หานลี่ได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี แต่ไม่รอให้เขาที่กำลังลังเลได้ทำอันใดอีก ฉับพลันนั้นหมอกเบื้องหน้าก็สลายออก ตรงหน้ามีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแดนอัสนีขนาดหมื่นหมู่
ประจุไฟฟ้าสีเขียวและลูกบอลอัสนีสีเขียวปรากฏทั่วท้องฟ้า ส่วนหนึ่งกำลังส่งเสียงอึกทึกพลางโจมตีไปที่รัศมีลำแสงสีเหลืองตรงใจกลาง
และกลางรัศมีลำแสงอสูรมารสีดำความยาวยี่สิบสามสิบจั้งตัวหนึ่งกำลังพ่นม่านหมอกออกมา!
เป็นอสูรที่เขาประหลาดงอกออกมาจากหัว รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนจระเข้ ผิวมีเกล็ดสีดำสนิท หมอกสีดำที่พ่นออกมากลายเป็นหนวดยักษ์สิบกว่าเส้น โจมตีไปที่สายฟ้าสีเขียวเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านนอกรัศมีลำแสงสีเหลือง
สายฟ้าจำนวนไม่น้อยปะทะกับการโจมตีสีดำเหล่านั้นก็ทยอยกันส่งเสียง “พรึ่บๆ” แล้วกลายเป็นควันสีเขียว
ด้านหลังอสูรมารสีดำ หญิงสาวสวมชุดสีขาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัวสีชมพู มือหนึ่งร่ายอาคม มือหนึ่งรองกระบองสั้นสีเหลืองเอาไว้ ดวงตาคู่งามปิดสนิท ร่างกายแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน
รัศมีลำแสงสีเหลืองบินออกมาจากกระบองสั้นในมือของหญิงสาวผู้นี้ไม่หยุด ทยอยกันบรรจุไปในรัศมีลำแสงด้านนอก ท่าทางใช้พลังปราณในร่างต้านทานการโจมตีสายฟ้ารอบๆ
แต่สายฟ้าสีเขียวรอบด้านกลับมากมายเกินไป!
ทุกๆ วินาทีล้วนมีสายฟ้านับหมื่นนับพันโจมตีไปรัศมีลำแสงพร้อมกัน
แม้ว่ารัศมีลำแสงสีเหลืองจะดูทนทาน และมีพลังควบคุมอัสนีสายฟ้า แต่ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ก็บัดเดี๋ยวมัวหมองบัดเดี๋ยวสว่างไสว ท่าทางไม่อาจต้านทานได้
หานลี่เห็นใบหน้าของหญิงสาวชุดขาวชัดเจน รูม่านตาก็หดเล็กลง แต่สายตาพลันกวาดมองไปทางอื่นทันที ชั่วขณะนั้นพลันเห็นอีกสองคน
สองคนนี้คนหนึ่งเป็นฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้า คนหนึ่งคือหญิงสาววัยดรุณีร่างกายอรชรอ้อนแอ้น ยืนกันอยู่คนละมุมของแดนอัสนี
ทั้งสองคนหนึ่งเหยียบอยู่บนเต่ายักษ์สีฟ้า ด้านหน้ามีธงสีเขียวความยาวสองสามฉื่อหกด้ามลอยอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่บนกรงล้อยักษ์สีทอง มือหนึ่งถือเทวรูปมารสีเงินเอาไว้
ผู้พูดก็คือหญิงสาววัยดรุณีเท้าเหยียบอยู่กรงล้อสีทอง
หานลี่เห็นทั้งสองคนก็แววตาเปล่งประกาย ใบหน้าอดที่จะเคร่งขรึมไม่ได้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าฮูหยินชุดคลุมสีฟ้ามีที่มาอย่างไร แต่หญิงสาววัยดรุณีกลับเหมือนกับร่างแยกของลิ่วจี๋ที่วิญญาณม่วงให้ผู้ที่มีนามว่าซินฟู่ส่งมาให้ในคัมภีร์หยกอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าจะมีพลังยุทธ์แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย แต่เขาย่อมไม่กล้ามองหญิงสาวผู้นี้เป็นจอมมารระดับขั้นปลายธรรมดาๆ ได้
ส่วนฮูหยินสวมชุดสีฟ้าผู้นั้นเมื่อเขากวาดจิตสัมผัสไป ก็ไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออกได้ ก็ทราบได้ว่าอีกฝ่ายคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นร่างเดิม
เช่นนั้นแม้ว่าเขาจะมีนักพรตเซี่ยคอยช่วยเหลือ หากจะต่อกรกับทั้งสองคนก็ยุ่งยากไม่น้อย
ทว่าการเข้ามาของหานลี่และพวกเห็นได้ชัดว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของหญิงสาวทั้งสองคน
หญิงสาววัยดรุณีกวาดสายตามาบนเรือนร่างของหานลี่แวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว พลางเอ่ยกับฮูหยินสวมชุดสีฟ้าอย่างราบเรียบ
“พี่หญิงหลัน นี่มันเรื่องอันใดกัน เจ้าไม่ได้รับประกันว่าในเขตอาคมอัสนีหกตัดมรกตจะไม่ถูกรบกวนหรือ คนพวกนี้มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดร่างแยกของเจ้าจึงไม่มาขวางพวกเขา?”
“เขตอาคมใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าคิดว่ามันวางได้ง่ายๆ หรือ ร่างแยกของข้าต้องร่วมมือกับคนอื่นๆ ถึงได้พอจะวางได้ และการโจมตีตรงจุดอื่นๆ ของเขตอาคม แม้ว่าจะไม่รู้ร้ายกาจเท่าที่นี่ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาจะผ่านมาได้ง่ายๆ ข้าก็อยากรู้ว่าพวกเขาบุกเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ฮูหยินสวมชุดสีฟ้าแค่นเสียงหึ แล้วตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“จะว่าไปแล้วเป็นเพราะเขตอาคมอัสนีหกตัดมรกตไม่สมบูรณ์ มิเช่นนั้นคนพวกนี้บุกเข้ามาที่นี่ เจ้ากับข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ยามนี้หรือเกรงว่าคงมีปัญหาเพิ่มขึ้นแล้ว” หญิงสาววัยดรุณีกวาดสายตาไปบนเรือนร่างของหานลี่และนักพรตเซี่ย ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอันใด จึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าและหญิงสาววัยดรุณีย่อมเป็นผู้ที่วางแผนจะร่วมมือกันนานแล้วอย่างบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูและหนึ่งในร่างแยกของลิ่วจี๋
หลังจากที่ทั้งสองเรียกลูกน้องทั้งหมดมา ในที่สุดก็หาร่องรอยของเป่าฮวาพบ จากนั้นก็ใช้เวลาสองสามวันวางเขตระดับสุดยอดอย่างเขตอาคมอัสนีหกตัดมรกต อาศัยความเข้าใจเป่าฮวาที่ทั้งสองมีและแผนการที่เชื่อมโยงกัน ในที่สุดก็บีบให้จระเข้ดำเป่าฮวาที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ใกล้ๆ ออกมา และล่อให้เข้ามาติดกับเขตอาคมระดับสุดยอด
เดิมเขตอาคมอัสนีหกตัดมรกตนี้ก็มีอานุภาพไม่ธรรมดา แต่ความลึกลับอีกแห่งก็คือก่อนจะเปิดใช้ ระลอกคลื่นเขตอาคมแทบจะไม่มี แม้ว่าเป่าฮวาจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย หากไม่ทันระวังก็ตกเข้ามาในนี้โดยไม่รู้ตัว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทั้งสองเลือกวางเขตอาคมโบราณนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขตอาคมนี้ชำรุดไม่สมบูรณ์
จากนี้ก็เป็นไปตามนั้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ปราณแท้ได้รับบาดเจ็บหนักไม่อาจกระตุ้นการคุ้มครองจากพฤกษาสวรรค์ทมิฬได้ แม้ว่าเป่าฮวาเองจะหาเนตรอาคมของเขตอาคมพบ แต่ภายใต้การร่วมมือกันของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูและร่างแยกของลิ่วจี๋ แม้ว่าจะใช้สมบัติวิเศษสองสามชิ้น แต่ก็ทำได้เพียงฝืนประคับประคองไว้เท่านั้น
สุดท้ายจระเข้ดำที่บาดเจ็บยังไม่หายดี ก็จำใจต้องปรากฏร่างเดิมออกมาเพื่อเอาชีวิตรอด
และในยามนั้นเองไม่รู้ว่าเป็นลิขิตสวรรค์หรือไม่ หานลี่และพวกก็บังเอิญบุกเข้ามาในเขตอาคม และมาปรากฏตัวที่นี่
ยามนี้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูได้ยินคำพูดของหญิงสาววัยดรุณีกลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
“แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย จะยุ่งยากอันใด ข้าใช้เพียงนิ้วเดียวก็จัดการได้แล้ว…เอ๋ คนผู้นี้คือผู้ใด ดูเหมือนจะไม่ใช่กายเนื้อ กลิ่นอายคุ้นเคยมาก?”
