หานลี่ที่ได้ยินคำถามนี้ของปรมาจารย์เอ๋าเซี่ยว สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไป ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ สายตามองตรงไปยังฝ่ายตรงข้าม
“ผู้อาวุโสคิดว่าชนรุ่นหลังทำสำเร็จแล้วเช่นนั้นหรือ?” หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดหานลี่ก็ถามกลับไปด้วยสีหน้าปกติ
“ถึงแม้บ่อชำระวิญญาณและบัววิญญาณพิสุทธิ์เรื่องนั้นจะเป็นที่เลื่องชื่อ แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ในแต่ละดินแดนก็ยังให้ความสนใจ ผู้อาวุโสกลับไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถทำได้สมความปรารถนาเลย ตามหลักเหตุผลแล้วในเมื่อท่านสามารถกลับจากแดนมารได้อย่างปลอดภัย แต่ว่าโอกาสที่จะบรรลุชะตากรรมครั้งนี้ยังไม่ถือว่าสูงนัก แต่ว่าไม่รู้ทำไมผู้หลังจากที่อาวุโสได้เห็นท่านครั้งแรก ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าโอกาสครั้งนี้ของท่านจะเล็กไม่เหมือนกับสิ่งที่เราคิดไว้ก่อนหน้านี้ ท่านทำสำเร็จแล้วล่ะ” ปรมาจารย์เอ๋าเซี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“ในเมื่อผู้อาวุโสคิดว่าชนรุ่นหลังทำสำเร็จแล้วล่ะก็ อย่างนั้นก็แสดงว่าผู้อาวุโสเคยเข้าไปที่บ่อชำระวิญญาณมาแล้วสินะ” หลังจากที่หานลี่คิดไปคดมาอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงได้ยิ้มและเอ่ยถามกลับ
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่เปิดข้อมูลต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้แน่
แต่ว่าตอนนี้เขานั้นได้บำเพ็ญตนถึงนิพพานร่างศักดิ์สิทธิ์ระดับที่สองแล้ว สามารถใช้ดาบวิญญาณลึกล้ำได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีนักพรตปูอยู่ข้างๆ อีก แม้จะต้องเผชิญหน้ากับระดับมหายานก็ยังมีกำลังที่จะต่อสู้อยู่ ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลที่จะต้องพะว้าพะวังอีกต่อไปแล้ว
และในใจหานลี่นั้นก็ยิ่งอยากที่จะรู้ว่า หลังจากที่มหายานเผ่าปีศาจเท่านี้รู้คำตอบของเขานั้น จะทำท่าทีแสดงออกอย่างไร?
“ดี ดีมาก ในเมื่อท่านเคยเข้าไปในบ่อชำระวิญญาณแล้ว และได้ครอบครองบัววิญญาณพิสุทธิ์แล้ว ในวันข้างหน้าระดับมหายานของท่านก็มีความเป็นไปได้สูง ทว่าหากเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ ที่ผู้อาวุโสวางแผนเพื่ออิ๋นเย่ว์ก่อนหน้านี้ก็คงจะเกินความจำเป็น ไม่คู่ควรอย่างยิ่ง หากรู้ก่อนเช่นนี้ ข้าไม่ควรที่จะห้ามนางให้มาพบกับท่านก่อน ทำให้การบำเพ็ญเคล็ดวิชานั่นของนางได้สิ้นสุดลงแล้ว” ปรมาจารย์เอ๋าเซี่ยวฟังคำพูดของหานลี่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นประหลาดใจขึ้นมา ตอบกลับด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเสียกับสิ่งที่ได้ทำไปเล็กน้อย
“เกินความจำเป็น เคล็ดวิชานั่น?”
หานลี่ได้ยินดังนี้คิ้วขมวดเล็กน้อย หลังจากกวาดสายตามองไปยังใบหน้าน่ารักของอิ๋นเย่ว์อย่างไม่ใส่ใจ ในใจที่คลุมเครือพลันเดาอะไรบางอย่างได้ ก็สงบลงอย่างอดไม่ได้
“การฝึกบำเพ็ญตนเคล็ดวิชาลืมเลือนนั้นเป็นสิ่งที่ข้าเลือกด้วยตนเอง ข้าจะตำหนิท่านปู่ได้อย่างไร และหากไม่ใช่เคล็ดวิชานี้ แล้วข้าจะชดเชยจิตใจที่ปริแตก และเข้าสู่การผสานระดับสูงได้อย่างไรกัน และหลังจากการบำเพ็ญตนเคล็ดวิชานี้แล้ว หลิงเอ๋อร์เพิ่งจะรู้ว่าความรักความเกลียดชังทั้งหมดในโลกนี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่จำเป็น มีเพียงเส้นทางธรรมเท่านั้น สิ่งสุดท้ายที่เราผู้บำเพ็ญตนแสวงหา หลังจากนี้ข้าก็แค่ต้องมั่นขยันฝึกฝน ในตอนนี้คอขวดโล่งตรงนี้อาจจะแตกสลายไป” อิ๋นเย่ว์เปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“เคล็ดวิชาลืมเลือน! คอขวด? ผู้อาวุโส แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าวิธีการบำเพ็ญตนของอิ๋นเย่ว์เกิดปัญหาหรือ” ในที่สุดหานลี่ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“หากท่านไม่ถาม ผู้อาวุโสเองก็จะอธิบายให้ท่านฟัง แต่ว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เราควรจะอยู่ได้นานนัก และภารกิจที่ผู้อาวุโสได้แอบเข้ามาในเขตแดนของเผ่ามารก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว ท่านกับสหายนักพรตปูกลับไปที่ค่ายทหารพันธมิตรกับผู้อาวุโสก่อน ระหว่างทาง ผู้อาวุโสจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ท่านฟังอย่างละเอียด” บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ในเมื่อผู้ท่านผู้อาวุโสเชิญ ชนรุ่นหลังก็จำทำตามคำสั่ง” หานลี่ใช้กำลังบังคับความสงสัยไว้ในใจ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหานลี่ก็ได้ตอบตกลง
ดวงตาของอิ๋นเย่ว์เพียงกะพริบไม่กี่ครั้ง ไม่ได้เปิดปาดเอ่ยอะไร
“ดีมาก! ทหาร เอาชามา และกลับไปเส้นทาง ‘เมืองฉิมพลี’ เดี๋ยวนี้ ท่านสหายทั้งสอง เชิญนั่งก่อนค่อยคุยกันเถิด” หลังจากบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวพยักหน้าพึงพอใจ หันไปนอกห้องโถงและเอ่ยสั่งขึ้นทันที
“ขอรับ นายท่าน!”
ทันใดนั้นเสียงแข็งกระด้างทางด้านนอกห้องโถงก็ส่งออกมา หลังจากเรือหอคอยสีเงินเกิดการสั่นเล็กน้อย ฉับพลันเสียงดังกระหึ่มดังขึ้นและบินหายออกไปในอากาศ
หานลี่และนักพรตปูที่เห็นดังนี้ ก็ทำตามคำสั่ง แยกกันนั่งบนเก้าอี้บริเวณใกล้เคียง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงฝีเท้าอ่อนช้อยด้านนอกประตูห้องโถงดังขึ้น สาวใช้ผมสีเงินในชุดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเงินจำนวนหนึ่ง ถือถาดน้ำชาเดินเข้ามา และทยอยทำความเคารพ นำชาวิญญาณสีเขียวมรกตถวายให้กับทุกคน
หานลี่คิดถึงเรื่องของอิ๋นเย่ว์อยู่ตลอด โดยไม่ได้คิดอะไรลิ้มลองชาวิญญาณที่ดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดานี่ดู
เพียงแค่ใช้ริมฝีปากสัมผัสน้ำชาเล็กน้อยเพื่อเป็นการไม่เสียมารยาท แก้วชาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเงียบรอฟังบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวพูด
กลับกันนักพรตปูนั้นเหนือความคาดหมายของหลายคน หลังจากที่ให้สายตาพิจารณาถ้วยชาในมืออย่างถี่ถ้วน เขาดื่มมันทั้งหมดลงท้องภายในลมหายใจเดียว และยังเอียงหัวเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก
“ไม่เลว น้ำชานี้มีพลังวิญญาณพิเศษดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์ต่อข้าไม่น้อย มีอีกหรือไม่สหายเอ๋า?”
“ฮ่าๆ ศิษย์พี่ปูนี่ช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ วางใจได้ ถึงแม้ว่าชาปี้หลงนี้จะหายาก แต่ว่าผู้อาวุโสยังมีอยู่ในนี้จำนวนหนึ่งใกล้ๆ นี้ หากศิษย์พี่ปูชอบแล้วละก็ รอประเดี๋ยวผู้อาวุโสจะให้คนมาเพิ่มให้”
ดวงตาทั้งคู่ของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวประกายขึ้น เอ่ยตอบกลับอย่างไม่ตริตรอง
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับปูยักษ์สีเหลืองทอง
“เช่นนั้นข้าต้องขอบใจท่านมาก” นักพรตปูเพียงแค่พยักหน้าน้อมรับ ไม่เอ่ยคำใดอีก
ลึกๆ บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวที่รู้ฐานะเซียนจอมปลอมของฝ่ายตรงข้าม แต่ได้ไม่ใส่ใจนัก กลับหันไปหาอิ่นเย่ว์และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หลิงเอ๋อร์เจ้าเพิ่งจะฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาลืมเลือนไปได้ไม่นาน จิตยังไม่ค่อยมั่นคงนัก กลับไปปรับลมหายใจก่อนเถิด อย่าเพิ่งทำอะไรคาดไม่ถึงไปมากกว่านี้ ตอนนี้ผู้อาวุโสเพียงคนเดียวสามารถดูแลสหายทั้งสองนี้ได้”
“ในเมื่อท่านปู่รับสั่ง หลิงเอ๋อร์เองก็จะเชื่อฟังคำสั่ง” หลังจากที่อิ๋นเย่ว์คิดไปคิดมา ก็ตอบกลับโดยทันที
หลังจากที่นางหันไปทางหานลี่และนักพรตปูเพื่อทำความเคารพ แล้วก็ออกจากออกจากห้องโถงใหญ่ไปอย่างสงบ ยังคงรักษาสีหน้าเรียบนิ่งไว้ ราวกับว่าในสายตาของนางนั้นหานลี่เป็นเพียงแค่เพื่อนกันธรรมดาเท่านั้น
หานลี่จ้องตามหลังร่างที่หมุนตัวเดินจากไป หลังจากที่มุมปากขยับไม่กี่ครั้ง ยังคงเงียบสงัดไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
การแสดงออกของทั้งสองคนตกอยู่ในสายตาของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว สีหน้าฝืนยิ้มบนใบหน้า หลังจากที่รอให้อิ๋นเย่ว์ออกไปจากห้องโถงใหญ่จนลับสายตา ถึงได้เอ่ยขึ้น
“สหายหาน เกี่ยวกับเรื่องปีที่ผ่านมาก่อนที่จะได้รู้จักท่านและต้นกำเนิดของหลงเอ๋อร์ ท่านก็น่าจะได้รู้มาจากคนอื่นมาบ้างแล้ว”
“ความจริงแล้วข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่หลังจากที่กลับมายังแดนวิญญาณอีกครั้ง ดูเหมือนว่านางก็ถูกผู้อาวุโสเก็บไว้ตลอดเสียแล้ว” หานลี่ตอบกลับไปหนึ่งประโยค
“ที่จริงก็เป็นเช่นนี้ วันนั้นในตอนที่นางเพิ่งจะกลับมาจากแดนมนุษย์ ระหว่างที่ยังไม่ได้กลับไปยังเผ่า นางหาเจอสถานที่เข้าฌานของผู้อาวุโสเอง และนางได้คุกเข่าข้างนอกสถานที่เข้าฌานไปพักใหญ่นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ผู้อาวุโสยังจำได้ชัดเจน ตอนนั้นหลังจากสุดท้ายห้ามไว้ไม่ได้ก็ได้ปล่อยนางเข้ามา ในตอนนั้นที่เพิ่งได้พบกับนางที่รูปร่างผอมแห้ง…” หลังจากบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก็ได้เริ่มใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำผิดจากปกติอธิบายขึ้นมา
หานลี่ที่รับฟังทุกอย่างเงียบๆ สายตาพลันเป็นประกายแสงจางๆ
เวลาผ่านพ้นไปทีละน้อย คำบอกเล่าของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวช่างเชื่องช้านัก!
บางครั้งก็ดูเหมือนว่าเรื่องธรรมดาทั่วไปที่เกี่ยวกับอิ๋นเย่ว์ สามารถพูดออกมาได้อย่างละเอียดผิดปกติ ทว่าหานลี่กลับได้ยินอะไรบางอย่างที่ไม่ชัดออกมา ความรู้สึกไม่ปกติในใจก็ออกมาไม่หยุดต่อเนื่องเป็นระยะ แต่ใบบนหน้ากลับดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าอีกไม่นาน ก็คงจะจบแล้ว หลิงเอ๋อร์ได้บำเพ็ญตนในเคล็ดวิชาลืมเลือนจนถึงระดับต้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะอีกไกลกว่าที่จะตัดขาดความรู้สึก ฐานะทั้งหมด แต่ว่าข้าก็ไม่กล้าที่จะปล่อยนางไปจากข้าง่ายๆ หรอก ดังนั้นแม้ว่าการที่แอบเข้ามาในแดนมาร ภารกิจอันตรายเช่นนี้ ข้าจะต้องพาเด็กสาวคนนี้ไปกับข้า ถึงจะได้วางใจ แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าสหายหานจะยังมีชีวิตรอดกลับมาจากแดนมารได้ และมาได้จังหวะให้ผู้อาวุโสเจอเข้าพอดี ดูเหมือนว่านรกจะยังมีเจตจำนงสวรรค์อยู่” จากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็ม ในที่สุดบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวก็ได้เล่าทั้งหมดจบลง หลังถอนหายใจไปหนึ่งเฮือก ก็ได้หยุดพูดลง
อีกด้านหนึ่งสีหน้าหานลี่ที่มืดมน และหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงค่อยๆ ถามออกไป
“เช่นนี้ สาเหตุที่เปลี่ยนให้สหายหลิงหลงเมินเฉยต่อข้า ทั้งหมดก็เป็นเพราะเคล็ดวิชาลืมเลือนนั่น และหลังจากที่นางใกล้เข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ของเคล็ดวิชานี้ ท่านอาวุโสถึงจะพบว่าสภาพร่างกายของ หลิงหลงนั้นแท้จริงแล้วไม่เหมาะกับเคล็ดวิชานี้ เมื่อฝึกบำเพ็ญตนถึงระดับสูงสุดของเคล็ดวิชาลืมเลือน กลับกันพลังยุทธ์มันจะย้อนทำลาย และจะสูญเสียพลังทั้งหมดไป และเคล็ดวิชาลืมเลือนก็เป็นอีกวิชาหนึ่งที่เมื่อหยุดการฝึกบำเพ็ญแล้ว ก็สามารถเป็นเคล็ดวิชาที่จะไม่คืบหน้าก็ถอยหลังลง แม้ว่าอิ๋นเย่ว์จะล้มเลิกการฝึกเคล็ดวิชานี้แล้ว ก็ยังคงสร้างปัญหาในอนาคตที่ยากจะจบลงด้วยดี และพลังยุทธ์ก็หยุดลงแค่เท่านี้”
“ไม่เพียงแต่เท่านี้ สาเหตุเพราะร่างกายและวิทยายุทธ์เกิดการข่มความสัมพันธ์กัน หลังจากที่ฝึกบำเพ็ญตนเคล็ดวิชาลืมเลือนนี้สองสามระดับแรก ผลกระทบต่อหลิงหลงก็ยังมีผลไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้ ตอนนี้ในระยะเวลาหนึ่งวันนี้ หลิงหลงยังเหลือหนึ่งในสามที่จะสามารถเคี่ยวเข็ญรักษาความจำเดิมเอาไว้ และช่วงเวลาที่เหลือก็อาจจะสามารถได้รับผลกระทบจากเคล็ดวิชาลืมเลือนนี้ เปลี่ยนไปเหมือนอย่างที่ท่านเพิ่งได้เห็นไปเมื่อครู่ และด้วยการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เข้าไปอย่างลึกซึ้ง ระยะเวลาในการที่หลิงหลงจะเก็บรักษาความจำเดิม จะยิ่งสั้นลงไปเรื่อยๆ และเลือนหายไปในที่สุด” หลังจากที่บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวเงียบไปไม่พูดจาไปครู่หนึ่ง จึงได้อธิบายเรื่องที่หานลี่ตกใจออกมา
“อะไรกัน ตามที่ผู้อาวุโสกล่าวมา อิ๋นเย่ว์ยังมีเวลาที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ทุกวัน ข้าว่าเมื่อครู่ตอนที่คุมเชิงกับหยวนชา ตอนที่อิ๋นเย่ว์เพิ่งออกมา กับท่าทางที่ผ่านมาไม่เหมือนกันเลยสักนิด แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน” หานลี่กล่าวอย่างดีใจ
“สหายหานคิดว่าการที่สภาพจิตใจความรู้สึก และสิ่งอื่นๆ ของคนเรานั้น เกิดการเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงในทุกๆ วัน เป็นเรื่องที่ดีเช่นนั้นหรือ? คนที่เปลี่ยนความตั้งใจและค่อยๆ อ่อนแอ อย่าพูดถึงการนั่งบำเพ็ญตน และนั่งสมาธิปกติเลย เกรงว่าจะใช้เวลาเพียงไม่นานจิตวิญญาณก็จะแตกสลาย และบ้าคลั่งไปตอนนี้ทุกๆ สองสามวัน ข้าจะต้องแสดงเคล็ดวิชาสงบจิตบางอย่าง ถึงจะสามารถเสริมและบังคับบาดแผลจิตสำนึกของหลิงหลงได้ นี่ก็เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถปล่อยนางไปจากข้างกายได้ง่ายๆ”
บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย
“ในเมื่อเคล็ดวิชาลืมเลือนนี้ผู้อาวุโสเตรียมไว้ให้หลิงหลง ไม่มีทางแก้ไขเลยหรือ และอีกอย่างผู้อาวุโสเป็นถึงระดับมหายาน อิทธิฤทธิ์มหาศาลที่ไม่อาจนึกถึง และไม่มีใครรู้ เรื่องนี้ควรจะต้องเป็นผู้อาวุโสแล้วล่ะ” สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไป พลันถามขึ้นอย่างเร่งรีบ
“หลิงหลงเป็นสายเลือดโดยตรงของข้า หากข้ามีวิธี ข้าต้องแสดงมันออกมาแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพรสวรรค์สภาพร่างกายของหลิงเอ๋อร์ที่รู้สึกตัวในร่างจันทราดาราทั้งเจ็ด ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญตนเคล็ดวิชานี้แล้ว ข้ายังมีวิธีที่จะแก้ไขอยู่ แต่ว่าตอนนี้การข่มของความสัมพันธ์ของเคล็ดวิชาลืมเลือนและสภาพร่างกายนี้ พัวพันเป็นหนึ่งเดียวกันมาตั้งนานแล้ว แม้ผู้อาวุโสจะมีวิธีการที่เหนือกว่า ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว” หางตาของบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวกระตุกขึ้นสองครั้ง ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และยังได้พูดความลับเดิมที่ควรจะปิดบังทุกคนเอาไว้ทั้งหมดออกมาจนหมด