ครึ่งเดือนต่อมา เหนือหมู่เมฆาขนาดใหญ่สีคราม หานลี่ยืนอยู่ในจุดที่สูงที่สุดบนหอนั้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เขากำลังจ้องมองลงไปที่เทือกเขาสีเขียวขจีด้านล่าง
เฟยเสี่ยวซีและเฉ่าจี๋ ยืนอยู่ด้านหลังของเขาเล็กน้อย และกำลังมองลงมาเช่นกัน
ท้องฟ้าด้านข้างมีรถเหาะ สำเภาสงครามบินลาดตระเวนอยู่นับร้อยลำ ก้อนเมฆขนาดใหญ่ที่เหลือได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เทือกเขาแถวนี้ไม่ได้สูงใหญ่นัก แต่เทือกเขาในรัศมีร้อยลี้นี้ จะสามารถเห็นยอดเขาเหล่านั้นกำลังเปล่งแสง มองเห็นเงาคนจำนวนมากวิ่งไปมาในป่าลึกลับ และแท่นศิลาก็พุ่งขึ้นมาจากพื้น
แท่นศิลาเหล่านี้มีความสูงแตกต่างกัน บนนั้นล้วนเขียนอักขระวิญญาณสีเงินจางๆ ด้านบนปักด้วยธงสีเขียวมรกตและมันก็เรืองแสงออกมาเบาๆ
แต่ถ้ามองดีๆ แล้วจะเห็นว่า แท่นศิลาเหล่านี้สร้างจากชีพจรวิญญาณของภูเขาแห่งนี้
ในใจกลางของหุบเขาหลายแห่งนั้นจะมีต้นไม้ขนาดยักษ์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า รูปร่างแทบจะสูงเท่ายอดเขาแล้ว
รอบๆ ต้นไม้ยักษ์นั้นจะมีค่ายกลสีเขียวอ่อนขนาดประมาณหนึ่งร้อยหมู่
คนเผ่าพฤกษาระดับก่อกำเนิดปราณมากกว่าร้อยคนกำลังนั่งอยู่ในเขตอาคม มือประสาน สองตาหลับสนิท เหมือนกำลังกระตุ้นอะไรสักอย่างอยู่
แท่นศิลาทั้งหมดประสานกันโดยมีหุบเขาเป็นศูนย์กลาง ทำให้จิตวิญญาณของฟ้าดินหลอมรวมกันกลายเป็นสะพานสายรุ้งห้าสียาวมากกว่าสิบจั้ง ต้นทางเริ่มจากในหุบเขาจรดท้องฟ้า เป็นภาพที่สวยงามอย่างมาก
ไม่เพียงแต่หุบเขานี้เท่านั้น เทือกเขาอีกหลายแห่งที่อยู่ในระแวกนี้ ที่มีต้นไม้แบบเดียวกัน ก็กำลังโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และรอบข้างก็กำลังสร้างค่ายกลแท่นศิลาอยู่เช่นกัน
หากมองจากที่สูงกว่านี้ก็จะพบว่าในระยะร้อยลี้นี้มีหุบเขาเล็กๆ ที่กำลังสร้างเขตอาคมแบบนี้ อยู่ถึงสามสิบหกเขต
แม้ว่าพวกเขายังสร้างเขตอาคมไม่เสร็จ แต่การจัดวางตำแหน่งก็ดูลึกลับอย่างมาก และนอกจากนี้พวกเขายังสร้างค่ายกลขั้นสูงซ้อนทับไว้อีกรอบ ทำให้คนที่จ้องมองรู้สึกเวียนหัว มึนงง เลือนราง
ตอนนี้รอบๆ เขตอาคมชั้นสูงนี้โดนกระตุ้นจากจิตวิญญาณของฟ้าดิน ระลอกคลื่นเริ่มปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า
ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยปราณดุร้าย
เหนือก้อนเมฆสีคราม อยู่ๆ หานลี่ก็พูดออกมาว่า:
“ถ้านับตามความเร็วในตอนนี้ คาดว่าอีกไม่กี่วันตาค่าย (จุดกำเนิดเขตอาคม) นี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์ ให้พื้นที่ตั้งแต่เกาะชิงกวงลงมา เตรียมป้องกันและรับมืออย่างเต็มที่”
“เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว แต่การจัดแต่งค่ายกลของแดนพฤกษาใช้เวลานาน อาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ได้ยินมาว่า ตาค่ายอีกสองเขต ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าของพวกเรา ข้ากลัวว่าจะไม่ทันการ แล้วยืดเวลาแผนการอื่นๆ ออกไป” เฟยเสี่ยวซีเหลือบมองไปทางหานลี่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เมื่อวานข้าเพิ่งได้รับข่าวมา กองทัพด่านหน้าเริ่มทำสงครามกับเผ่ามารแล้ว มันตรงตามแผนการที่พวกเราวางไว้ พวกเขากำลังล่อให้กองทัพมารเข้ามาที่แดนพฤกษา ต่อให้อย่างเร็วที่สุด ก็ยังต้องใช้เวลาสิบวันกว่ามาถึงที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้น กองทัพใหญ่ของพวกเราก็เตรียมพร้อมนานแล้ว ที่ข้ากังวลก็คือเขตอาคมแดนพฤกษาจะมีพลานุภาพอย่างในตำนานว่าไว้หรือไม่ สามารถสู้กับกองทัพมารได้แน่หรือ” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ทั้งสองท่านโปรดวางใจ ต่อให้ไม่ใช้กองหนุนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เขตอาคมตัดขาดก็มีพลานุภาพมากจนพวกท่านไม่อาจคาดเดาได้เลย ตอนนี้ต้นไม้ทั้งสามสิบหกต้นฝังอยู่ในแนวที่ถูกต้อง พลังและความบ้าคลั่งมีมากกว่าเดิมหลายเท่า ต่อให้มีระดับมหาเมธีเข้ามา เขาก็ไม่สามารถออกจากที่นี่ไปได้ง่ายๆ ถ้ามารระดับต่ำ พวกมันต้องตายอย่างแน่นอน” เฉ่าจี๋ยิ้มและพูดอย่างมั่นใจ
“พวกชนชั้นสูงยินยอมเสียสละให้พวกเราใช้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สามสิบหกต้น เมื่อมาคิดดูแล้วพวกมันก็ดูลึกลับมากจริงๆ สหายไม่พูดโกหก เขามั่นใจในเขตอาคมนี้มาก แต่เราก็ไม่สามารถดูเบาเผ่ามารได้ โดยเฉพาะเหล่าบรรพบุรุษของเผ่ามาร พวกเขาล้วนมีปราณมารเทียมฟ้า รับมือได้ยาก” หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่นึงแล้วกล่าวอย่างช้าๆ
“เหล่าบรรพบุรุษของเผ่ามารต้องเก่งกาจอยู่แล้ว แต่หากท่านอาวุโสของเผ่าข้าและเผ่าของพวกท่านออกหน้า พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร” เฟยเสี่ยวซีพูดอย่างเย็นชา
“ฮ่าๆ บางทีท่านอาวุโสซังสามารถเก็บศพของบรรพบุรุษเผ่ามารมาได้ แต่ร่างจำแลงพวกนั้นไม่สามารถเอามาทำอะไรได้เลย ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เมื่อถึงตอนนั้นเผ่ามารจะต้องส่งคนมาทำลายเขตอาคม พวกมันน่าจะส่งร่างจำแลงบรรพบุรุษมา” หานลี่พูดไปหัวเราะไป
“ร่างจำแลงบรรพบุรุษ?” เมื่อเฟยเสี่ยวซีกับเฉ่าจี๋ได้ยิน สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ทำไมหรือ สหายทั้งสองท่านเคยประมือกับร่างจำแลงบรรพบุรุษแล้วหรือ”
สีหน้าของทั้งคู่ไม่สามารถหลบซ่อนจากสายตาของหานลี่ได้
“ตอนที่เผ่ามารบุกเข้ามา ในปีนั้นข้ากับคนในเผ่าอีกคนที่มีฝีมือใกล้เคียงกัน ได้บังเอิญเจอร่างจำแลงบรรพบุรุษเข้า หลังจากสู้กัน ผลคือ ตายหนึ่งสาหัสหนึ่ง ตอนนั้นข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด” สีหน้าเกียจคร้านของชายฉกรรจ์เผ่าพฤกษาได้หายไปแล้ว เหลือเพียงแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“แม้ว่าข้าจะไม่เคยเจอร่างจำแลงบรรพบุรุษ แต่ญาติของข้าจำนวนไม่น้อยก็ตายด้วยน้ำมือของพวกมัน ถ้าข้าได้เจอพวกมัน ข้าจะต้องฆ่าพวกมันด้วยตัวเองแน่นอน” เฟยเสี่ยวซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แม่นางเฟย ฟังข้าก่อน หากเจ้าไปเจอพวกมันในตอนที่เจ้าอยู่คนเดียว เจ้าจะต้องหนีออกมาให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะตายโดยเปล่าประโยชน์” ชายเผ่าพฤกษากล่าวโน้มน้าวด้วยความขื่นขม
เฟยเสี่ยวซีส่งเสียงเหอะเบาๆ แม้ว่านางจะไม่ได้เถียงอะไร แต่เห็นว่านางไม่ทำตามแน่นอน
“สหายเฉ่า เจ้าไม่ต้องตระหนกไป ถ้าเขตอาคมแดนพฤกษานี้มีพลังอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ ก็เพียงยืมพลังของเขตคม พวกเราเองก็ไม่ใช่ว่าไม่มีกำลังที่จะไปสู้กับร่างจำแลงบรรพบุรุษ แต่ต้องในกรณีตัวต่อตัวเท่านั้น หากมันมามากกว่าหนึ่ง เราคงต้องหาทางอื่น” หานลี่กล่าวเสียงเรียบ
“หาทางอื่นหรือ หรือว่าสหายหานได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้หรือ” ดวงตาเฉ่าจี๋เปล่งประกาย เขาถามอย่างอดไม่ได้
เฟยเสี่ยวซีก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“ในเมื่อจะมีสถานการณ์ที่สองเกิดขึ้น ข้าจึงได้เตรียมไว้เล็กน้อย แต่หากเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง แผนนี้อาจจะไม่ได้ผล” หานลี่ลูบคางเบาๆ แล้วพูดตัดบทไป
“ที่แท้พี่หานก็มีแผนสำรองไว้แล้วนี่เอง หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจะได้สบายใจขึ้นหน่อย” ชายหนุ่มเผ่าพฤกษาถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าผ่อนคลายลงมาก
“ฟังจากน้ำเสียงของสหายหานแล้ว คิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจเรื่องร่างจำแลงดีเลยทีเดียว หรือว่าเจ้าก็เคยประมือกับพวกมันมาก่อน” เฟยเสี่ยวซีพูดโพล่งขึ้นมา
“ผู้น้อยแซ่หานเคยบังเอิญเจอพวกมันอยู่หลายครั้ง” หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่นึงแล้วตอบอย่างใจเย็น
“ไม่ทราบว่าสหายหานเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ ข้าเคยได้ยินมาว่าร่างจำแลงพวกนี้เก่งกว่าระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายมากนัก” แววตาของเฟยเสี่ยวซีเปล่งประกายขึ้น นางจี้ถามต่อ
“เคยฆ่าไปสองสามตน แต่ก็โดนร่างจำแลงตัวอื่นไล่ฆ่า จนต้องหนีไปกว่าหมื่นลี้” หานลี่พูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่ก็ทำให้สาวน้อยเผ่าเยี่ยชากับชายฉกรรจ์แดนพฤกษาอ้าปากค้างได้เลย
“พี่หานเจ้าเคยฆ่าร่างจำแลงบรรพบุรุษเผ่าปีศาจ…เอ่อ ข้าเข้าใจแล้ว สหายหาน เจ้าต้องเคยเป็นผู้นำกองทัพของเผ่าใช่หรือไม่ ด้วยพลังของกองทัพเจ้าจึงสามารถฆ่าร่างจำแลงได้” เฉ่าจี๋รีบพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ
ทางด้านเฟยเสี่ยวซีเมื่อได้ยินดังนั้น นางก็ตกใจเล็กน้อย
หานลี่อยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย หากใช้กำลังของกองทัพล้อมฆ่าร่างจำแลงหนึ่งตน จะมีความเป็นไปได้มากน้อยเท่าใด
