“นี่คือแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬ มหัศจรรย์มาก แม้แต่ผนึกน้ำแข็งฟ้าดินของข้าก็ยังถูกทลายอย่างง่ายดาย ทว่าเป่าฮวาเจ้าน่าจะไม่อาจกระตุ้นพฤกษาสวรรค์ทมิฬได้ถึงจะถูก หรือว่าเป็นเพราะเมื่อครู่เจ้ากินยาลูกกลอนเม็ดนั้นเข้าไป?” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูแววตาฉายแววประหลาดใจ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา
“สหายหลันพูดถูก ยาลูกกลอนเมื่อครู่กระตุ้นพลังของข้าได้ ทำให้ข้าสำแดงแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬได้อีกครั้ง” เป่าฮวาเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร! เจ้าในยามนี้มากสุดก็กระตุ้นการโจมตีของแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ก็ไม่อาจประคับประคองได้แล้ว” หญิงสาววัยดรุณีแววตาฉายแววเคร่งขรึม แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา
“ต่อให้มีแค่พลังโจมตี ก็ต่อกรกับพวกเจ้าสองคนได้เหลือเฟือ ข้ากลับไม่เชื่อว่าหลังจากพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว จะยังต่อกรกับพี่เซี่ยอละสหายหานได้อย่างปลอดภัย” เป่าฮวาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“อย่ามาขู่ข้า พี่หญิงเป่าฮวา เจ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกหรือ ยามนี้น้ำมันของเจ้าแห้งเหือดแล้ว หากทำการโจมตีครั้งสุดท้ายอีกครั้ง ไม่เพียงพลังปราณจะไม่เหลือ ปราณแท้ก็จะได้รับบาดเจ็บจนทำให้อาการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นสองสามเท่า ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าทำเรื่องที่บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ อย่าลืมล่ะ เจ้าเองก็เป็นสมาชิกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร หากตกอยู่ในมือของเผ่ามนุษย์อย่างไร้ซึ่งพลังขัดขืน จะมีจุดจบอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว” รูม่านตาของหญิงสาววัยดรุณีหดเล็กลง แต่ปากกลับเอ่ยคำพูดที่มีเจตนาไม่เป็นมิตรออกมา
หานลี่ได้ยินคำนี้ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลง ใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าแปลกประหลาดเลยสักนิด
“คำนี้ก็คือสิ่งที่ข้าอยากบอกกับทั้งสองท่าน ลิ่วจี๋ก็ช่างเถิด แค่ร่างแยกเท่านั้น หลันผูเจ้ามาด้วยร่างเดิม หากบีบให้ข้าทำการโจมตีครั้งสุดท้าย ข้าจะต้องใช้พลังทั้งหมดของแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬต่อกรกับเจ้า หากเป็นเช่นนั้นอย่างน้อยก็มีโอกาสสามสี่ส่วนที่เจ้าจะเพลี่ยงพล้ำไปที่นี่จริงๆ ไม่ทราบว่าสหายหลันยังกล้าพนันหรือไม่” เป่าฮวาหัวเราะน้อยๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยกับฮูหยินชุดคลุมสีฟ้าด้วยสีหน้าสบายๆ
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง แล้วตอบกลับด้วยความเคร่งขรึม
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ไม่ทราบว่าสหายจะเลือกอย่างไร? จะยอมเสี่ยงอันตรายให้ร่างเดิมเพลี่ยงพล้ำร่วมมือกับร่างแยกลิ่วจี๋ หรือจะยอมล้มเลิกให้เจ้ากับข้ารอดชีวิตไปด้วยกัน” เป่าฮวาเอ่ยต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน
ฮูหยินชุดคลุมสีฟ้าได้ยินใบหน้าก็อดที่จะมีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสไม่ได้
