หลังจากผู้สวมชุดคลุมสีเทาสะบัดแขนเสื้อ ก็สลายหายไปท่ามกลางรัศมีลำแสง
สองวันต่อมาหานลี่ก็นั่งอยู่บนรถอสูรมุ่งตรงไปยังเรือนก่วงหยวนจากเมืองน้ำตกสีครามอีกครั้ง
ภายในหอกลางป่าลับ หานลี่มาพบหลันอิ่งอีกครั้ง และอยู่ในห้องลับกับนางสองสามชั่วยาม ถึงได้เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มลึกลับ แล้วกลับไปในเมืองอีกครั้งด้วยท่าทีไม่รีบร้อน
ครั้งนี้เมื่อหานลี่เข้ามาในโรงเตี๊ยม ก็อยู่ที่นั่นหลายวันโดยไม่ออกมา
เพราะยามที่หานลี่มาถึงก็จ่ายศิลามารเป็นจำนวนหนึ่งเดือน ดังนั้นยามแรกเผ่ามารอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมจึงไม่ได้สนใจมากนัก
แต่พอถึงสองสามวันสุดท้ายของหนึ่งเดือน ก็ยังคงไม่เห็นหานลี่เคลื่อนไหวอยู่ในนั้น ถึงได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
ยามที่วันสุดท้ายมาถึงในที่สุดเผ่ามารที่รับหน้าที่ทำบัญชีของโรงเตี๊ยมก็มาเคาะประตูอย่างระมัดระวัง และสุดท้ายก็เดินเข้าไปข้างใน ถึงได้พบว่าในห้องนั้นว่างเปล่า
……
หานลี่นั่งอยู่บนรถเหาะสีเทาหม่นคันหนึ่ง กำลังหลับตาทำสมาธิ
ตรงข้ามของเขาชายหนุ่มผิวขาวและหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่อีกมุมของรถเหาะ
ทั้งสองมีสีหน้าเยือกเย็น นิ่งงันราวกับไม้แกะสลัก ดวงตาทั้งสองข้างกลอกไปมาไม่หยุด มองไปทางซ้ายทีขวาที
นั่นคือนักพรตเซี่ยและจูกั่วเอ๋อร์
หลังจากที่หานลี่ออกจากเกาะอย่างเงียบเชียบ มาถึงจุดที่นัดกัน ก็พาทั้งสองกลับมาและออกเดินทางอย่างไม่ล่าช้าเลยสักนิด
บินมาได้สองสามวันพวกเขาก็ออกจากเขตทะเลสาบน้ำตกสีคราม เข้าสู่เขตแดนมารที่อยู่ใกล้เคียง
เช่นนั้นหานลี่ก็รู้สึกผ่อนคลายลง
เขาในยามนี้นับว่าประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่แล้ว แน่นอนว่าจึงคิดจะออกจากแดนมารแล้วกลับไปยังแดนวิญญาณ
จากแผนที่เขาและบรรพชนตระกูลหล่งวางไว้ตอนแรก แน่นอนว่าย่อมไม่อาจกลับไปทางเดิมได้ จึงตัดสินใจว่าหลังจากที่ได้ประโยชน์จากทะเลกำเนิดมารแล้วก็จะใช้เส้นทางที่เคยหาอีกแห่งในแดนมารกลับไปยังแดนวิญญาณ
เส้นทางที่บรรพชนตระกูลหล่งเอ่ยนั้น ไม่เพียงอยู่ในแดนมารที่เปล่าเปลี่ยวรกร้าง ไม่ค่อยมีเผ่ามารระดับสูงคุ้มกันอยู่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นเขตของแดนวิญญาณอีกด้านที่ถูกส่งไปก็ไม่ใช่เขตแดนของเผ่ามนุษย์และปีศาจ แต่เป็นแดนข้างเคียงของเผ่าพฤกษา
เช่นนั้นขอแค่พวกเขาเข้าไปในอุโมงค์โดยไม่คาดคิด คิดดูแล้วเผ่ามารที่รักษาการณ์อยู่คงไม่อาจขัดขวางไม่ให้พวกเขากลับไปได้
ยามนี้บรรพชนตระกูลหล่งและพวกล้วนเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว แต่หานลี่ก็คิดจะกลับไปทางเดิม
ถึงอย่างไรเสียเส้นทางที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน หากส่งไปยังแผ่นดินใหญ่อื่นของแดนวิญญาณ เขาคงจะหัวเราะก็ไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้
เขาไม่อยากเสียเวลาอีกร้อยสองร้อยปีเพื่อกลับไปเผ่ามนุษย์
ทว่าหานลี่นึกถึงวิญญาณม่วง ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กๆ
หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอันใดกับหญิงสาวผู้นี้ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผ่านไปนานถึงได้มาพบกับวิญญาณม่วง กลับจำใจต้องรีบจากกันอีกครั้ง ความรู้สึกในใจจึงไม่อาจอธิบายได้
แน่นอนหากไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชามารที่วิญญาณม่วงฝึกฝนถูกลิ่วจี๋จำกัดเอาไว้ เขาคงพาหญิงสาวผู้นี้กลับไปยังแดนวิญญาณ และหาเคล็ดวิชาลับอื่นมากำจัดไอมารในร่างของนาง ให้นางกลับมาเป็นเผ่ามนุษย์อีกครั้ง
ยามนี้ทำได้เพียงปล่อยให้วิญญาณม่วงอยู่ในแดนมารไปก่อน
หานลี่ขบคิดเงียบๆ ไปพลาง ย้อนนึกถึงฉากที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ในวันนั้น ในเวลาเดียวกันใบหน้างดงามไม่เป็นสองรองใครอีกใบหน้าหนึ่งก็อดที่จะฉายแวบขึ้นมาในหัวไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาเปล่งประกายวาววับ
แทบจะในเวลาเดียวกันลำแสงด้านล่างรถเหาะก็หม่นแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะหยุดชะงัก แล้วลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ
“ท่านอาวุโสหานเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” จูกั่วเอ๋อร์ใจเต้น พลางเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
นักพรตเซี่ยกลับยังคงนั่งสมาธิอยู่ด้านข้างสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
“ดูเหมือนพวกเราจะเข้าไปในเขตอาคมระดับสุดยอดโดยบังเอิญ การวางเขตอาคมนี้ลึกล้ำมาก หากประมาทแม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจสัมผัสได้” หานลี่ยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้วน้อยๆ
“เขตอาคมระดับสุดยอด แม้แต่ท่านอาวุโสก็สัมผัสไม่ได้! หรือว่ามันมุ่งมาหาพวกเรา!” จูกั่วเอ๋อร์รู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นหลายส่วน
“พี่เซี่ย เจ้าคิดว่าเขตอาคมนี้เป็นอย่างไร?” หานลี่ไม่ตอบจูกั่วเอ๋อร์ กลับหันหน้าไปเอ่ยถามนักพรตเซี่ย
นักพรตเซี่ยได้ยินก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น หันหน้าไปพิจารณารอบด้าน แล้วตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
“นี่เหมือนเขตอาคมหกตัดมรกต แค่ชำรุดเท่านั้น หากข้าเป็นสหาย ก็คงจะเดินหน้าต่อตรงไปยังเนตรอาคม แม้ว่าที่นั่นจะเป็นจุดที่มีอานุภาพเขตอาคมมากที่สุด แต่ก็เป็นจุดเดียวที่ออกจากเขตอาคมได้เช่นกัน”
เอ่ยจบนักพรตเซี่ยก็ปิดปากไม่พูดอันใดแข็งทื่อไปอีกครั้ง
“เขตอาคมอัสนีตัดมรกต? แม้ว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จากประสบการณ์ของพี่เซี่ย แน่นอนว่าคงไม่ผิด เช่นนั้นก็เดินหน้าต่อเถิด ไม่ว่าจะมาหาพวกเราหรือไม่ ในเมื่อเข้าไปอยู่ด้านในแล้ว ก็มีเพียงต้องทลายเขตอาคมออกไปเท่านั้น” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างตัดสินใจ
จากนั้นเขาก็ย่ำเท้าข้างหนึ่งไปบนรถเหาะเบาๆ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเทาพลันระเบิดออกมา กลายเป็นม่านลำแสงชั้นหนึ่งห่อหุ้มด้านนอกรถเอาไว้
ในเวลาเดียวกันรถเหาะก็สั่นเทากลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งแหวกอากาศไป
ความเร็วมากกว่าก่อนหน้าสองสามเท่า
