ช่วงระยะเวลาสุดท้ายที่แดนกว้างเย็นเปิด หานลี่ไม่ได้ฝึกฝนจะเตรียมทะลวงจุดคอขวดอันใด แต่กลับตามหายอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง ใช้อักขระจ้วนทองที่ร่ำเรียนมาใหม่ เรียนรู้คาถาลับจากเคล็ดวิชาลับชุดนั้น
ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในเขตอาคมซากปรักหักพัง ถูกพลังลึกลับบรรจุเข้าไปในร่าง จึงไม่อาจทะลวงระดับผสานอินทรีย์ได้ ใช้วิธีการธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจทะลวงจุดคอขวดได้
ถึงอย่างไรเสียเขาบรรลุระดับสองขั้นอย่างต่อเนื่องในครั้งเดียว ไม่ว่าระดับการผนึกพลังปราณหรือว่าระดับจิตใจก็ต้องใช้เวลาหลอมถึงจะมีโอกาสได้ทะลวงระดับผสานอินทรีย์จริงๆ
แต่ชนต่างเผ่าอื่นๆ ที่เข้ามาในแดนนี้ ผู้ใดบ้างที่ไม่ได้ติดอยู่ในระดับหลอมสุญตามาสองสามร้อยปีหรือแม้กระทั่งพันปี ล้วนตระหนักได้ว่าไม่อาจทะลวงจุดคอขวดได้อีก ถึงได้เสี่ยงเข้ามาในแดนกว้างเย็น
แน่นอนว่าตามตำนานแล้วระยะเวลาที่แดนกว้างเย็นเปิด ยิ่งอยู่ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนสุดท้าย ไอวิญญาณในแดนนี้จะยิ่งหนาแน่น อัตราการทะลวงจุดคอขวดในยามนี้จึงเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย
ดังนั้นปกติแล้วชนต่างเผ่าที่เข้ามาในแดนนี้ ถ้าไม่กักตนฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักปีแรกเพื่อเตรียมทะลวงจุดคอขวดในระยะสุดท้าย ก็ต้องใช้เวลาช่วงแรกรวบรวมวัตถุดิบหายากที่ไม่อาจหาได้ในโลกภายนอก
และยังมีประเภทสุดท้ายแน่นอนว่าย่อมเหมือนกับเซียนเย่ว์ที่เข้ามาในแดนนี้ เป็นผู้ที่มีจุดประสงค์อื่น
ทว่าไม่ว่าประเภทไหนก็เริ่มทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ในช่วงเดือนสองเดือนสุดท้าย
ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายอย่างหานลี่ กลับบรรลุระดับขั้นอย่างต่อเนื่องในแดนกว้างเย็นนั้น เป็นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา และนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่แตกต่างกัน!
ทว่าอักขระจ้วนทองนั้นลึกลับมา แม้ว่าหานลี่จะใช้เวลาเดือนกว่า ก็ยังเข้าใจเนื้อหาแค่ครึ่งเดียว เข้าใจเนื้อหาส่วนที่ง่ายที่สุดส่วนเดียวเท่านั้น
ส่วนนี้มีการเทิดทูนและอธิบายเคล็ดวิชาลับนี้อยู่ไม่น้อย
แต่เช่นนั้นก็ทำให้หานลี่เข้าใจว่าเหตุใดวันนั้นเซียนเย่ว์จึงหัวเราะอย่างขมขื่นและถอนหายใจกับการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้
ตามที่อักขระจ้วนทองกล่าวไว้ เคล็ดวิชาลับนี้ดูเหมือนจะเป็นอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจในแดนเทพเซียน แม้กระทั่งนำกฎฟ้าดินหลอมรวมเข้าไปในอาคม หากฝึกฝนสำเร็จ จิตสัมผัสก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ
เคล็ดวิชานี้มีทั้งหมดสามขั้น
หากฝึกฝนขั้นแรกสำเร็จ ก็ทำให้จิตสัมผัสเพิ่มขึ้นสองเท่า หากฝึกฝนขั้นที่สองสำเร็จ ก็จะเพิ่มเป็นสี่เท่า หากฝึกฝนขั้นที่สามสำเร็จ ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าแปดเท่า
การเพิ่มขึ้นที่น่าหวาดกลัวนี้ทำให้หานลี่รู้สึกตกตะลึง และเชื่อไปกว่าครึ่งว่าเคล็ดวิชาลับนี้เป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจในแดนเทพเซียน
ทว่าแม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะแข็งแกร่งเช่นนี้ แต่ก็เหมือนกับที่เซียนเย่ว์กล่าวไว้ก่อนหน้า ข้อจำกัดในการฝึกฝนนั้นโหดร้ายทารุณมาก
เงื่อนไขของเคล็ดวิชานี้นั้นมีไม่มาก เงื่อนไขคือผู้ฝึกฝนต้องมีพลังยุทธ์ในระดับเทพแปลงขึ้นไป แต่ข้อเสนอแรกเพียงข้อเดียวก็คือกายเนื้อและจิตสัมผัสต้องแข็งแกร่งพอ ถึงจะรับการแว้งกัดที่น่ากลัวของเคล็ดวิชาได้
ถึงอย่างไรเสียผลจากการที่จิตสัมผัสนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่านั้น หากกายเนื้อและจิตสัมผัสของผู้ฝึกฝนไม่อาจรับได้ ร่างกายก็จะระเบิดออกและสิ้นใจในที่สุด
ตามที่คาถาได้อธิบายไว้ หากจะเริ่มฝึกฝนขั้นแรก จิตสัมผัสจะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันสองสามเท่า แต่เงื่อนไขของกายเนื้อนั้นโหดร้ายยิ่งกว่า ต่อให้ฝึกฝนกายเนื้อในระดับเดียวกัน ก็พอจะฝึกแค่ในระดับที่เหมาะสมกับเงื่อนไขได้เท่านั้น
หากเลือกเพียงข้อเดียวจากทั้งสอง แม้ว่าจะมีผู้ที่เหมาะสมอยู่น้อยมาก แต่ก็พอจะหาได้
หากมีทั้งสองครบครัน ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีในแดนวิญญาณ แต่ก็มีอยู่น้อยมาก
ถึงอย่างไรเสียสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรปกติแล้ว จิตสัมผัสก็ต้องอ่อนแอกว่ากายเนื้อมากอยู่แล้ว
การฝึกฝนกายเนื้อจริงๆ ไม่มีพลังปราณคอยสนับสนุน จิตสัมผัสก็แข็งแกร่งไม่เท่าไหร่นัก
ส่วนที่เหลืออีกสองขั้น ขั้นที่สามมีเงื่อนไขที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเดิม
เซียนเย่ว์เป็นคนที่ฝึกฝนพลังปราณโดยเฉพาะ ตอนแรกที่เห็นเงื่อนไขนี้ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกหมดหวัง
ทว่าเหมือนกับที่หญิงสาวคาดเดาไว้ก่อนหน้า ขั้นสุดท้ายในคัมภีร์ มีวิธีแก้ปัญหาให้จริงๆ นั่นคือก็ให้สูตรปรุงยาที่ไม่เคยได้ยินมาสองสูตร
สูตรแรกเรียกว่า “ยาลูกกลอนเติมวัชระ” อีกสูตรเรียกว่า “ยาลูกกลอนผนึกวิญญาณ”
ตามที่กล่าวไว้ยาลูกกลอนทั้งสองชนิด ชนิดหนึ่งสามารถเพิ่มพลังจิตสัมผัสได้ ชนิดหนึ่งเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อได้ หลังจากกินยาลูกกลอนสองชนิดนี้เป็นเวลานาน ก็จะทำให้ผู้ฝึกฝนค่อยๆ ฝึกฝนจนถึงขั้นที่สอดคล้องกับเงื่อนไขได้อย่างช้าๆ
จากผลของยาลูกกลอนที่น่าเหลือเชื่อนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้มีอยู่ในแดนวิญญาณ
แม้ว่าสูตรยาทั้งสองชนิดจะถูกเขียนไว้อย่างละเอียด กระทั่งอธิบายขั้นตอนการหลอมอย่างละเอียด แต่วัตถุดิบที่ใช้นั้น หานลี่กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักชนิด หากอยากหลอมยาลูกกลอนทั้งสองชนิดนี้ในแดนวิญญาณ คงเป็นเรื่องเพ้อฝัน
หลังจากที่หานลี่อ่านเงื่อนไขในการเคล็ดวิชาลับนี้เสร็จ ก็ผ่อนคลายลงท่ามกลางความรู้สึกที่ตกตะลึง
หนทางการฝึกบำเพ็ญเพียรคู่ที่เขาเลือกเดิน และการฝึกฝนจิตสัมผัสด้วยคาถาเทพขับเคลื่อนก่อนหน้า ทำให้อยู่เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ส่วนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ประกอบกับยาลูกกลอนบำรุงร่างกายที่กินเข้าไป ก็ทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ
ดังนั้นขั้นแรกนั้นไม่ต้องพูดถึง เขายอมสามารถฝึกฝนได้
