ได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะค่อนข้างเรียบง่าย แต่ก็ฟังความหวาดกลัวในคำพูดของหานลี่ออก หลังจากที่แลบลิ้นออกมาแล้วก็ไม่เอ่ยถามอันใดอีก
“ข้าปล่อยเป่าฮวาไปความจริงแล้วมีอีกเจตนาหนึ่ง ก็คือไม่อยากปกป้องหายนะให้นานตลอดไป แม้ว่าลิ่วจี๋และบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูจะล่าถอยไป แต่หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว คงวนกลับมาอีกครั้ง ทว่าขอแค่เป่าฮวาศัตรูคู่แค้นยังอยู่ แม้ว่าพวกนางจะโกรธแค้นข้าที่ทำลายเรื่องดีๆ ของนาง แต่ย่อมยังไม่สนใจข้า และหลังจากที่เป่าฮวาฟาดหายนะครั้งก่อนไปแล้วก็มีแต่ต้องระมัดระวังตัวขึ้น ลิ่วจี๋และบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูอยากประสบความสำเร็จอีกครั้ง ก็ยากแสนยาก” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ถือโอกาสที่เผ่ามารเหล่านี้ยังยุ่งอยู่ ย่อมเป็นโอกาสงามๆ ให้พวกเรากลับไปยังแดนวิญญาณ ท่านอาวุโสหานขบคิดล้ำลึกนัก กั่วเอ๋อร์เลื่อมใสอย่างยิ่ง” จูกั่วเอ๋อร์ได้ยินก็มีชีวิตชีวาขึ้น
นักพรตเซี่ยกลับยืนอยู่ตรงมุมของรถเหาะ ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แน่นอนว่าย่อมไม่แสดงความเห็นใดๆ ออกมา
“ไปกันเถิด แม้ว่าจากการคาดเดาของข้า ลิ่วจี๋และพวกน่าจะไล่ตามเป่าฮวาไป แต่ก็ไม่อาจไม่ระวังว่าพวกนางอาจจะมีความคิดย้อนกลับมาสังหาร แล้วเปลี่ยนเป้าหมายมาที่พวกเรา” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ จากนั้นก็โคจรพลังปราณในร่าง รัศมีลำแสงสีเขียวใต้ฝ่าเท้าม้วนวนขึ้นมา
รถเหาะสั่นเทาแล้วบรรทุกหานลี่และพวกไปอีกครั้ง พลางพุ่งตรงไปยังขอบของป่าลึก
……
ในเวลาเดียวกันตรงจุดที่ห่างจากพวกของหานลี่ไปตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้ เป่าฮวากลับยืนอยู่บนยอดเขาที่ไม่สะดุดลูกหนึ่ง สีหน้าฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ สีหน้าราบเรียบ มองไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บหนักเลยสักนิด
ด้านหลังของนางมีจระเข้ดำสวมชุดเกราะสงครามสีดำยืนอยู่ กลิ่นอายของเขาอ่อนแอเล็กน้อย สีหน้าเขียวคล้ำไม่ค่อยปกติ แต่ก็ยังคงยืนตัวตรง ไม่ขยับเขยื้อนราวกับเสาหิน
ทั้งสองอยู่บนยอดเขาเป็นเวลาครึ่งชั่วยามไม่มีเจตนาจะจากไปเลยสักนิด ราวกับว่ากำลังรออันใดสักอย่างอยู่
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น พายุสีเหลืองม้วนวน และพุ่งมาทางยอดเขา
เป่าฮวาเห็นสถานการณ์เช่นนั้นสีหน้าถึงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พายุหมุนสีเหลืองหม่นแสงลง เงาร่างคนที่ถูกลำแสงสีเหลืองห่อหุ้มเอาไว้ปรากฏขึ้นบนยอดเขารางๆ
“คารวะใต้เท้าเป่าฮวา บ่าวได้รับข่าวจึงเร่งเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน ทว่าก็ยังช้าไปหนึ่งวันจนเกือบจะทำให้ใต้เท้ามีอันตรายถึงชีวิต สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง” เงาร่างคนสีเหลืองปรากฏตัว ก็คารวะเป่าฮวาจากกลางอากาศ และเอ่ยอย่างซื่อสัตย์และหวาดกลัว
“เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ เดิมที่ข้าเรียกหาเจ้าเพราะมีเรื่องจะสั่ง คิดไม่ถึงว่าจะตกหลุมพรางของลิ่วจี๋และหลันผู ครั้งนี้เกรงว่าต้องไปหลบลิ่วจี๋และหลันผูที่ที่พักของเจ้าชั่วคราว ทว่าไม่ได้พบกันสองสามปี พลังยุทธ์ของเจ้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย ห่างจากระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แค่ก้าวเดียวแล้ว” เป่าฮวาแววตาเปล่งประกายพลางกวาดตาไปทางเรือนร่างของเงาร่างคนแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะใต้เท้าไว้ชีวิต บ่าวคงตายอย่างไร้ศพไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมีวันนี้ได้ ยามนี้ทำประโยชน์ให้ใต้เท้าได้ ย่อมเป็นเรื่องที่บ่าวอยากร้องขอก็ไม่มีวันได้มา แม้ว่าลิ่วจี๋และบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูจะเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่ไม่มีทางสงสัยข้าแน่ ถึงอย่างไรเสียตอนนั้นข้าก็เป็นหนึ่งในจอมมารจำนวนไม่มากที่แสดงท่าทีเป็นศัตรูกับใต้เท้ามาโดยตลอด และยิ่งไปกว่านั้นข้าและบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูก็รักษาความสัมพันธ์กันมาโดยตลอด” เงาร่างคนในลำแสงสีเหลืองก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างเคารพนบน้อม
“เจ้ามั่นใจขนาดนี้ ย่อมดีที่สุด ดูแล้วการที่เรียกเจ้ามาก็ทำถูกแล้ว เอาล่ะ พวกเราไปที่ถ้ำพำนักของเจ้าเถิด ลิ่วจี๋และหลันผูไม่มีทางหยุดไปเช่นนี้ จะต้องกลับมาตามหาแน่” เป่าฮวาหัวเราะน้อยๆ ออกมา แต่ก็ออกคำสั่งเสียเลย
“ขอรับ ใต้เท้า! เชิญไปพักผ่อนที่สำเภามารของบ่าวก่อน ระหว่างทางแม้ว่าจะพบกับผู้ใด บ่าวก็จะไปจัดการเอง” เงาร่างคนในลำแสงสีเหลืองตอบรับ ชูมือหนึ่งขึ้น ชั่วขณะนั้นสำเภาเหาะพลันบินออกมา
สมบัติชิ้นนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยก วิจิตรงดงามมาก และด้านข้างสำเภาก็มีอักขระสีทองเผ่ามารที่สะดุดตามากสลักอยู่ เผยฐานะของเจ้าของสำเภาเหาะได้รางๆ
เป่าฮวามองรถเหาะแวบหนึ่ง พยักหน้าด้วยใบหน้าพึงพอใจ เท้าเรียวขยับ พาจระเข้ดำบินเข้าไปในสำเภา และเข้าไปนั่งสมาธิอยู่ภายในห้องโดยสาร
แม้ว่าสงครามครั้งที่แล้วจะผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ปราณแท้ของทั้งสองล้วนได้รับบาดเจ็บหนัก ย่อมต้องคว้าโอกาสทุกอย่างฟื้นฟูพลังยุทธ์
รอจนเงาร่างในลำแสงสีเหลืองพลิ้วกายมายืนอยู่บนสำเภา ชั่วขณะนั้นสำเภาเหาะก็ส่งเสียงกรีดร้อง กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งแหวกอากาศไป หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามคราก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า
……
ครึ่งวันต่อมาระลอกคลื่นปรากฏขึ้นบนยอดเขาอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะมีคนห้าคนปรากฏขึ้น
สองในนั้นคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูและร่างแยกลิ่วจี๋หญิงสาววัยดรุณีคนนั้น
สองคนที่อยู่ข้างกายฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าเป็นฮูหยินอายุสามสิบปีเศษ ทว่าหนึ่งคนสวมชุดคลุมสีเหลือง หนึ่งคนสวมชุดสีแดง ท่าทางคล้ายกัน หน้าตาคล้ายคลึงกับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูเจ็ดส่วน