จูกั่วเอ๋อร์เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น พิจารณาไปทางซ้ายทีขวาทีไม่หยุด ดูเหมือนว่าอยากจะหาร่องรอยบนเขตอาคมเหล่านั้น
แต่รอบรถเหาะกลับว่างเปล่า มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
“ไม่ต้องมองแล้ว จากพลังยุทธ์ของเจ้าไม่เพียงพอให้พบเขตอาคมเคล็ดวิชาลวงตารอบด้าน!” หานลี่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยออกมาหนึ่งประโยค
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งไปด้านนอกรถ ไอกระบี่สีทองสายหนึ่งม้วนวนออกมา
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น
ทุกแห่งที่ลำแสงสีทองกวาดผ่านไป กลางอากาศพลันมีรอยแยกราวกับกระดาษที่ถูกฉีกขาดปรากฏขึ้น ทัศนียภาพรอบด้านเปลี่ยนไป กลายเป็นทะเลหมอกสีขาวที่ไร้สิ้นสุด
รถเหาะถูกควบคุมให้เคลื่อนไปด้านหน้าท่ามกลางม่านหมอกอย่างกินแรง
“อ่า นี่คือ…” จูกั่วเอ๋อร์พลันตกตะลึงจนหน้าถอดสี
“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น หากพวกเรากลับทางเดิม เขตอาคมร้ายกาจที่ถูกกระตุ้นไปแล้ว ไม่มีทางสงบอีกครั้ง” หานลี่อธิบายอย่างราบเรียบ
“ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น หลังจากนี้ไม่นานเขตอาคมอัสนีหกตัดมรกตก็จะเริ่มทำการโจมตี จากอิทธิฤทธิ์ของสหายหาน ก็ไม่ใช่ว่าจะป้องกันไม่ได้” นักพรตเซี่ยยังคงหลับตา แต่ปากก็เอ่ยเตือนขึ้น
“ขอบคุณนักพรตเซี่ยที่ชี้แนะ ผู้แซ่หานจะระวัง” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หลังจากเอ่ยขอบคุณ ก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้น ลำแสงยี่สิบสามสิบดวงพุ่งออกมาพร้อมกัน จมหายเข้าไปในส่วนต่างๆ ของรถเหาะแล้วหายวับไปอย่างไร้เงา
นั่นคืออาวุธวางเขตอาคมจำพวกจานอาคมธงอาคมขนาดสองสามชุ่นยี่สิบสามสิบอัน
ครู่ต่อมาลายมารสีดำเข้มยี่สิบสามสิบลายก็ทยอยกันทะลักออกมาจากในรถเหาะ และกลายเป็นเขตอาคมอักขระยันต์น้อยใหญ่ไม่เท่ากัน พลางรวมตัวกันอยู่รอบกำแพงนิ่ง ราวกับว่าเดิมก็ถูกสลักไว้ตรงนั้นอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากวางเขตอาคมแล้วหานลี่ก็ยืนอยู่ด้านหน้ารถพร้อมกับสองมือไพล่หลังพลางมองไปยังจุดที่ไกลออกไปโดยไม่พูดอันใด
และส่วนลึกในนัยน์ตาของเขาพลันมีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ เขามองเห็นอันใดสักอย่างผ่านหมอกสีขาว
ฉับพลันนั้นเขาพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมมือหนึ่งร่ายอาคม ปากก็บริกรรมคาถา
ชั่วขณะนั้นอักขระยันต์สีดำบนกำแพงทั้งสี่ด้านของรถเหาะก็มีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระยันต์ทะลักออกมาหนาแน่นไปหมด ชั่วพริบตาก็กลายเป็นตาข่ายยันต์สีดำห่อหุ้มม่านลำแสงสีเทา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ท่ามกลางทะเลหมอกที่เงียบสงบทั้งสองฝั่งก็มีเสียงอัสนีดังแว่วมา
ยามแรกเสียงไม่ดังนัก แต่จากนั้นหมอกสีขาวรอบด้านก็หมุนวนแล้วเริ่มสาดซัดราวกับระลอกคลื่น เสียงอัสนีดังขึ้นทันที
ท่ามกลางม่านหมอกทั้งสองฝั่ง สายฟ้าสีเขียวเริ่มเปล่งแสงสว่างวาบ
ในเวลาเดียวกันทะเลหมอกสีขาวก็กลายเป็นเหนียวข้นราวกับแอ่งน้ำทำให้รถเหาะสั่นเทาความเร็วลดลง