“พี่หญิงหลัน เจ้าคงไม่ถูกการสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญของเป่าฮวาทำให้กลัวจนถอยหรอกกระมัง ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีพลังกระตุ้นการโจมตีของแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬหรือไม่ ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร ข้าไม่เชื่อว่าจากฝีมือของเจ้าและข้าร่วมมือกันจะรับไม่ไหว!” หญิงสาววัยดรุณีเห็นสีหน้าของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผู ก็ร้องอุทานในใจว่า ‘แย่แล้ว’ และรีบเอ่ยขึ้น
“เดิมปูศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองทองและเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์สอดมือเข้ามา อัตราที่พวกเราจะเอาชนะอีกฝ่ายก็มีแค่ห้าส่วนเท่านั้น ยามนี้เป่าฮวาสำแดงแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬได้ โอกาสชนะก็มีแค่หนึ่งสองส่วนเท่านั้น อัตรานี้ข้าไม่คิดว่าการพัวพันต่อไปจะเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด หากร่างเดิมของลิ่วจี๋อยู่ละก็ บางทีข้าอาจจะยอมเสี่ยงกับเจ้าสักครั้ง แต่หากเป็นแค่ร่างแยกละก็ หึๆ ……” ฮูหยินชุดคลุมสีฟ้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็เอ่ยอย่างมีเจตนาเริ่มจะถอย
“เจ้าทำเช่นนี้เหมือนปล่อยเสือเข้าถ้ำ รอให้เป่าฮวากลับไปฟื้นฟูปราณแท้ ยามที่ข้ามแดนมาหาเรื่องอีกครั้ง ถึงยามนั้นเจ้าจะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว” หญิงสาววัยดรุณีตะโกนเสียงเหี้ยม
“หึ ยามนี้หายนะของแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาถึงแล้ว ถึงยามนั้นทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะวุ่นวายมาก และเคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าของข้าก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว จะมีชีวิตถึงยามนั้นได้หรือไม่ก็พูดยาก ข้าขบคิดเรื่องที่ยาวไกลขนาดนั้นไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้โชคดีสังหารพวกเขาได้ ข้าก็ไม่รู้ว่ายังมีร่างแยกอีกกี่ร่างที่ต้องถูกสังหาร และตนต้องเสียปราณแท้ไปเท่าไหร่ ถึงยามนั้นจะเผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์ที่กำลังจะมาถึงได้อย่างไร” ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าแค่นเสียงหึแล้วตอบ
“แต่ขอแค่กำจัดเป่าฮวาได้ ตามสัญญาเจ้าจะได้วิธีหลอมแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬและสมบัติจำนวนมาก มีประ…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร หากมั่นใจมากว่ามีประโยชน์ขนาดนั้น ไม่ต้องให้เจ้าพูดข้าก็ลงมือต่อ แต่ทั้งๆ ที่โอกาสรางเลือน ข้าจะเลือกสิ่งที่บ้าคลั่งอย่างไร เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว และติดต่อร่างแยกอื่นๆ ว่าไม่ต้องมาแล้ว หากลิ่วจี๋เจ้ายังไม่ล้มเลิก ก็ลงมือคนเดียวเถิด เป่าฮวา เจ้าย้ายข้าออกจากแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬที” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูโบกมือแล้วเอ่ยสองสามประโยค พลางเอ่ยกับเป่าฮวาอย่างราบเรียบ
หญิงสาววัยดรุณีย่อมหน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้
“สหายหลันเลือกอย่างชาญฉลาดดังคาด” เป่าฮวาหัวเราะเบาๆ ออกมา พฤกษาสีเขียวในมือแค่สั่นเทาเบาๆ
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูรู้สึกเพียงว่ารอบด้านรางเลือน คนถูกย้ายไปอีกที่ห่างออกไปพันจั้ง ปรากฏขึ้นด้านนอกแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬ
ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าพลันใจหายวาบกวาดตามองเป่าฮวาและพวกของหานลี่อย่างเย็นชา แล้วมองไปทางหญิงสาววัยดรุณีที่อยู่ในแดนวิญญาณแวบหนึ่ง แล้วหันกายไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
คาดไม่ถึงว่าจะทีท่าทางไม่สนใจร่างแยกของลิ่วจี๋
“ได้ ครั้งนี้ข้ายอมรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ เป่าฮวา เปิดแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬเถิด” หญิงสาววัยดรุณีรู้สึกลางไม่ดี หลังจากกัดฟันแล้วก็เอ่ยกับเป่าฮวา
“ปล่อยเจ้าไป?” แววตาของเป่าฮวากลับฉายจิตสังหารออกมา
“ปล่อยนางไปเถิด” ในยามนั้นหานลี่ที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ได้ ในเมื่อเป็นเจตนาของสหายหาน ไว้ชีวิตร่างแยกร่างหนึ่งก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก เช่นนั้นข้าจะไว้ชีวิตของนาง” เป่าฮวามองหานลี่แวบหนึ่งด้วยท่าทีประหลาดใจ แต่ทันใดนั้นก็ไม่รู้นึกอันใดขึ้นมาได้ คาดไม่ถึงว่าจะฉีกยิ้มแล้วตอบตกลง
จากนั้นพฤกษาในมือของหญิงสาวผู้นี้ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป กลายเป็นลำแสงสีชมพูจมหายเข้าไปในร่าง ในเวลาเดียวกันเงาบุปผาสีชมพูทั่วท้องฟ้าก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คาดไม่ถึงว่าเป่าฮวาจะเก็บแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬไปจริงๆ
หญิงสาววัยดรุณีเห็นฉากนี้ สายตาก็กลอกไปมาบนใบหน้าของหานลี่สองสามรอบ อดที่จะระแวงไม่ได้
เห็นได้ชัดว่านางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสถานการณ์นี้ หานลี่ถึงช่วยนางพูด หรือว่าอยากจะคบค้าสมาคมกับร่างเดิมของนางหลังจากนี้
ทว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะรั้งรอได้นานนัก หญิงสาววัยดรุณีระงับความสงสัยในใจ หลังจากฉีกยิ้มให้หานลี่ ก็กลายเป็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
หานลี่และเป่าฮวาไม่ได้ลงมือห้ามปรามอันใด
แต่ในใจของหานลี่ความจริงแล้วกลับทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นเท่านั้น
หากเปลี่ยนเป็นร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารตนอื่น ภายใต้โอกาสงามๆ เมื่อครู่เขาย่อมไม่มีทางห้ามปราม แม้กระทั่งอาจจะเป็นผู้ลงมือสังหารอีกฝ่ายด้วยตนเอง
แต่ร่างแยกลิ่วจี๋ภายใต้สถานการณ์ที่เขากังวลกับวิญญาณม่วง จึงมิกล้าบุ่มบ่ามทำอันใด
มิเช่นนั้นหากร่างแยกของลิ่วจี๋ถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง ไม่แน่ว่าอาจจะถึงตาวิญญาณม่วงที่ต้องถูกนำมาหลอมเป็นร่างแยกของนาง
ในสถานการณ์นี้หานลี่ย่อมไว้ชีวิตของหญิงสาววัยดรุณี ยามสำคัญไม่แน่ว่าอาจจะช่วยชีวิตของวิญญาณม่วงด้วยได้เหตุนี้
“พี่เซี่ย พวกเจ้าเองก็ไปเถิด แม้ว่าสองคนนี้จะถอยไปชั่วคราว แต่หากพวกนางเปลี่ยนใจ ท่านอาวุโสเป่าฮวาก็ไม่อาจกินยายลูกกลอนวิญญาณสวรรค์เม็ดที่สองได้อีก” หานลี่หันหน้าไปเอ่ยกับปูยักษ์สีเหลืองทอง
ปูยักษ์พยักหน้า เรือนร่างมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ในขณะที่ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว นักพรตเซี่ยก็ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์
จากนั้นเขาพลันสาวเท้ายาวๆ ไปที่มุมของรถเหาะ