ฮูหยินเพิ่งจะเอ่ยได้สองประโยคก็หน้าเปลี่ยนสี สายตาตกตะลึงตกอยู่ที่ร่างของนักพรตเซี่ย
“ในที่สุดพี่หญิงก็พบแล้ว หากข้าเดาไม่ผิดละก็ สหายผู้นี้น่าจะเป็นพี่เซี่ยจากทะเลกำเนิดมาร ส่วนผู้ที่อยู่ด้านข้างก็คือสหายหานที่ช่วงนี้มาก่อความวุ่นวายในแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา” หญิงสาววัยดรุณีกลอกตาไปมาแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“อันใดนะ เป็นพวกเขาสองคน” ฮูหยินหลันผูได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี
หานลี่ยังพอว่าแม้ว่ายามนี้จะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับมหายาน จึงไม่ได้ถูกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูเห็นอยู่ในสายตานัก แต่หวงจินเซี่ยดำรงอยู่ที่ทะเลกำเนิดมารมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว บรรพชนศักดิ์สิทธิ์แทบทุกคนล้วนเคยพบหน้าสองสามครั้ง จึงย่อมรู้สึกหวาดกลัวเขา
“ข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบทั้งสองท่านที่นี่ ช่างโชคดีจริงๆ! ทว่าผู้แซ่หานแค่ผ่านทางมาเท่านั้น หวังว่าสหายทั้งสองจะเปิดทางให้พวกเราผ่านไปแต่โดยดี” หานลี่คารวะหญิงสาวทั้งสอง แล้วเอ่ยอย่างไม่ผิดปกติเลยสักนิด
ส่วนนักพรตเซี่ยกลับทำเหมือนมองไม่เห็นหญิงสาวทั้งสองคน สีหน้าแข็งทื่อแม้กระทั่งไม่เคยมีเจตนาจะลุกขึ้นจากรถเหาะ
เมื่อเห็นฉากนั้นหญิงสาววัยดรุณีและฮูหยินหลันผูก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง อดที่จะนึกถึงข่าวลือช่วงนี้ที่บอกว่าหวงจินเซี่ยถูกเด็กมนุษย์ตรงหน้าทำให้ยอมศิโรราบไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เดิมทั้งสองล้วนมีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อเห็นนักพรตเซี่ยตรงหน้าไม่ปริปากอันใดและยอมให้หานลี่เป็นผู้นำ ก็อดที่จะเชื่อเรื่องนี้ไม่ได้
“คิดไม่ถึงว่าจะมาพบกับสหายในที่รกร้างเช่นนี้ ทว่าในเมื่อแค่ผ่านทางมาเท่านั้น เราสองคนก็ไม่อยากเพิ่มปัญหา ปล่อยเจ้าไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ พี่หญิงหลันเจ้าคิดว่าอย่างไร?” หญิงสาววัยดรุณีกลอกตาไปมาสองครา ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยถามฮูหยินสวมชุดสีฟ้า
“หึ หากไม่ใช่เพราะสหายเซี่ยอยู่ที่นี่ ข้าจะปล่อยให้มนุษย์ผู้นี้จากไปได้อย่างไร เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนหนึ่งยังกล้ามาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา สร้างความวุ่นวายอย่างไร้ความหวาดกลัว ครั้งหน้าหากพบข้าอีกจะต้องเอาชีวิตเจ้า” ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้ากวาดตามองหานลี่และนักพรตเซี่ยสองสามครา แววตาฉายจิตสังหารออกมา สุดท้ายก็กัดฟันเอ่ยขึ้น
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ยินยอมที่จะปล่อยหานลี่ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรออกไปจากเขตอาคม แต่เพราะมีศัตรูที่สำคัญกว่าอย่างเป่าฮวาอยู่ จึงทำได้เพียงฝืนตอบรับ
