“ตู้มๆ” เสียงระเบิดดังขึ้นอีกสองครั้ง
มนุษย์ขนปล่อยหมัดทั้งสองของเขาไปที่ภูเขาปราณอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นมันก็แตกสลายกลายเป็นหมอกสีเลือดสองก้อน ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงขนาดนี้ เขาต้องกระโดดหลบถอยหลังออกไป
แต่ทว่าภูเขาปราณทั้งสองกลับไม่ได้หยุดนิ่ง หลังจากที่มันค่อยเลือนราง จากนั้นมันก็ไปปรากฏที่ข้างกายทั้งสองข้างของมนุษย์ขน ในขณะเดียวกันมันก็โจมตีลงมาอย่างไร้ความปราณี
ครืนเปรี้ยงๆ
ภูเขาปราณทั้งสองปะทะกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ส่องแสงสว่างแสบตา คลื่นอากาศพัดขึ้นลงอย่างรุนแรง
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง เขาได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของมนุษย์ขนผู้นั้น จากนั้นก็เงียบไปอย่างกะทันหัน
เมื่อคลื่นอากาศและม่านแสงจากภูเขาปราณทั้งสองค่อยๆ หายไป ก็มีเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้นมา อยู่ๆ ก็มีลูกบอลแสงสี่ลูกลอยออกมาจากหมอกสีเลือด จากนั้นมันก็บินออกไปในทิศทางที่ต่างกัน
นั่นมันคือจิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดของมารทั้งสี่
“ยังจะคิดหนีอีกหรือ”
หานลี่หัวเราะเสียงเย็น มือข้างหนึ่งของวานรยักษ์ ตบจิตวิญญาณเหล่านั้นจนมันลอยออกไปไกล
เสียงร้องดัง “ฮึมๆ” ดังออกมาจากศูนย์กลางของภูเขาปราณ
จิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดปราณทั้งสี่กะพริบเล็กน้อย จากนั้นก็ระเบิดไปอย่างไร้เสียง ละอองแสงลอยหายไปในท้องฟ้า
หานลี่หัวเราะเบาๆ นี่คือถึงเรียกว่าเป็นการฝึกฝน หานลี่ย่อขนาดของวานร จากนั้นกลับคืนสู่รูปร่างของมนุษย์
คนเผ่าพฤกษาที่เห็นเหตุการณ์ดังนั้น ต่างก็ตกตะลึงอ้าปากค้างกันเป็นแถว
เฟยเสี่ยวซีที่อยู่กลางอากาศ แม้ว่าการแสดงออกของนางจะไม่ชัดเท่าคนอื่น แต่สายตาของนางกลับจ้องที่หานลี่เขม็ง
นางต่อสู้มาอย่างยาวนาน จนเกือบจะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่แล้ว แต่เพียงครู่เดียวหานลี่ก็สามารถฆ่าศัตรูได้จนหมด นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฝีมือของพวกเราจะห่างชั้นกันขนาดนี้ นางนึกว่าฝันไปแล้ว
แต่ตอนนี้สตรีเผ่าเยี่ยชาสูดสมหายใจเข้าลึกๆ ในตอนที่นางคิดว่าจะพูดอะไรสักอย่าง กลับมีเสียงร้องต่ำๆ ออกมาจากแขนเสื้อของของหานลี่ แม้ว่ามันจะเป็นเสียงที่เบา แต่ว่าทุกคนก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
สีหน้าของหานลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อแขนเสื้อของเขาสั่นอีกครั้ง แสงสีเขียวกส่องประกายออกมา จากนั้นจานแปดเหลี่ยมก็ปรากฏอยู่ในมือของเขา
หลังจากที่เขาเอานิ้วไปแตะที่จานแปดเหลี่ยม ทันใดนั้นเสียงตื่นตระหนกของหนุ่มชาวพฤกษาก็ดังขึ้น “พี่หานแย่แล้ว มีมารปรากฏตัวอยู่บริเวณใกล้เคียงกับพวกเรา ข้าสงสัยว่ามันจะเป็นร่างจำแลงบรรพชน และพวกมันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ข้าได้กระตุ้นค่ายกลป้องกันและต้องห้ามแล้ว แต่ดูสถานการณ์แบบนี้คงจะถ่วงเวลามันได้ไม่นานแน่ ทางนั้นพวกท่านจัดการเสร็จรึยัง มาช่วยทางนี้หน่อยได้หรือไม่”
เฟยเสี่ยวซีและทหารเผ่าพฤกษาคนอื่นๆ ที่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่สีหน้าของหานลี่ยังราบเรียบเหมือนเดิม เขาตอบกลับเสียงเบาว่า
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกมันคือร่างจำแลงบรรพชนไม่ใช่จอมมารทั่วไป สหายทุกท่านโปรดวางใจ ข้าจัดการจอมมารฝั่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“เยี่ยมมาก เช่นนั้นพวกเจ้าก็สามารถมาเป็นกำลังเสริมทั้งหมดได้ ร่างจำแลงบรรพชนทั้งห้าน่าจะอยู่ระดับผสานอินทรีย์ นอกจากร่างจำแลงบรรพชนเหล่านี้แล้ว ข้าว่าเผ่ามารน่าจะมีจอมมารที่ระดับสูงอยู่จำนวนมาก เพราะดูเหมือนว่ามารกลุ่มนี้จะไม่ใช่กลุ่มเดียวกับที่โจมตีตาค่ายหมายเลขสามด้วย พวกมันน่าจะแบ่งเป็นสามกลุ่มแล้วกระจายมาตามตาค่ายทั้งสาม พี่หาน ท่านมีวิธีที่พอจะรั้งพวกมันไว้ได้หรือไม่” ชายฉกรรจ์เผ่าพฤกษาพูดอย่างร้อนใจ เขาถามอย่างมีหวัง
“อย่างไรหรือ สหายท่านนี้มีกลยุทธ์อื่นอยู่หรือ” หานลี่หรี่ตาแล้วถามอย่างช้าๆ
“ขอเพียงพี่หานสามารถถ่วงเวลาพวกมันได้สักครึ่งชั่วยาม ข้าก็สามารถย้อนพลังของตาค่ายกลับมาได้ เมื่อรอให้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ดูดซึมปราณฟ้าดินเสร็จ และใช้วิชาลับพร้อมกับใช้กองหนุนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จะสามารถกระตุ้นเขตอาคมต้องห้ามระดับสูงขึ้นมาได้ และสามารถคุมขังร่างจำแลงพวกนั้นได้แน่นอน” ชายฉกรรจ์เผ่าพฤกษาพูดอย่างไม่สนใจสิ่งอื่นแล้ว เขาพูดถึงแผนการเดิมที่ได้เตรียมเอาไว้
“ในเมื่อตาค่ายยังมีวิธีที่ลึกลับเช่นนั้นอยู่ ทำไมตาค่ายหมายเลขสามถึงโดนทำลายไปล่ะ” หานลี่ขมวดคิ้วเบาๆ เขาถามด้วยความสงสัย
“พวกร่างจำแลงบรรพบุรุษมาเร็วเกินไป สหายทั้งหลายที่เฝ้าตาค่ายหมายเลขสามไว้ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ จึงโดนฝ่ายตรงข้ามทำลายได้อย่างง่ายดาย” ชายหนุ่มเผ่าพฤกษาตอบอย่างขมขื่น
“อย่างนี้นี่เอง ครึ่งชั่วยามงั้นหรือ ไม่มีปัญหา ข้ากับพี่เซี่ยจะพยายามให้ดีที่สุด ส่งพวกเราสองคนไปยังพื้นที่ใกล้เคียงของร่างจำแลงบรรพบุรุษเถอะ” หานลี่หัวเราะเบาๆ เขาตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
“ได้ หากพี่หานสามารถถ่วงเวลาได้ ข้าเองก็จะเฝ้าตาค่ายอย่างวางใจ” น้ำเสียงของชายหนุ่มเผ่าพฤกษาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขามีความมั่นใจอย่างมาก
“แม่นางเฟย เจ้าคงได้ยินที่ข้าคุยกับสหายเฉ่าเมื่อครู่นี้แล้ว ร่างจำแลงบรรพบุรุษเหล่านั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของข้าและพี่เซี่ยเถอะ เจ้ากลับไปปกป้องตาค่ายหมายเลขหนึ่งและสองก็แล้วกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารเข้ามาลอบโจมตี ระหว่างทางกลับก็ระวังตัวกันด้วย” หลังจากหานลี่เก็บจานแปดเหลี่ยมแล้ว เขาก็หันมาสั่งการกับเฟยเสี่ยวซีและทหารเผ่าพฤกษา
“ในเมื่อพี่หานมีความมั่นใจเช่นนี้ น้องสาวก็จะไม่อยู่เกะกะพี่ ข้าจะกลับไปช่วยพี่เฉ่า” หลังจากสตรีเผ่าเยี่ยชาหายตกใจแล้ว นางก็เชื่อฟังคำสั่งของหานลี่อย่างดี นางตอบตกลงและถอนหายใจอย่างโล่งอก
ผู้หญิงคนนี้ก็เด็ดขาดมาก หานลี่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ นางก็ยกมือขึ้นข้างนึง จากนั้นก็ปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ แล้วกลายเป็นสายรุ้งหายไปจากบริเวณนั้น
คนเผ่าพฤกษาคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไร พวกเขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็ควบคุมสายรุ้งแล้วเดินทางออกไป
หานลี่มองตามแสงที่หายลับตาไป ใบหน้าเรียบนิ่ง ผ่านไปสักพัก มุมปากของเขาค่อยยกขึ้นน้อยๆ จากนั้นก็กลายเป็นรอยยิ้มเย็นๆ ผุดขึ้นมา
“ร่างจำแลงบรรพชนห้าตน คงต้องออกแรงหน่อย แต่ใช้เวลาไม่นานหรอก ร่างจำแลงตัวอื่นๆ คงจะตามมาด้วย พี่เซี่ย พวกเราไปกันเถอะ หากมากันเยอะๆ จะได้จัดการทีเดียว พวกร่างจำแลงก็เหิมเกริมกันมาก จะต้องโดนจัดการเสียแล้ว”
สิ้นเสียงของหานลี่ เขาก็โบกมือไปยังนักพรตเซี่ย
ร่างกายของนักพรตเลือนรางอีกครั้ง ก่อนจะไปโผล่ในบริเวณใกล้เคียง
วินาทีถัดมา รอบข้างก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นมา รัศมีลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทั้งสองคนกำลังลอยอยู่ในเขตอาคมหลากสี
หานลี่ยืนอยู่ตรงกลางของเขตอาคม เขาโบกมือไปมาเพื่อร่ายคาถา
หลังจากเขตอาคมแสงห้าสีค่อยๆ หยุดนิ่งอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นก็เกิดเสียง “ตู้ม” ดังลั่นขึ้น
ในตอนนั้นมีเสียงนกร้องแผ่วเบาดังมาจากเขตอาคม ร่างของทั้งสองโดนแสงบดบังจนหมด
…ระยะห่างจากเทือกเขาประมาณร้อยลี้ เผ่ามารระดับสูงห้าตนเพิ่งผสานพลังทำลายเขตต้องห้ามมาอย่างดุเดือด พวกเขากำลังมุ่งหน้ามาสู่เทือกเขา ด้านหน้าก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น ร่างของหานลี่และนักพรตปรากฏขึ้นมาอย่างไร้เสียง
มารทั้งห้าตกใจเล็กน้อย พวกมันยิ้มเย็นๆ แต่ยังไม่เข้าโจมตีทันที กลับใช้สายตากวาดมองหานลี่และนักพรตเซี่ยอย่างสนใจ
สีหน้าของหานลี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักนิด เขาก็มองพวกเผ่ามารกลับเช่นกัน
ชายสามหญิงสอง!
ชายคนแรกเป็นชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวดำ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แววตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ส่วนชายอีกสองคนเป็นชายฉกรรจ์สวมชุดเกราะดูกำยำ มีใบหน้าอัปลักษณ์ แต่ร่างกายกลับมีปราณทมิฬแผ่ออกมา ผู้หญิงคนแรกหน้าตางดงามราวบุปผา ตัวเล็ก มีเสน่ห์อย่างมาก แต่บอกไม่ถูกว่ามีเสน่ห์จากที่ใด ส่วนสตรีอีกคน รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเย็นชา ด้านหลังมีปีกนกสีดำคู่หนึ่ง…
“ผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ท่าทางฝีมือไม่ได้อ่อนแอ ใครจะจัดการพวกมัน” หลังจากที่สำรวจหานลี่ด้วยสายตาแล้ว ในที่สุดชายชราสวมชุดคลุมก็พูดขึ้น
“การไปทำลายตาค่ายเป็นเรื่องเร่งด่วน หากล่าช้าจะมีคนล้มตายเพิ่มขึ้น พวกมันมาสองคนก็ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ พวกท่านเดินทางต่อกันได้เลย” ชายหนุ่มร่างใหญ่บนศีรษะมีเขาคู่หนึ่ง สวมชุดเกราะสีทอง เขาแบมืออกมาจากความว่างเปล่า ทันใดนั้นปราณสีดำก็ปรากฏขึ้นรวมตัวกลายเป็นขวานยักษ์สีดำขนาดหลายสิบจั้ง เขาพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็ได้ เช่นนั้นพี่หนิวน่าจะจัดการชายสองคนนี้ได้สบาย พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ” ชายชราพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขากล่าวเสริมอย่างไม่ใส่ใจ สักพักร่างกายของพวกเขาก็เลือนราง กลายเป็นสายลมเบาๆ พัดหายไป
ชายหนุ่มอีกคนมีดวงตาสามดวง เขาไม่พูดอะไร หลังจากที่เขากระทืบเท้ากลายเป็นประจุสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นเขาก็หายไปกลางอากาศ
สตรีเผ่ามารมองหน้ากันยิ้มๆ ปราณมารลุกท่วมร่างกายและหายไปเช่นกัน
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มถือขวานหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาถือขวานเป็นแนวนอน จากนั้นเขาก็ฟันอากาศอย่างแรง
เมื่อเขาฟันขวานออกมา มีดบินสีดำยาวสิบจั้งเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมา มันบินมาทางหานลี่และนักพรตเซี่ยอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ไม่ว่าขวานจะฟันไปที่ใด อากาศก็เกิดรอยแยกสีขาวชัดเจน เสียงดังสนั่นจนทำให้ผู้คนตกใจ
“คิดจะหนีหรือ ฝันไปเถอะ จงอยู่ที่นี่ซะ”
แววตาของหานลี่เต็มไปด้วยความเย็นชา เขาคำรามเสียงต่ำ ทันใดนั้นเขาก็ยกสองมือขึ้นมาร่ายคาถา จากนั้นก็มียักษ์สามเศียรหกกร โผล่ออกมาจากด้านหลัง
นั่นคือแผ่นพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อดวงตาทั้งหกของยักษ์ตนนี้เปิดขึ้น แขนทั้งหกข้างเลือนรางเล็กน้อย จากนั้นกระบี่ยักษ์สีทองก็ปรากฏขึ้นในมือของพวกเขา จากนั้นก็ฟันไปที่ความว่างเปล่าพร้อมกัน
หลังจากเสียง “ฟิ้วๆ” ดังขึ้น รัศมีกระบี่สีทองก็บินออกไปด้วยความรุนแรง และหลังจากนั้นรัศมีเหล่านั้นก็หายไปในความว่างเปล่า
ตอนนั้นเองรัศมีขวานสีดำก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
นักพรตเซี่ยที่ยินอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้น ก็สืบเท้าเข้ามาเบาๆ ร่างทั้งร่างเลือนรางเล็กน้อย เขาเข้ามายืนบังให้หานลี่ พร้อมยกแขนขึ้นมาเบาๆ คลื่นอากาศสีดำก็ลอยออกไปปะทะ