ด้านหลังหญิงสาววัยดรุณีมีบุรุษร่างกายเตี้ยๆ ราวกับนักปราชญ์คนหนึ่ง สวมชุดนักพรต ไว้เครายาวครึ่งฉื่อ สะพายกระบี่ไม้สีน้ำตาลแดง
ทั้งห้าเพิ่งปรากฏตัว บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูก็สะบัดแขนเสื้อทันใด ด้านในมีลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างคนสีขาวพุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบก็กลายเป็นพังพอนตัวสีขาวราวกับหิมะ
พังพอนน้อยวนล้อมรอบยอดเขารอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลังจากทำจมูกฟุตฟิต ก็เปล่งแสงสว่างวาบกลับมาอยู่ตรงหน้าฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้า ปากก็ร้องเสียงประหลาดๆ ออกมา
“เป่าฮวาเคยรั้งรออยู่ที่นี่ดังคาด และยิ่งไปกว่านั้นนอกจากจระเข้ดำตัวนั้นแล้ว ดูเหมือนจะมีบุคคลที่สาม” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูเรียกพังพอนน้อยกลับมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ยังมีบุคคลที่สามหรือว่าเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์แค่ทำเป็นแยกกับเป่าฮวา แล้วอ้อมกลับมาเงียบๆ” หญิงสาววัยดรุณีตกตะลึง สีหน้าอดที่จะเคร่งขรึมไม่ได้
“ไม่ใช่ หากเป็นกลิ่นอายของเจ้าเด็กนั่น พังพอนดูดวิญญาณคงแยกแยะออกตั้งนานแล้ว คนที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่น่าจะเป็นผู้ที่สำแดงเคล็ดวิชาลับอำพรางกลิ่นอาย แต่เขาดูถูกอิทธิฤทธิ์ของพังพอนของข้าน้อยเกินไป พังพอนดูดวิญญาณยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ในตัวของเขา มันค่อนข้างคุ้นเคย น่าจะเป็นผู้ที่ข้าเคยพบ” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันผูตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา
“คนที่ท่านอาวุโสหลันเคยพบ เช่นนั้นก็หมายความว่าคนผู้นี้เป็นคนในแดนมารของพวกเรา น่าจะเป็นพรรคพวกเก่าของเป่าฮวา เช่นนั้นเกรงว่าคงยุ่งยากแล้ว” ผู้พูดคือนักพรตที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาววัยดรุณี
แม้ว่าเขาจะตัวเตี้ย แต่ก็เอามือฟั่นเคราพลางสะบัดศีรษะไปมา เผยท่าทีน่าขันออกมาหลายส่วน แต่คนอื่นๆ ย่อมไม่ได้เผยสีหน้าเยาะเย้ย และยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้ากลับตอบอย่างจริงจัง
“สหายผูไม่ต้องกังวล แม้ว่าเป่าฮวาจะกระตุ้นแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬได้อีกครั้ง แต่เช่นนั้นก็ทำให้ปราณแท้ของนางได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่มีทางฟื้นฟูพลังปราณได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่ ขอแค่นางไม่ทลายเขตแดนจากไป ต่อให้ซ่อนอยู่สักระยะก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องหวาดกลัว ยามนี้พวกนางจะต้องไปซ่อนที่ที่คนปรากฏตัวขึ้นใหม่แน่ ในเมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัวที่นี่เร็วขนาดนี้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กว่าครึ่งคงเป็นเผ่ามารระดับสูงที่พักอยู่แถวๆ นี้ พวกเราแค่ตรวจสอบสักหน่อย ย่อมหาเขาเจอ”
“พี่หญิงหลันพูดมีเหตุผล สหายฝูคือลูกน้องที่ดีที่สุดของข้า ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าร่างแยกของข้าเลย ประกอบกับร่างแยกอีกสองร่างที่พี่หญิงเรียกมา ต่อให้มีเรื่องที่คาดไม่ถึง เป่าฮวาก็ไม่มีทางหนีจากเงื้อมมือของพวกเราได้ ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้นางหายไปจากโลกนี้ให้ได้ พี่หญิงหลัน เจ้าคิดจะตรวจสอบผู้ใด ยามจำเป็นก็อาจจะต้องลงมือสังหาร ไม่อาจปล่อยไปได้” แววตาของหญิงสาววัยดรุณีฉายแววโกรธแค้นขณะเอ่ย
“แน่นอนว่าต้องเริ่มจากลูกน้องที่เคยมีต้นกำเนิดเดียวกันกับเป่าฮวา พวกเขาน่าสงสัยที่สุด” ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด เห็นได้ชัดว่าครุ่นคิดเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้ว
“พี่หญิงหลัน ต้องรบกวนเจ้าลงมือแล้ว ส่งข่าวให้เมืองสำคัญต่างๆ ละแวกนี้ปิดผนึกเขตอาคมส่งตัว ไม่มีเขตอาคมส่งตัว ต่อให้เป่าฮวาคิดจะหนี ก็หนีไปได้ไม่ไกลนัก” หญิงสาววัยดรุณีกลอกตาไปแล้วเอ่ยเสนอขึ้น
“วิธีนี้ไม่เลว ข้าจะออกคำสั่งทันที ผู้ควบคุมเมืองในละแวกนี้มีความสัมพันธ์กับข้า น่าจะฟังข้าอยู่ แน่นอนว่าหากเพิ่มฐานะของบรรพชนแรกเริ่มอย่างเจ้าเข้าไป พวกเขาย่อมไม่กล้าขัดขืน” ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ไม่มีปัญหา ข้าจะไปบอกเจ้าเมืองต่างๆ กับเจ้า” หญิงสาววัยดรุณีตอบรับทันที
“เยี่ยม ชักช้าไม่ได้แล้ว ดำเนินการเถิด ภูเขาระฆังสัมฤทธิ์ที่อยู่ไม่ไกลนักคือที่พักของจอมมารที่น่าสงสัย พวกเราเริ่มตรวจสอบจากตรงนั้นเถิด หวังว่าเป่าฮวาและพวกจะซ่อนอยู่แถวๆ นั้น” ฮูหยินสวมชุดคลุมสีฟ้าไม่ยอมชักช้า น้ำเสียงเปลี่ยนไปแล้วเอ่ยอย่างเย็นเยียบทันที
จากนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อชั่วขณะนั้นรัศมีลำแสงสีฟ้าพลันม้วนวนออกไป พวกเขาหายวับไปจากกลางอากาศ
เวลาไหลผ่านไป ครึ่งปีก็ผ่านไปภายในพริบตา
บนเนินดินสีเหลืองใกล้ๆ กับที่ดินรกร้างในแดนมาร ป้อมปราการยักษ์ความสูงร้อยจั้งเศษล้อมรอบภูเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ป้อมปราการยักษ์นี้กินพื้นที่สิบลี้ ราวกับป้อมปราการเมืองขนาดย่อมก็ไม่ปาน
บนกำแพงสูงใหญ่มีนักรบชุดเกราะอาวุธครบมือลาดตระเวนอยู่เป็นกลุ่มๆ กลางอากาศรอบๆ ป้อมปราการมีรัศมีลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบ เห็นได้ชัดว่าวางเขตอาคมต้องห้ามไว้ตั้งไม่รู้เท่าไหร่
และกลางอากาศที่สูงยิ่งกว่าก็มีเมฆมารสีดำสนิทลอยนิ่งอยู่ บางครั้งก็มีเสียงอึกทึกดังแว่วมา
“ท่านอาวุโสหาน เข้าใจผิดหรือเปล่า ที่นี่คือที่ที่เจ้าบอกว่าที่นี่คือทางเดินข้ามแดนที่มีการป้องกันไม่แน่นหนา มีเผ่ามารคุ้มกันอยู่ไม่เท่าไหร่หรือ?” จูกั่วเอ๋อร์อยู่ห่างจากภูเขาขนาดย่อมไปร้อยลี้เศษ กำลังมองกระจกสัมฤทธิ์ตรงหน้า แล้วถลึงตาเอ่ย
กระจกมีรัศมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด สะท้อนให้เห็นทัศนียภาพรอบๆ ป้อมปราการยักษ์ แล้วไหลวนโคจรไปมาอย่างรวดเร็ว