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านอาวุโสทั้งสองแล้ว” หานลี่กลับรู้สึกผ่อนคลายลง แต่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
ส่วนการต่อสู้ของมารทั้งสองและเป่าฮวานั้น เขาย่อมไม่สนใจจะเข้าร่วมเลยสักนิด
ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าแค่นเสียงหึอีกครั้ง นิ้วหนึ่งชี้ไปที่ธงสีเขียวหกด้ามตรงหน้า ชั่วขณะนั้นธงด้ามหนึ่งพลันขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นธงยักษ์ขนาดสิบจั้งเศษ ผิวมีประจุไฟฟ้าสีเขียวรายล้อม และส่งเสียงพายุอัสนีต่ำๆ ดังมา
“เปิด”
ฮูหยินร้องตะโกนเบาๆ
ธงยักษ์สั่นเทา!
พริบตานั้นเสียงอัสนีฟ้าฟาดก็ดังสนั่นขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวหนาๆ ราวกับมังกรก็ดีดออกมาจากยอดธงยักษ์ และรวมตัวกันสูงขึ้นไปร้อยจั้งเศษ กลายเป็นอักขระยันต์สีเขียวขนาดเท่าหอ
เมื่ออักขระยันต์สีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นที่เดิมก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ รูขนาดสองสามจั้งเผยออกมา ด้านนอกมีท้องฟ้าสีฟ้าปรากฏขึ้นรางๆ
แทบจะในเวลาเดียวกันสายฟ้าสีเขียวตรงหน้าของหานลี่ก็แยกออกเป็นสองฝั่ง เปิดเป็นทางเดินว่างเปล่าสายหนึ่ง
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูผู้นี้นับว่าเด็ดขาดมาก พอตัดสินใจแม้ว่าจะรู้สึกลำบากใจ แต่ก็เปิดทางเดินสายหนึ่งมุ่งไปด้านนอกเขตอาคมทันที
หานลี่เห็นเช่นนั้นย่อมดีใจ เท้าย่ำไปบนรถเหาะ บินตามทางสายนั้นออกไปจากเขตอาคมภายในรวดเดียว
แต่ชั่วพริบตานั้นเป่าฮวาที่อยู่ในรัศมีลำแสงสีเหลืองที่ถูกสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดอยู่กลับถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วลืมตาคู่งามขึ้น ในเวลาเดียวกันริมฝีปากบางก็ขยับเอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่หน้าเปลี่ยนสีออกมา
“สหายหานเจ้าไม่อยากได้สวรรค์วิญญาณหรือ? หากข้าเพลี่ยงพล้ำที่นี่ เชื่อว่าโลกนี้ก็ไม่มีคนที่สองที่รู้ตำแหน่งของสวรรค์วิญญาณอีก”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ว่าข้ากำลังตามหาสวรรค์วิญญาณ!” หานลี่ยืนอยู่บนรถนิ่ง สายตาจ้องเขม็งไปที่เป่าฮวา สีหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามคราถึงได้ตอบกลับมา
“ดูแล้วสหายหานคงลืมเรื่องในอดีตไปแล้วกระมัง หญิงสาวข้างกายเจ้าเคยอยู่กับข้าระยะหนึ่ง จะไม่รู้เรื่องสวรรค์วิญญาณได้อย่างไร แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าสหายหานต้องการไปสวรรค์วิญญาณเพื่อหาคนหรือหาสิ่งใด แต่สำหรับสหายแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย” เป่าฮวามีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเอ่ยอย่างราบเรียบ