี เกรงว่าแดนมารคงจะประสบหายนะจริงๆ กลุ่มบรรพชนศักดิ์สิทธิ์โดยมีสามบรรพชนแรกเริ่มของแดนมารเป็นผู้นำ แทบจะจดจ่อความคิดไปที่สิ่งนี้ การรุกรานแดนวิญญาณ ดูเหมือนจะมีแค่วิธีการเป็นกองหนุนเท่านั้น” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยอันใดที่เป็นรูปธรรม แต่ก็พูดไว้อย่างคลุมเครือ
หานลี่ได้ฟังก็อดที่จะตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้!
น้องหญิงหลันไม่สะดวกพูด ก็ให้ข้าอธิบายเรื่องเคราะห์เถิด จะว่าไปแล้วก็ยาวเรื่องนี้ เรื่องนี้ต้องย้อนไปในยามที่แดนมารถือกำเนิดได้ไม่นาน ว่ากันว่าแดนต่างๆ ยังมีเผ่าต่างๆ ที่ยามนี้สูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว และสิ่งมีชีวิตระดับเทพเซียนและมารเหล่านั้นบางครั้งก็อาจจะติดต่อกับเผ่าของเราในแดนล่างได้ แต่ในช่วงเวลานั้นเผ่าแมลงโบราณบางเผ่าที่ไม่น่าสะดุดตาในบางแดนพลันมีมารดาเพลี้ยที่พละกำลังน่ากลัวว่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเซียนถือกำเนิดขึ้น มารดาแมลงตัวนี้ไม่เพียงมีร่างมืดมนโดยธรรมชาติ และในเวลาเดียวกันยังมีพลังในการกลืนกินสิ่งต่างๆ สิ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวยิ่งกว่าก็คือมันมีความเร็วในการขยายพันธุ์ที่น่าตกตะลึง และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากถือกำเนิดก็จะมีพลังกลืนกินที่น่ากลัวเช่นกัน ว่ากันว่าแมลงเหี้ยมอย่างแมลงกลืนทองที่ถ่ายทอดไปในแดนต่างๆ อาจจะมีกรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาจากมารดาเพลี้ย ถึงได้มีอิทธิฤทธิ์การกลืนกินเช่นกัน” วิญญาณม่วงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก และมองหานลี่แวบหนึ่งอย่างมีเลศนัย
หานลี่ได้ฟังก็ไม่มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ดวงตาทั้งสองอดที่จะหรี่ลงไม่ได้
ยามนี้วิญญาณม่วงถึงได้เอ่ยต่อ
“ว่ากันว่าแค่ระยะเวลาสั้นๆ พันกว่าปี มารดาเพลี้ยก็พาลูกหลานมาหลายร้อยล้านตัวสังหารสิ่งมีชีวิตเผ่าต่างๆ ในแดนของมันไปจนเกลี้ยง และหลังจากนั้นหมื่นปีเศษทั้งแดนก็ถูกกลืนกินจนเกลี้ยงด้วยพลังฟ้าดิน ทุกสรรพสิ่งดับสูญ และสุดท้ายก็เริ่มพังทลาย มารดาเพลี้ยตัวนั้นกลับใช้อิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ก่อนที่แดนจะถูกทำลายพาลูกหลานแหวกผิวแดนเข้ามาอีกแดนที่อยู่ใกล้เคียง ทว่าแค่สองสามหมื่นปีแดนใหม่ที่เข้ามาก็เกิดฉากเดียวกัน ถูกทำลายจนเกลี้ยงเช่นกัน และเริ่มพังทลายเช่นนั้นจากนี้อีกหลายร้อยพันปี มารดาเพลี้ยก็พาลูกหลานทำลายแดนต่างๆ ไปอีกสองสามแดน และสุดท้ายก็ทำให้แดนเบื้องบนเกิดความสนใจ คาดไม่ถึงว่าจะให้เซียนสองตนลงมาจุติด้วยวิธีอันใดก็สุดจะรู้ได้ และล่อมารดาเพลี้ยและลูกหลานของมันมาที่แดนมารและเปิดฉากสังหาร ว่ากันว่าสงครามในปีนั้นแทบจะถึงขั้นทุกอย่างพังทลายรวมทั้ง หายนะไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ยามนั้นแดนลึกลับจำนวนไม่น้อยในแดนมารล้วนตกอยู่ในสงครามถึงได้ก่อตัวขึ้น และผลสุดท้ายของสงคราม กลับเป็นลูกหลานของมารดาเพลี้ยถูกสังหารจนเกลี้ยง ตนก็ได้รับบาดเจ็บหนักจึงถูกเทพเซียนทั้งสองใช้เคล็ดวิชาของแดนเซียนผนึกเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ หลับใหลไปตลอดกาล”
“ในเมื่อจับเป็นมารดาเพลี้ยได้ เทพเซียนสองคนนั้นไม่เอาชีวิตของมันเสียล่ะ เหตุใดต้องใช้เคล็ดวิชาผนึกมันเอาไว้ หรือว่าเคราะห์ของแดนมารในครั้งนี้เกิดจากมารดาเพลี้ยตื่นขึ้น?” หานลี่ฟังจนมาถึงยามนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม
“เหตุใดเซียนทั้งสองจึงไม่สังหารมารดาเพลี้ย เพราะว่ายุคสมัยมันเนิ่นนานมาแล้วจึงพูดยาก บางทีมารดาเพลี้ยอาจจะมีวิธีการรักษาชีวิตอันใด จึงไม่อาจสังหารทิ้งได้และบางทีหลังจากสงครามแล้ว เซียนทั้งสองเองก็อาจจะได้รับบาดเจ็บหนัก จึงไม่อาจทำเรื่องเช่นนั้นได้ ทว่าไม่ว่าตอนแรกจะเพราะสาเหตุอันใด ยามนี้ที่พี่หานเดานั้นก็ไม่ผิด มารดาเพลี้ยเริ่มตื่นขึ้นจากหมื่นกว่าปีก่อน และยิ่งไปกว่านั้นยังสืบพันธุ์ลูกหลานจำนวนมาก และเริ่มทำลายผนึกไม่หยุด บรรพชนแรกเริ่มทั้งสามถูกทำให้ตกใจ จึงใช้วิธีการต่างๆ มาเสริมความแข็งแกร่งของผนึกจากภายนอก และส่งคนไปสังหารเพลี้ยระดับต่ำและระดับกลางต่างๆ ที่ออกมาจากรอยแยกผนึกไม่หยุด แต่ก็ทำได้เพียงยืดเวลาไม่ให้มารดาเพลี้ยทะลวงผนึกออกมาเท่านั้น และหากแมลงตัวนี้ออกมาได้ จุดจบของแดนมารจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว มารดาเพลี้ยไม่มีทางจับเชลยศึกหรือว่าทุ่มเทใดๆ แน่ ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องถูกมันกลืนกินไปจนหมด เป็นเคราะห์มารอย่างแท้จริง” วิญญาณม่วงเอ่ยมาถึงตอนสุดท้าย ใบหน้าก็เผยสีหน้ากังวลใจออกมา
“ฟังจากคำพูดของวิญญาณม่วงหากมารดาเพลี้ยทำลายแดนมารได้จริงๆ ขั้นต่อไปก็อาจจะข้ามมาที่แดนวิญญาณของพวกเรา” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้ อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“แดนที่ติดกับแดนมารไม่ได้มีแค่แดนวิญญาณ ยังมีแดนอื่นๆ อีกสองสามแดน แต่หากแดนมารไม่อยู่อีกต่อไป แดนวิญญาณก็มีอัตราที่จะกลายเป็นดินแดนที่จะลงมือแดนต่อไป และต่อให้ไม่ใช่รอให้แดนอื่นๆ ถูกทำลายไปจนหมด แดนวิญญาณก็จะประสบกับหายนะ” หญิงสาวสวมชุดผ้าป่านกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นขอแค่กำจัดมารดาเพลี้ยได้ ไม่เพียงจะแดนมารจะถอนทหารกลับทันที ยังกำจัดหายนะในอนาคตของแดนวิญญาณของพวกเราได้อีกด้วย!” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมพลางขบคิดอยู่นานถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา
“มารดาของเพลี้ยจัดการได้ง่ายดายเช่นนั้นที่ไหนกัน? หากเจ้าทำได้ ไม่เพียงสงครามของสองแดนตรงหน้าจะหายไป ต่อให้ทำให้แดนมารล้มเลิกความคิดอยากรบกวนแท่นบวงสรวงของแดนวิญญาณก็เป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่นอกเสียจากว่าเทพเซียนจะจุติลงมา มิเช่นนั้นความคิดนี้ก็เป็นแค่ความคิดที่เพ้อฝันเท่านั้น” วิญญาณม่วงเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“อืม เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าในตอนนี้จะสอดมือไปยุ่งได้ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า การผนึกมันยังต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง และมีเพียงต้องรอค่อยว่ากันในอนาคต” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง สุดท้ายก็ทำได้เพียงสั่นศีรษะแล้วโยนเรื่องนี้ทิ้งไปชั่วคราว
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสองสามแดน มอบให้สิ่งมีชีวิตระดับมหายานของแดนวิญญาณจัดการก็แล้วกัน ยามนี้เขาเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง จึงไม่อาจรับภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้ได้
มากสุดหลังจากกลับไปก็บอกเรื่องนี้กับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานอย่างม่อเจี่ยนแล้วค่อยว่ากัน!
หานลี่ตัดสินใจเช่นนั้นและไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก พอคุยสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจากแดนมารกับวิญญาณและพวก สุดท้ายก็ขอตัวลาไปพร้อมกับวิญญาณม่วง
ทว่าหานลี่ออกมาจากหอกับวิญญาณม่วง และเดินตามถนนเล็กๆ ออกมาจากป่าลับ ตรงทางออกมีผู้พิทักษ์เผ่ามารสวมชุดเกราะยืนล้อมรถอสูรที่วิจิตรงดงามอยู่เจ็ดแปดคน
“พี่หาน ถึงอย่างไรเจ้าก็จะกลับเมืองอยู่แล้ว ข้าใช้รถอสูรไปส่งเจ้าก็แล้วกัน ระหว่างทางข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้าให้ละเอียด” วิญญาณม่วงชะงักฝีเท้า หันหน้าไปเอ่ยกับหานลี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ได้ ข้าเองก็มีเรื่องอยากปรึกษากับเจ้า” หานลี่พยักหน้า และไม่ได้ปฏิเสธ