หานลี่แค่นเสียงอย่างเย็นชา อ้าปากออก พ่นไอสีเขียวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในรถเหาะด้านล่างอย่างไร้ร่องรอย
ในเวลาเดียวกันหมอกลำแสงสีเขียวก็หมุนวนรอบสองเท้าของเขา พลังวิญญาณแข็งแกร่งถูกบรรจุเข้าไปในรถเหาะ
รถเหาะมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ในเวลาเดียวกันตาข่ายยันต์สีดำตรงผิวก็สั่นเทา คาดไม่ถึงว่าม่านหมอกสีขาวรอบด้านจะทยอยกันปริแตก ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง พุ่งไปด้านหน้าราวกับลูกธนู
เสียงอัสนี “เปรี้ยงๆ” ดังขึ้น จากนั้นรถเหาะก็เพิ่มความเร็ว ทะเลหมอกรอบด้านมีประจุไฟฟ้าสีเขียวปรากฏตัวขึ้น กลายเป็นอสรพิษสายฟ้าสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปหารถเหาะ
สายฟ้าสีเขียวทุกสายโจมตีไปที่ตาข่ายสีดำ ล้วนทำให้สิ่งนั้นสั่นเทา กลายเป็นอักขระยันต์เปล่งแสงสว่างวาบ
การโจมตีนับร้อยนับพันที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันทำให้ตาข่ายยันต์สีดำสั่นเทาอย่างรุนแรง เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ราวกับว่าจะไม่อาจต้านทานได้ตลอดเวลา
แต่หานลี่กลับทำเหมือนไม่เห็นสิ่งนี้ แค่กระตุ้นรถเหาะใต้ร่างไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!
ในที่สุดตาข่ายยันต์สีดำที่ส่งเสียงอึกทึกก็ถูกประจุไฟฟ้าสีเขียวโจมตีจนแหลกเป็นชิ้นๆ สายฟ้าสีเขียวยี่สิบสามสิบสายโจมตีไปที่รถเหาะอย่างไร้ซึ่งการขัดขวาง
หานลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย นิ้วทั้งสี่ร่ายไปทางอากาศรอบด้าน
พริบตาเสียงอึกทึกก็ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นตาข่ายสายฟ้าสีทอง พุ่งไปหาประจุไฟฟ้าสีเขียวแล้วทยอยกันโจมตีจนแหลกเป็นชิ้นๆ
และช่วงเวลาที่ล่าช้าไป อักขระยันต์สีดำบนรถเหาะก็เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง อักขระยันต์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาอีกครั้ง แล้วรวมตัวกันกลายเป็นตาข่ายยันต์สีดำผืนหนึ่ง
เช่นนั้นแม้ว่าประจุไฟฟ้าสีเขียวจะร้ายกาจ แต่ในขณะที่หานลี่ใช้พลังปราณและอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายอย่างต่อเนื่อง ก็ยังกำจัดมันได้อย่างง่ายดาย
ชั่วพริบตารถเหาะก็บินหนีออกได้หมื่นลี้เศษ ทะเลหมอกด้านหน้าเริ่มบางเบา แต่ในเวลาเดียวกันประจุไฟฟ้าสีเขียวกลับรวมตัวกันอีกครั้ง ดูเหมือนจะเข้าใกล้ใจกลางเขตอาคม
หลังจากนั้นไม่นานรอบด้านท่ามกลางสายฟ้าเสียงอึกทึก ก็เริ่มมีลูกบอลอัสนีสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้น แต่ทุกลูกล้วนลอยนิ่ง ไม่ได้เข้าร่วมการโจมตีกับประจุไฟฟ้าสีเขียว
ในยามนั้นเองท่ามกลางทะเลหมอกที่บางเบาเป็นอย่างมาก พลันมีเสียงของสตรีดังขึ้นจากไกลๆ
“พี่หญิงเป่าฮวา มาถึงยามนี้ เจ้าก็แสดงฝีมือมาหมดแล้ว แม้ว่าจะมีฝีมือมากมายยามนี้ต่อให้มีปีกก็บินไปได้ยาก หากยอมให้จับเสียดีๆ น้องหญิงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตเหลือวิญญาณเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ให้เจ้ากลับคืนสู่วัฏสงสารอีกครั้ง”