“ฮ่าๆ มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ไม่ต้องสนใจหรอก ที่สำคัญก็คือ หากร่างจำแลงเดินทางมาพร้อมกัน สหายทั้งสองยืมพลังจากเขตอาคมจับกุมตัวมันไว้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น เป็นหน้าที่ของข้าเอง” หานลี่หัวเราะกลบเกลื่อน ไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่มแดนพฤกษาโดยตรง
“ในเมื่อสหายมั่นใจเช่นนี้ ข้าก็ขอฝากเจ้าจัดการด้วยก็แล้วกัน” ในใจของเฉ่าจี๋ยังคงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่น้ำเสียงของเขาก็แสดงความนับถืออยู่มาก และไม่ได้ขัดขวางความคิดของหานลี่
ท้ายที่สุดไม่ว่าหานลี่จะฆ่าร่างจำแลงด้วยตนเองหรืออาศัยกองทัพ แต่เขาก็ได้พูดออกมาแล้ว แปลว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน
“ขอเพียงสหายมีวิธีกำจัดร่างจำแลงบรรพบุรุษ น้องสาวผู้นี้ก็ยินดีจะเชื่อฟังคำสั่งของท่าน” ท่าทางของเฟยเสี่ยวซีเปลี่ยนไปทันที นางโค้งคำนับแล้วพูดกับหานลี่
“ได้ ในเมื่อสหายทั้งสองเชื่อในความสามารถของข้า ผู้น้อยแซ่หานจะสู้อย่างเต็มกำลัง” หานลี่หัวเราะเล็กน้อยแล้วกล่าวสัญญาอย่างไม่คิดมาก
ด้วยเหตุนี้ หานลี่จึงกลายเป็นผู้สั่งการประจำเขตอาคมหมายเลขสอง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน หานลี่และสหายทั้งสามก็เริ่มลงไปตรวจสอบการจัดวางตำแหน่งของตาค่าย
ห้าวันต่อมา เขตต้องห้ามใกล้ๆ กับเขตอาคมหมายเลขสองก็สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผู้คุ้มกันแดนพฤกษาทั้งหมดและนักเวทย์จำนวนมากก็ทยอยเดินทางกลับไปที่อาคารต่างๆ เหนือหมู่เมฆา
ผู้ดูแลหมู่เมฆาเหล่านี้ก็คือหานลี่ จากโครมครามดังลั่นจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่า จากนั้นก็มีฟ้าผ่าลงไปที่ด้านข้างของต้นไม้ยักษ์ในหุบเขา
ในขณะเดียวกัน ต้นไม้ยักษ์ก็เปล่งแสงขึ้น ตอนนั้นเองปราณฟ้าดินบริเวณใกล้เคียงก็เกิดความปั่นป่วน แสงสีเขียวอ่อนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏทั่วท้องฟ้า จากนั้นก็ค่อยๆ จมสู่ใจกลางของเทือกเขา
หลังจากมีเสียงดัง “ครืนๆ” อย่างต่อเนื่อง ธงที่ปักอยู่บนแท่นศิลาก็โบกสะบัดแรงขึ้น ทันใดนั้นเอง ม่านแสงสีอ่อนปรากฏขึ้น จากนั้นปราณสีเขียวก็พวยพุ่งออกจากเทือกเขา จนแทบมองไม่เห็นยอดเขาเลย
ตอนนั้นเอง เขตอาคมหมายเลขสองก็ได้เปิดการใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ภายใต้พรของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่แห่งนี้จะกลายเป็นเขตอาคมต้องห้าม เข้ามาได้แต่ออกไม่ได้
ครึ่งเดือนต่อมา เขตอาคมอื่นๆ บริเวณเทือกเขาใกล้เคียงก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน ในที่สุดเขตอาคมสามสิบหกต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็เสร็จสิ้น ภายในระยะล้านลี้นี้จะกลายเป็นดินแดนสังหาร