ส่วนขั้นที่สองนั้น ขอแค่ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับขั้นที่หนึ่งสำเร็จ หลังจากที่จิตสัมผัสเพิ่มขึ้นแล้วก็น่าจะพอกล่าวได้ว่าเหมาะสมกับเงื่อนไข ทว่านอกเสียจากกายเนื้อจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนอยู่ในระดับสูงสุด ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะสอดคล้องกับเงื่อนไขได้
ส่วนเงื่อนไขของขั้นที่สาม หานลี่ก็ทำได้เพียงลูบใต้คาง แล้วหัวเราะด้วยสีหน้าขมขื่น
ไม่ว่าอย่างไรเคล็ดวิชาลับนี้ก็ทำให้จิตสัมผัสเพิ่มขึ้นหลายเท่า ประโยชน์ของมันมากมายแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น หลังจากที่ฝึกฝนขั้นที่หนึ่งสำเร็จ หานลี่ก็มั่นใจว่าจะพัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้มากขึ้นสองส่วนแล้ว
เช่นนั้นเวลานี้หานลี่จึงค่อยๆ ทำความเข้าใจอักขระจ้วนทองไปทีละนิด
วันนี้หานลี่กำลังขบคิดอย่างละเอียดอยู่ตรงสันเขา ฉับพลันนั้นก็ได้ยินกำไลเก็บของมีเสียงอึกทึกดังขึ้น
เขาพลันตกตะลึง รีบเบิกตาขึ้นมองไปที่ข้อมือ
เห็นเพียงกำไลเก็บของพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงวิญญาณสีทองเงินสามกลุ่มบินออกมา
นั่นก็คือแผ่นป้ายกว้างเย็นสามแผ่น
แผ่นป้ายทั้งสามพลิ้วไหวเล็กน้อย กลายเป็นลำแสงวิญญาณเป็นดวงๆ แล้วหายวับไปท่ามกลางสายตาของเขา
หานลี่ใจหายวาบ จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าพื้นดินสั่นคลอน ปราณแท้ฟ้าดินรอบด้านเปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย
“หรือว่าจะถึงเวลาแล้ว!”
เขาเอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงหลีกหนีก็หม่นแสงลงกลางอากาศเหนือภูเขารกร้าง ร่างของหานลี่ปรากฏออกมา เงยหน้ามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้กลางอากาศเหนือแดนกว้างเย็น หมอกห้าสีหมุนวนปรากฏขึ้น มันเปล่งเสียงหวีดร้องไม่หยุด พื้นผิวสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง ก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันหมุนวนอยู่บนภูเขาไม่หยุด ต้นไม้สูงใหญ่ล้มระเนระนาดขณะที่พื้นดินสั่นไหว
วิหคบินอสูรเดินดินต่างๆ บนยอดเขารกร้างต่างทะลักออกมาจากรัง พากันพุ่งตรงไปยังที่กว้างอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากที่หานลี่เอาสองมือไพล่หลังแล้ว ก็หลับตาทั้งสองข้างลง สัมผัสได้ว่าปราณฟ้าดินรอบด้านระเบิดออกอย่างน่าตกตะลึง สีหน้าเคร่งขรึม
ก่อนที่จะเข้ามาในแดนกว้างเย็น คนอื่นๆ ได้อธิบายไว้ว่า ยามนี้เป็นลางบอกเหตุที่ว่าแดนกว้างเย็นใกล้จะปิดตัวแล้ว
มากสุดคงใช้เวลาอีกครึ่งวัน คนนอกอย่างพวกเขาจะถูกพลังของกฎเกณฑ์ของแดนนี้บีบให้ออกไป
เพราะว่าก่อนออกเดินทางเข้ามาพวกเขาได้ทิ้งสัญลักษณ์ของตนเองเอาไว้ ในร่างก็พกอาวุธวิเศษที่สัมผัสกับเขตอาคมได้ ยามที่กลับไปจะถูกพลังของแดนส่งกลับไปยังจุดที่มา
หานลี่ขบคิดถึงประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจากแดนกว้างเย็นอย่างเงียบๆ ไปพลาง สัมผัสได้ถึงสัญลักษณ์อันน่าตกตะลึงของท้องฟ้าไม่หยุดไปพลาง
ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ชั่วครู่ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ตกตะลึง แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง
เห็นเพียงหมอกห้าสีทางนั้นหมุนวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสีทองและขาวสองสายพุ่งไปยังจุดที่เขาอยู่