“เจ้ารู้จักยาลูกกลอนวิญญาณสวรรค์?” เป่าฮวาได้ยินคำพูดของหานลี่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าย่อมรู้จักยาวิเศษชนิดนี้ แม้กระทั่งเคยคิดจะปรุงมาไว้ปกป้องตนเองสักเม็ดสองเม็ด แต่น่าเสียดายหาวัตถุดิบหลักไม่ได้ จึงทำได้เพียงช่างเถิด ทว่าสรรพคุณของยาลูกกลอนวิญญาณสวรรค์ ข้าก็พอรู้มาบ้าง เมื่อครู่ท่านอาวุโสฝืนกระตุ้นการโจมตีทั้งหมดของสวรรค์ทมิฬ ก็น่าจะไม่มีแรงโจมตีครั้งที่สองอีก คำพูดที่พูดกับพวกนางเมื่อครู่ ก็เป็นแค่แผนตบตาศัตรูเท่านั้น” หานลี่หัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“ยาลูกกลอนวิญญาณสวรรค์เม็ดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าปรุงขึ้นเอง แต่ข้าบังเอิญได้มาจากสมุนไพรต้นหนึ่ง ส่วนข้ามีพลังโจมตีระลอกที่สองหรือไม่ สหายก็เดาเอาเอง” เป่าฮวาไม่สนใจคำพูดของหานลี่ หลังจากเอ่ยอย่างราบเรียบ ร่างกายก็รางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะยืนอยู่บนรถเหาะ และยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ห่างจากหานลี่ไปไม่กี่ฉื่อ แทบจะยกมือก็สัมผัสแล้ว
หานลี่ตกใจจนสะดุ้งโหยงแต่ใบหน้ากลับไม่มีสีหน้าประหลาดใจ และไม่มีเจตนาจะหลบหลีก แค่ใช้เท้าข้างหนึ่งแตะไปที่ด้านล่างเบาๆ
ชั่วขณะนั้นรถเหาะพลันพลิ้วไหวกลายเป็นเงาลวงตากลุ่มหนึ่งพุ่งไป ตรงไปยังขอบฟ้าอีกทางหนึ่ง
……
หนึ่งวันต่อมา กลางอากาศในป่าลึก รถเหาะลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น หานลี่กลับยืนอยู่ในรถเหาะ กำลังขบคิดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ส่วนด้านข้างนอกจากนักพรตเซี่ยและจูกั่วเอ๋อร์แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเงาร่างของเป่าฮวาอีก
“ท่านอาวุโสข้อมูลที่ท่านอาวุโสเป่าฮวาให้มาเมื่อครู่เป็นความจริงหรือไม่ หาทางเข้าสวรรค์วิญญาณจากข้อมูลที่นางบอกได้หรือไม่” จูกั่วเอ๋อร์จ้องไปที่หานลี่เขม็งด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ และในที่สุดก็เอ่ยถามอย่างทนไม่ไหว
หญิงสาวย่อมอยากกลับบ้านตนเป็นอย่างมาก
“ของน่าจะเป็นของจริง จากฐานะของนาง คงไม่หลอกลวง” หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ฝืนยิ้มขณะตอบ
“เยี่ยมจริงๆ เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็มีวันที่จะได้กลับบ้านแล้ว ทว่าท่านอาวุโสหานเจ้าจะปล่อยนางไปอย่างนั้นจริงๆ หรือ?” จูกั่วเอ๋อร์ดีอกดีใจเกินคาดใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มยินดี แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดได้ อดที่จะเอ่ยถามอย่างฉงนเล็กน้อยไม่ได้
“ไม่ปล่อยนางไป หรือว่าเจ้ายังคิดจะพานางกลับไปยังแดนวิญญาณ?” หานลี่หางตากระตุก แต่ก็ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“แต่ท่านอาวุโส! จากท่าทางของนาง เจ้าบีบบังคับให้นางอยู่ได้” จูกั่วเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ น้ำเสียงเบาลงสองสามส่วนขณะเอ่ย
“เฮ้อ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้น ข้าแค่ไม่มั่นใจเท่านั้น ถึงอย่างไรเสียตอนนั้นอีกฝ่ายก็เป็นหนึ่งในบรรพชนแรกเริ่มเผ่ามาร ผู้ใดจะรู้ว่าในมือยังมีฝีมือปกป้องชีวิตอันใดที่ยังไม่ได้สำแดงออกมาอีก ข้ายังต้องเดินไปยังเส้นทางอมตะ ไม่สนใจจะกลับบ้านเก่าไปพร้อมกับเผ่ามาร” หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ใบหน้าเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา