ในเวลาต่อมา บรรพชนเอ๋าเซี่ยวและมั่วเจี่ยนหลี ได้เริ่มหารือรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับการต่อสู้กับเผ่ามาร และนานๆ ครั้งก็หันไปทางหานลี่เพื่อขอความคิดเห็น ราวกับว่าไม่ได้คิดว่าหานลี่เป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย
หานลี่รู้ดีว่าในความพัวพันของระดับยุทธศาสตร์การต่อสู่ของหลายเผ่านี้ เขาก็ไม่มีทางที่จะเปรียบกับมหายานต่อหน้าทั้งสองที่มีชีวิตอยู่นับพันปีได้ ดังนั้นจึงไม่เอ่ยขัดอะไร แต่เมื่อทั้งสองท่านถาม ถึงได้ครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วตอบความคิดเห็นของตัวเองไปบ้าง
ส่วนนักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วย
แต่ทั้งสองคน อีกหนึ่งคนใบหน้าก็ไร้ความรู้สึกและไม่สนใจอะไรเลย ส่วนอีกคนหนึ่งก็สีหน้าไม่แยแสและไม่เอ่ยพูดอะไร
ส่วนจูกั่วเอ๋อร์ ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ อย่างซื่อตรง ในที่แห่งนี้เดิมทีนางไม่มีคุณวุฒิใดจะเอ่ยแทรกขึ้นได้
เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ เวลาก็ค่อยผ่านพ้นไป!
หานลี่รออยู่ในถ้ำของมั่วเจี่ยนหลีเป็นเวลาครึ่งวัน ในที่สุดหลังจากที่หารือกันเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมดแล้ว บรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยวก็ลุกขึ้นมา กล่าวคำอำลาและพาอิ๋นเย่ว์ออกไปก่อน
จากนั้นมั่วเจี่ยนหลีก็ได้สนทนากับหานลี่เพียงลำพังครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเรียกลูกศิษย์ที่ดูเหมือนนักพรตวัยกลางคนข้างนอกเข้ามา และขอให้เขาจัดที่พักชั่วคราวให้กับหานลี่
ชายวัยกลางคนท่านนี้ก็เคารพน้อมทำตามคำสั่งที่ละอย่าง และจัดห้องบำเพ็ญเพียรใต้หลังคาบนกิ่งก้านของพฤกษายักษ์ให้กับหานลี่ ที่ห่างจากถ้ำของมั่วเจี่ยนหลีไปไม่ไกลเกินสิบกว่าลี้
แม้ว่าระดับความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่นี่จะเทียบไม่ได้กับถ้ำของมั่วเจี่ยนหลี แต่ก็แข็งแกร่งกว่าสถานที่อื่นๆ ในเมืองฉิมพลีมาก ซึ่งก็ทำให้หานลี่ค่อนข้างที่จะพอใจ
เขาไม่ได้จุกจิกพานักพรตเซี่ยและจูกั่วเอ๋อร์ตรงเข้ามาข้างในเลย
ในช่วงครึ่งเดือนต่อมา หานลี่ไม่ได้ออกไปอะไรข้างนอกห้องลับของห้องใต้หลังคาเลย และมุ่งบำเพ็ญเพียรเคล็ดวิชาลับจิตสัมผัสที่ได้มาจากบรรพชนอาวุโสเอ๋าเซี่ยว เพื่อหวังว่าเขาจะสามารถฝึกฝนมันได้โดยเร็วที่สุด จึงจะสามารถช่วยอิ๋นเย่ว์ได้จริง
ตรงกันข้ามกับจูกั่วเอ๋อร์ที่มาอาณาเขตแดนวิญญาณครั้งแรก ที่อดใจไม่ได้ที่จะออกไปข้างนอกทุกวันด้วยความอยากรู้อยากเห็น เดินเที่ยวเตร่ไปทุกชั้นของเมืองฉิมพลี
เด็กสาวผู้นี้ไม่รู้ว่านางใช้คำพูดอะไรไปสะกิดนักพรตเซี่ย ทำให้เขาพาเธอออกไปแต่เช้าและกลับมาจนมืดค่ำ ซึ่งนี่ทำให้ความคิดเดิมหานลี่ที่จะตั้งใจที่จะห้ามนาง พลันหายไปหมด
แต่ตามที่คำบอกเล่าของจูกั่วเอ๋อร์ที่กลับมาทุกวัน หานลี่รู้สึกว่ากองทัพของแต่ล่ะเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมืองฉิมพลีกำลังมีการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ดูราวกับว่าพายุกำลังจะก่อตัว
ดูเหมือนว่าการควบคุมกองทัพพันธมิตรของผู้นำระดับสูงได้บรรลุข้อตกลง ที่ต้องการทำสงครามกับเผ่ามารจริงๆ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ในปัจจุบัน
และแน่นอนเห็นทีว่าเขาคงอยู่ในสมาธิ ต่อไปไม่ได้แล้ว
ไม่กี่วันต่อมา เป็นตามที่เขาคาดการณ์ไว้จริงๆ ทันใดนั้นมั่วเจี่ยนหลีก็มาถึงห้องใต้หลังคาที่เขาอาศัยอยู่
หลังจากที่หานลี่ใช้จิตสัมผัสกวาดดูก็พบว่าการมาของมหายานเผ่ามนุษย์ท่านนี้ ก็ทักทายอย่างสุภาพออกไป และปล่อยให้มั่วเจี่ยนหลีเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่ชั้นที่หนึ่ง หลังจากเอ่ยรับแขกสุภาพสองสามคำ แยกย้ายกันนั่งลง และรอให้อีกฝ่ายอธิบายเจตนาของตน
หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีนั่งลง เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเรียบๆ
“ในการต่อสู้กับเผ่ามารครั้งนี้ กลยุทธ์ต่างๆ ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว กองกำลังเสริมแต่ละเผ่าที่มาช่วยเหลือในครั้งนี้ ข้า ศิษย์พี่เอ๋า และซังไห่แห่งเผ่ายักษามีระดับการฝึกฝนสูงสุด ดังนั้นไม่ว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามารจะมีเท่าไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนถูกกักขังโดยผู้อาวุโสสามคน ส่วนด้านเผ่าพฤกษา เนื่องจากความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในคราก่อน ระดับผสานอินทรีย์ของเผ่าพฤกษานั้นมีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ดังนั้นในการดำเนินกลยุทธ์ของแต่ล่ะเผ่านั้น ยังคงต้องอาศัยการดำรงอยู่ของระดับสูงจากแต่ล่ะเผ่าของพวกเราอยู่ การบำเพ็ญตนของท่านและสหายหาน จำเป็นจะต้องรับหน้าที่ที่สำคัญ”
“เนื่องจากการต่อสู้ครั้งนี้มีความสำคัญต่อเผ่ามนุษย์ของพวกเราเช่นกัน ในฐานะที่ชนรุ่นหลังเป็นหนึ่งในคนของเผ่า ก็ควรที่จะร่วมลงแรง หากมีคำสั่งกำชับอย่างไรท่านอาวุโสพูดออกมาเถอะ ชนรุ่นหลังจะทำอย่างสุดกำลัง” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้ม
“อื้ม ด้วยระดับการบำเพ็ญตนของท่านเป็นอันดับสองรองจากผู้อาวุโสของเราทั้งสามคน ท่านรับหน้าที่นี้เพียงคนเดียวก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากจะถามท่านว่า พลังที่แท้จริงของนักพรตเซี่ยกลับคืนมาแล้วหรือยัง?” มั่วเจี่ยนหลีกระพริบตาและถามอีกครั้ง
“เกรงว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้อาวุโสผิดหวัง! คราวที่แล้วศิษย์พี่เซี่ยสูญเสียบางส่วนมากเกินไป เวลาครึ่งปีเขาจะไม่มีทางที่จะฟื้นฟูความแข็งแกร่งดั้งเดิมได้” หานหลีเข้าใจความหมายของคำถามของอีกฝ่าย จึงได้ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด
“น่าเสียดายจริงๆ ถ้าหากสหายเซี่ยสามารถฟื้นตัวได้เช่นตอนแรก โอกาสที่เราจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างสิบเท่า” มั่วเจี่ยนหลีรู้สึกเสียดายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ถ้าหากศิษย์พี่เซี่ยได้ออกฝีมือของเขาเต็มกำลังแล้วล่ะก็ ย่อมมีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าระดับมหายานจริงๆ แต่การที่จะให้เขาออกฝีมือมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าไม่ใช่เพราะชนรุ่นหลังยังมีครอบครัวอยู่ เกรงว่ายังไม่ช่วยเขาลงมือได้สักสองสามครั้ง” หานลี่ถอนหายใจพร้อมตอบกลับ
“ข้าเคยได้ยินกฎเกณฑ์ของสหายเซี่ยมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะแลกเปลี่ยนได้อย่างไร ถึงได้สามารถพาเขาจากแดนมามาสู่แดนวิญญาณ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว ท้ายที่สุดก็ไม่ให้สหายเซี่ยออกฝีมือ อนุภาพของเซียนปลอมระดับมหายานท่านหนึ่งความยิ่งใหญ่ของจอมปลอมในสมัยมหายานก็เพียงพอแล้วที่จะสยบผู้อาวุโสและชนรุ่นหลังไปน้อย” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย
“ข้าก็หวังว่าอย่างนั้น” หานลี่ทำได้เพียงฝืนยิ้มตอบกลับ
“ในเมื่อพลังที่แท้จริงของสหายเซี่ยยังไม่ฟื้นความแข็งแกร่งจนถึงระยะสูงสุด เช่นนั้นก็ไม่สามารถให้ท่านไปที่แนวหน้าสุดได้ อย่างนี้แล้วกัน ครั้งนี้กำหนดให้แดนพฤกษาทัพสวรรค์ที่สามสิบหกมีสามเขตรักษาการทำงานของวงเวทย์เดิมให้ยังคงอยู่ อย่างไรแล้วหากแตกสลายไปเพียงที่เดียวก็สามารถทำให้อนุภาพของวงเวทย์ทั้งหมดลดลงไปอย่างมาก หากทั้งสามท่านนี้ป้องกันไว้ไม่ได้ เขตของเผ่าพฤกษาทั้งหมดจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนับเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับเผ่าพันธมิตรต้องป้องกัน แต่ว่าไปแล้ว ทั้งสามนี้อยู่ภายใต้การป้องกันของวงเวทย์อย่างแน่นหนา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัย ดังนั้นผู้อาวุโสและศิษย์พี่เอ๋าจึงได้ปรึกษากันล่วงหน้ามาแล้ว เตรียมกำลังที่ให้ท่านรับผิดชอบเอง ไม่รู้ว่าสหายหานมีความเห็นว่าอย่างไร?” หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีมีสีหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยคำพูดที่ปรึกษากันขึ้นมา
“ไม่มีปัญหา! ถ้าหากชนรุ่นหลังรับหน้าที่ป้องกันเขตสำคัญ จะไม่ให้เกิดเรื่องอื่นอีก” หานลี่ทำได้แค่ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันสักครู่ แล้วรับปากโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ถึงเขตสำคัญจะได้ส่วนได้ส่วนเสียกับผลสุดท้ายของต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งนี้อย่างแน่นอน แต่ความปลอดภัยของสหายหานนั้นสำคัญยิ่งต่อเผ่ามนุษย์ของพวกเรา หากมีศัตรูแข็งแกร่งที่ไม่สามารถต้านทานออกมาระหว่างการป้องกันจริงๆ ท่านต้องพยายามปกป้องตันเองหนีออกมาก่อนค่อยว่ากัน ไม่เช่นนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน แม้ว่าจะชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ ทว่าสำหรับพวกเราเผ่ามนุษย์มันก็ยังคงคุ้มค่ากับการสูญเสีย” มั่วเจี่ยนหลีส่ายหน้าไปมา และเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ขอขอบใจในความเมตตาของท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังเข้าใจว่าอย่างไรแล้วจะทำตาม” หานลี่มึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะกลับมาเป็นปกติและเอ่ยตอบทันที
“เอาล่ะ ในสงครามครั้งนี้ ภารกิจของสหายเต๋านั้นคือการป้องกันตัวเองก่อน แล้วจึงพยายามอย่างสุดความสามารถในการปกป้องเขตสำคัญ ด้วยความร่วมมือของสหายหานและศิษย์พี่เซี่ย เชื่อว่านอกจากจะบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารตัวมันเอง ก็ไม่มีน่าจะมีปัญหาแน่นอน ข้าได้ยินศิษย์พี่เอ๋าเซี่ยวกล่าวว่า ท่านสองคนเคยร่วมมือกันมาก่อน ครั้งหนึ่งท่านเคยคุมเชิงหยวนชามารตนนั้น โดยไม่พ่ายแพ้”
มั่วเจี่ยนลี่พยักหน้าก่อนแล้ว ทันใดนั้นก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม
“คำพูดของศิษย์พี่เอ๋าเซี่ยวนั้นเกินจริงไปเล็กน้อย ในตอนแรกชนรุ่นหลังและศิษย์พี่เซี่ยเองก็พยายามป้องกันตัวเองกันอยู่ ท้ายที่สุดก็ยังต้องพึ่งพลังของท่านอาวุโสเอ๋าเซี่ยว ถึงทำให้หยวนชาล่าถอยไป” หานลี่เอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตัวผิดปกติ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ท่านร่วมมือกับนักพรตเซี่ยแล้ว เกือบจะสามารถมองเย้ยหยันมหายานทั้งหมดได้อยู่แล้ว แต่การป้องกันเขตสำคัญในครั้งนี้ นอกจากท่านแล้ว เผ่าพฤกษาและเผ่ายักษาก็สามารถเรียกคนที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ไป ท้ายที่สุดสหายเอ๋าเซี่ยวและข้าแม้จะรู้สึกว่าการที่ท่านสามารถนำคนอื่นนอกเหนือจากสหายนักพรตเซี่ยไปกับท่านมันก็เหลือเฟือแล้ว แต่ทั้งสองเผ่ายังคงรู้จักพลังอิทธิฤทธิ์ของท่านดี ยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย ” อยู่มั่วเจี่ยนหลีก็เปลี่ยนน้ำเสียงอีกครั้งและเอ่ยขึ้น
“เผ่ายักษาและเผ่าพฤกษายังมีระดับสูงอยู่หรือไม่ นี่เป็นเรื่องปกติมาก! แต่ถ้าฉันสามคนอยู่ด้วยกันในสนามเดียวกันล่ะก็ ใครจะเป็นผู้นำ?” หานลี่หรี่ตาลง และถามกลับตัวเองโดยไม่รู้สึกแปลกใจ
“เฮ้ๆ ข้าเป็นนักบำเพ็ญเพียร ปกติแล้วหากใครที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ใครก็รู้ว่ามีความสามารถ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าคนที่เผ่าพฤกษาและผ่ายักษาส่งไปนั้นเป็นใคร แต่ถ้ามาลองคิดดูก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะครอบงำท่านด้วยพลังที่แท้จริง แต่เผ่าพฤกษาระดับสูงท่านนั้นค่อนข้างที่จะเข้าเรื่องเขตตัดขาดของแดนพฤกษาเป็นแน่ ถ้าหากมันเป็นปัญหาเกี่ยวข้องกับเขตต้องห้ามทั้งหมด ท่านควรถามเพิ่มเติมอีกนิดก็ไม่ผิดอะไร” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยขึ้นอย่างมีความหมาย
“ชนรุ่นหลังเข้าใจแล้ว แต่ชนรุ่นหลังไม่รู้ว่าจะสามารถเริ่มลงมือได้เมื่อไหร่” หลังจากที่สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็ถอนหายใจและเอ่ยถาม
“มีพฤกษาศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกต้นเป็นกองหนุนของเผ่าพฤกษา การกำหนดเขตตัดขาดทั้งหมดนั้นง่ายขึ้นกว่ามาก แต่ว่าก็ยังคงต้องใช้เวลา สำคัญที่สุดคือ จะต้องล่อกองทัพมารทั้งหมดเข้าไปในเขต ดังนั้นผู้อาวุโสกับมั่วเจี่ยนหลีและคนอื่นๆ จะกับออกไปกับกองทัพใหญ่ และจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อล่อกองทัพมารออกมา ในขณะที่สหายหานจะออกเดินทางไปเป็นทัพคลื่นลูกที่สองของวงเวทย์ที่กำหนดไว้ และในที่สุดก็จะนัดหมายสถานที่ที่กำหนดไว้เขตใหญ่แดนพฤกษาแห่งนี้ เพียงแค่เขตใหญ่เป็นรูปเป็นร่าง ท่านก็นำผู้คนมาสู่เขตสำคัญได้เลยทันที และเริ่มการป้องกันขึ้นมา” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยขึ้นอย่างช้า
หลังจากที่หานลี่คิดไปคิดมา ไม่มีความเห็นอื่นๆ ได้แต่พยักหน้ารับ
และหลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีมอบหน้าที่ให้กับหานลี่เสร็จเรียนร้อย ก็ไม่ได้อยู่ที่พักของหานลี่นานมากนัก ไม่นานก็รีบลุกขึ้นกล่าวคำอำลาและจากไป
หานลี่ส่งถึงด้านนอกประตู และยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ มองไปยังด้านหลังของมั่วเจี่ยนหลีที่เดินห่างไกลออกไป รอยยิ้มครุ่นคิดก็ปรากฏขึ้นมา
…
หลังจากนั้นครึ่งเดือน ทั้งเมืองฉิมพลีก็เกิดความผันผวนต่างๆ ขึ้น เสียงคำรามสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า และแสงระยิบระยับที่ออกมาจากทุกชั้นของเมืองก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ท่ามกลางแสงเรืองรอง ยานรบและเรือยักษ์ก็ทยอยลอยขึ้นไปในอากาศจากตัวเมืองทีละคัน
ศัสตราวุธบินขนาดใหญ่เหล่านี้ มีผู้พิทักษ์จากเผ่าต่างๆ แน่นหนา ไม่เพียงแต่เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจ และเผ่าพฤกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่ายักษา เผ่าวิญญาณ และเผ่าพันธุ์อื่นๆ รวมอยู่ด้วย
ทหารผู้พิทักษ์เหล่านี้ถึงแม้จะสวมชุดเกราะสงครามไม่เหมือนกัน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนยืนตัวตรงบนพื้นผิวของศัสตราวุธเวทย์ และวิญญาณชั่วร้ายที่น่าตลึงก็แพร่กระจายออกจากร่างกาย
เสียงดังครึกครื้นก้องกังวานในเมื่องฉิมพลีอย่างต่อเนื่อง ยานสงครามและเรือยักษ์ที่พุ่งออกมาจากเมืองก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ขนาดสาย หลังจากนั้นไม่นาน ก็แผ่กระจายไปทั่วครึ่งท้องฟ้า และภายใต้ความมืดมิด ก็มีปรากฏให้เห็นนับหมื่น
ขณะนี้ เสียงคำรามคึกครื้นในเมืองฉิมพลีก็พลันหยุดลงทันใด แล้วทั้งเมืองก็สั่นสะเทือนไม่กี่ครั้ง แล้วฝูงสัตว์ขนาดใหญ่มหึมาคล้ายหมู่เกาะกว่าร้อยตัวก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากมุมต่างๆ ของเมืองฉิมพลี มีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกตื่นตาตื่นใจ