ลำแสงหลีกหนีสองสายพลิ้วไหว สีสันก็อ่อนแสงลง
แต่ลำแสงหลีกหนีสีขาวที่อยู่ด้านหลังก็แข็งแกร่งกว่าลำแสงสีทองในตอนแรก ท่าทางกำลังไล่ตามกันไป
ส่วนลำแสงสีทองด้านหน้ากลับทำให้หานลี่รู้สึกคุ้นเคย
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองเห็นสิ่งที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีทั้งสองอย่างชัดเจน ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
หมาป่ายักษ์สีทองตัวหนึ่งในลำแสงสีทองกระตุ้นพลังปราณหลีกหนี ขนรอบกายไหม้เกรียมไปไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับระดับราชาที่เคยพบมาแล้วสองครั้ง
ลำแสงสีขาวด้านหลังที่ไล่ตามมาติดๆ กลับเป็นอสูรประหลาดราวกับพยัคฆ์แก่สีขาวตัวหนึ่ง แผ่นหลังของมันมีปีก ท่าทางจนตรอกเช่นนั้น แต่กลับยังคงพยายามไล่ตามอสูรลับสีทองตรงหน้าอย่างไม่ลดละ
ทั้งสองไล่ตามกันไป ประกอบกับปราณแท้ในร่างเสียหาย หานลี่จึงอำพรางกลิ่นอายของตนเอาไว้ ทั้งสองจึงไม่พบหานลี่ที่อยู่ไกลออกไป
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ขบคิดว่าจะจัดการกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร ฉับพลันนั้นเสียงคำรามต่ำๆ ก็ดังออกมาจากแขนเสื้อของเขา
เสียงคำรามเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและร้อนใจ! คาดไม่ถึงว่าอสูรมิคาทนจะเปล่งเสียงร้องออกมาจากถุงเก็บอสูรวิญญาณ ท่าทางตื่นเต้นกับการมาของอสูรทั้งสองที่อยู่ไกลออกไป
สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของอสูรมิคาทน หานลี่พลันใจเต้น แน่นอนว่าย่อมนึกถึงตอนแรกที่อสูรตัวนี้กลืนแก่นดวงจิตอสูรลับระดับสูงลงไปสองสามดวง แล้วมีท่าทีแปลกประหลาดที่ยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้
ทันใดนั้นแววตาที่มองไปยังลำแสงสีทองที่อยู่ไกลออกไปก็ค่อยๆ เย็นชาขึ้น
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น แผ่นหลังของหานลี่มีปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
กระพือปีกกลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาอสูรลับระดับราชาที่อยู่กลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาสีทองยักษ์สามเศียรหกกรเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น
แขนทั้งหกของเงาสีทองขยับ พ่นเสาลำแสงสีทองหกสายออกมา ความเร็วแทบจะมาอยู่ตรงหน้าอสูรลับสีทองในชั่วพริบตาที่ลงมือ
จากระดับความน่ากลัวของอสูรลับระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นของอสูรตัวนี้ แม้ว่าการโจมตีด้วยเสาลำแสงเหล่านี้จะอยู่นอกเหนือความคาดหมาย ก็แต่มีวิธีหลบหลีกได้
แต่อสูรในยามนี้กลับเป็นตะเกียงที่ใกล้จะหมดไฟ พลังปราณในร่างเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน แม้ว่าจะพยายามหลบหลีก แต่ก็หลบหลีกการโจมตีได้แค่ครึ่งหนึ่ง และยังมีเสาลำแสงสีทองอีกหกสายที่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีเข้ามา
เสียงอึกทึกดัง “ครืนๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีทองที่เจิดจ้าจนแสบตากลืนกินร่างของอสูรลับเข้าไป
จากนั้นระลอกคลื่นกลางอากาศก็พลิ้วไหวอีกครั้ง ยอดเขายักษ์สีดำขนาดพันจั้งและไม้บรรทัดยักษ์สีเงินปรากฏออกมา และร่อนลงมาพร้อมกันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด