อันหนึ่งเปล่งแสงสีฟ้าสดใส อันหนึ่งเปล่งแสงสีขาวนวล
เป็นไข่มุกกลมสีฟ้าเม็ดหนึ่งและกล่องหยกสีขาวใบหนึ่ง
ทั้งสองลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับเขยื้อน
หานลี่ยกมือขึ้น ดูดไข่มุกสีฟ้าเข้ามาอยู่ในมือ
ผิวของไข่มุกเม็ดนี้โปร่งใสและเรียบลื่นเป็นพิเศษ ราวกับว่าทำขึ้นจากกระจกอย่างไรอย่างนั้น แต่ไอวิญญาณวารีบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมา สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสมบัติวิญญาณธาตุวารีบริสุทธิ์ชิ้นหนึ่ง
ใช้สองนิ้วคีบเอาไว้ ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบลำแสงสีฟ้าซ้ำไปซ้ำมา ทันใดนั้นหานลี่ก็ตกอยู่ในภวังค์ความครุ่นคิด
ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ในหัวของเขาพลันมีลำแสงสว่างวาบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดใจ
“หรือว่านี้คือสิ่งที่กล่าวเอาไว้ในตำนานชิ้นนั้น?” หานลี่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา
ทันใดนั้นสองนิ้วก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ พลังวิญญาณบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งทะลักเข้าไปในไข่มุกทรงกลม
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ไอวิญญาณที่โคจรอยู่รอบผิวของไข่มุก พ่นวารีสีฟ้าใสออกมา จากนั้นพลันพลิ้วไหวกลายเป็นม่านน้ำผลึกวารีบางๆ ชั้นหนึ่ง ห่อหุ้มลงมาที่ร่างของหานลี่
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีอ้าปากออกพ่นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกไปโดยมิได้ปริปากพูดใดๆ
เปล่งแสงสว่างวาบ สับลงมาที่ม่านลำแสง
หลังจากที่เสียงราวกับเหล็กกระทบดังขึ้น ลำแสงสีเขียวก็ถูกดีดออกไปกลายเป็นกระบี่เล่มเล็กขนาดสองสามชุ่นเปล่งแสงสีเขียวเปล่งแสงระยิบระยับ
การฟันลงมาของกระบี่บินเล่มนี้เมื่อครู่ราวกับฟันลงบนเหล็กกล้า ไม่อาจทำลายม่านวารีได้เลยสักนิด
จากความแหลมคมของกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆานี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“กระจกวารีสวรรค์! นี่คือไข่มุกกระจกวารี!”
หานลี่พลันร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
แต่ครู่ต่อมาสีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าของเขาพลันหายไป เขาพลันขบคิดเล็กน้อยแล้วอ้าปากออกดูดกระบี่เล่มเล็กสีเขียวเข้าไปในท้อง แล้วใช้นิ้วชี้ชี้ไปม่านวารีกลางอากาศ
ลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ ดวงแสงเพลิงสีแดงสดขนาดเท่าไข่ไก่ลูกหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว และเคลื่อนไหวโจมตีไปที่ม่านวารี
อย่างไร้สุ้มเสียง!
หากสัมผัสเข้ากับม่านวารี ดวงแสงเพลิงก็จะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วมลายหายไปในทันที ไม่ได้เผยอานุภาพออกมาเลยสักนิด
หานลี่พลันเลิกคิ้ว สะบัดแขนเสื้อไปทางม่านวารี
เสียงไพเราะดังขึ้น วิหคเพลิงสีเงินขาวตัวหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ
นั่นก็คือวิหคเพลิงกลืนวิญญาณ
วิหคตัวนี้บินวนล้อมรอบร่างกายของหานลี่แล้วก็สยายปีกทั้งสองออกพุ่งไปทางม่านวารี
เสียง “เปรี๊ยะๆ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินและลำแสงสีฟ้าตัดสลับกันไปมา แล้วพากันสั่นไหวดีดตัวออก
ในยามนั้นเพลิงกลืนวิญญาณเองก็ไม่อาจทำอันใดม่านวารีได้
“ไม่ผิดแน่ เป็นกระจกวารีสวรรค์ไม่ผิดแน่!” หานลี่เอ่ยพึมพำ สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ดูดวิหคเพลิงสีเงินกลับมา แต่สายตาที่ก้มหน้าลงเหลือบมองไข่มุกทรงกลมในมือพลันร้อนแรงในชั่วครู่
แต่ครู่ต่อมา สายตาที่ร้อนแรงของเขาก็ค่อยๆ สลายหายไป
“น่าเสียดายจัง ข้าไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุน้ำ สมบัติชิ้นนี้คงเป็นได้เพียงสมบัติธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง มิเช่นนั้นล่ะก็ ขอแค่นำสมบัติชิ้นนี้ไปหลอมแล้วค่อยๆ ดูดซับอย่างช้าๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างของตนกลายเป็นร่างของกระจกวารีในตำนานแล้ว” หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง หน้าเปลี่ยนสีเป็นเสียดายอย่างยิ่ง
หากมีร่างกระจกวารีล่ะก็ ไม่ว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุน้ำชนิดใด ล้วนจะได้ผลเป็นสองเท่า และยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่ายังสามารถบรรลุโครงร่างของวารีบางชนิดหรือกฎของฟ้าดินได้ เพียงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ใจเต้น
ฝ่ามือของหานลี่พลิ้วไหว
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าบนผิวของไข่มุกพลันหม่นแสง ม่านวารีที่ห่อหุ้มลงมารอบด้านพลันกลายเป็นลำแสงวารีผินหนึ่งถูกดูดเข้ามา
เขาใช้มือหนึ่งถือไข่มุกเม็ดนั้นเอาไว้ แววตาเปล่งประกายขบคิดอันใดสักอย่างไร
ฉับพลันนั้นแววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงเจิดจ้า ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดออก มืออีกข้างหนึ่งพลันร่ายอาคม เงาสีขาวเลือนรางสายหนึ่งบินออกมาจากหว่างเอว หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นอสรพิษสีขาวนวลขนาดสองสามฉื่อตัวหนึ่ง ลอยอยู่เบื้องหน้าของเขา
นั่นก็คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้าที่ถูกหานลี่ตั้งชื่อให้ว่า ‘หวาหวา’
เป็นเพราะหุ่นเชิดตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์แค่ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น จึงไม่มีประโยชน์ต่อการต่อสู้ในเทือกเขามารสีทองมากนัก ดังนั้นหานลี่จึงไม่เคยเรียกนางออกมา
ถึงอย่างไรเสียเขาก็ให้ความสำคัญกับหุ่นเชิดตัวนี้ว่าเป็นจิตวิญญาณของเขาและอาจจะพัฒนาศักยภาพได้ จึงไม่อยากให้มันได้รับความเสียหายง่ายๆ
ยามนี้ปากของหานลี่กำลังบริกรรมคาถา มือหนึ่งชี้ไปที่หุ่นเชิดตัวนั้น
อสรพิษสีขาวเปล่งแสงวาววับ กลายเป็นหญิงงามท่าทางองอาจคนหนึ่ง
หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้ร่อนลงมาจากกลางอากาศ แววตาสดใสก็จ้องหานลี่เขม็ง ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แต่ไอเย็นเยียบสีขาวที่แผ่ออกมาจากร่างกายกลับดูเหมือนร่างของน้ำแข็งทมิฬอย่างไรอย่างนั้น
หานลี่สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบบนร่างของสตรีผู้นี้ ก็มองไปที่ไข่มุกทรงกลมสีฟ้าในมือ สีหน้าลังเลเล็กน้อย
“ธาตุน้ำแข็งเป็นธาตุที่แปลงมาจากธาตุน้ำ หากเอาไข่มุกกระจกวารีห้อยไว้กับหุ่นเชิดสะท้านฟ้าธาตุน้ำแข็ง ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์หรือไม่”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็เอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา ในที่สุดก็ตัดสินใจโยนไข่มุกกลมสีฟ้าในมือให้ ‘หวาหวา’
ไข่มุกกระจกวารีกลายเป็นลำแสงสีฟ้า บินไปหาสตรีผู้นั้น ยังไม่ทันถึง ไอวิญญาณหนาแน่นกลุ่มหนึ่งพลันห่อหุ้มหุ่นเชิดตัวนี้เอาไว้
จะว่าไปแล้วก็แปลกหลังจากที่หวาหวา สัมผัสกับไอวิญญาณวารีหนาแน่นนั้น ใบหน้าที่เดิมแข็งทื่อพลันเปลี่ยนไป ดวงตาเลื่อนออกจากร่างของหานลี่ จ้องเขม็งไปยังไข่มุกที่บินมาตรงหน้า
ฉับพลันนั้นนางพลันอ้าปาก พ่นหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ ม้วนเอาไข่มุกเม็ดนั้นไว้ข้างใน จากนั้นก็สูดเข้าไปในปากบาง
สีหน้าแปลกประหลาดของหวาหวา พลันมีหมอกสีฟ้าปรากฏขึ้น คิ้วดำแม้กระทั่งย่นขึ้นเล็กน้อย
แต่ครู่ต่อมาชั่วขณะนั้นใบหน้าของสตรีผู้นี้ก็ผ่อนคลายลง ลำแสงสีฟ้าบนใบหน้าสลายหายไป เปลี่ยนเป็นเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น
แน่นอนว่าหานลี่ย่อมมองไปที่ ‘หวาหวา’ โดยตลอด เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ลูบใต้คาง ไม่ได้เผยสีหน้าผิดหวังอันใดออกมา
ถึงอย่างไรเสียต่อให้มีประโยชน์จริงๆ ก็ไม่อาจมองออกได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่ แต่เขาก็ยังไม่ได้มีเจตนาจะเก็บหุ่นเชิดสะท้านฟ้าตนนี้ในทันที แต่ชี้ไปที่ประตูหิน ใช้น้ำเสียงออกคำสั่งเอ่ยว่า
“ข้าต้องกักตัวต่อ เจ้าอยู่ในถ้ำพำนักได้อย่างอิสระ และคอยดูสวนสมุนไพรให้ข้าด้วยแล้วกัน”
แม้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้จะมีสติปัญญาไม่สูงส่งนัก แต่คำสั่งง่ายๆ แน่นอนว่าย่อมเข้าใจได้
และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเพียงการปล่อยหุ่นเชิดสะท้านฟ้าออกมาเคลื่อนไหว ถึงจะมีโอกาสพัฒนาสติปัญญาของมันได้ จุดนี้ไม่แตกต่างกับการเลี้ยงอสูรวิญญาณนั้น
หวาหวา พยักหน้าอย่างเงียบๆ เงาสีขาวพลิ้วไหว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากประตูหินราวกับภูตผี
ด้านเขตอาคมนั้นดูเหมือนจะไม่อาจขวางกั้นได้เลยสักนิด
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หานลี่ที่คิดจะเปิดเขตอาคมพลันตกตะลึง อดที่จะรู้สึกรอคอยหุ่นเชิดสะท้านฟ้าตัวนั้นขึ้นมาไม่ได้
แต่จากนั้นเขาพลันเลื่อนสายตา ตกอยู่ที่กล่องหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ผิวของกล่องหยกใบนี้มียันต์วิเศษสองสามแผ่นแปะอยู่ กำลังเปล่งแสงรางๆ
หานลี่พลันขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยกมือขึ้นร่ายอาคมสายหนึ่งออกไป
ชั่วขณะนั้นอาคมพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป จมหายเข้าไปในกล่องหยก
ผิวของกล่องหยกมีลำแสงไหลวนโคจรอยู่ ยันต์วิเศษสองสามแผ่นที่แปะอยู่ด้านบนปลิวลงมาอย่างเงียบเชียบ
ฝากล่องเปิดขึ้นอัตโนมัติ
ลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากกล่องหยก หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็บินไปที่ขอบฟ้า
แต่หานลี่กลับเตรียมการเอาไว้นานแล้ว อีกมือหนึ่งมีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ตะปบออกไปกลางอากาศ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น
ลำแสงสีเงินถูกพลังมหาศาลไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มลงมา ถูกดูดเข้าไปกลายเป็นแผ่นป้ายหยกสีขาวนวลแผ่นหนึ่ง
ผิวของแผ่นป้ายหยกมีอักขระสีเงินจำนวนมากเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด นั่นก็คือตำราหยกพระราชวังทองคำอีกม้วนหนึ่งที่ได้มาจากเตียงโลหิตวานรมาร
ในนี้บันทึกวิธีการหลอมอาวุธชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาหลอมสวรรค์ทมิฬ’ เอาไว้ วิธีการที่บันทึกไว้ทั้งหมดล้วนน่าเหลือเชื่อ ดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าที่ระดับของหานลี่ในครานี้จะเรียนรู้ได้
แต่วันนั้นเขามีเวลาจำกัด จึงอ่านแค่ผ่านๆ ไม่ได้อ่านให้ละเอียดใดๆ ยามนี้แน่นอนว่าย่อมต้องเอาออกมาพิจารณาให้ละเอียด ดูว่าจะมีอะไรให้เรียนรู้ได้หรือไม่
หานลี่นำแผ่นป้ายหยกในมือแตะเข้ากับหน้าผาก แผ่จิตสัมผัสเข้าไปข้างใน แล้วค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนอีก
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป การเรียนรู้ของหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะใช้เวลายาวนานมากจนน่าประหลาดใจ
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ถึงได้ค่อยๆ เคลื่อนไหว และลืมตาทั้งสองขึ้น ด้านในมีแววตาตื่นตระหนกที่ยังหลงเหลืออยู่
“ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า คาดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการนำสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าห้าชิ้นมาหลอมให้กลายเป็นกายเนื้อ ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง! หากวิธีที่บันทึกอยู่ได้ผล ขอแค่มีกำลังทรัพย์และเวลาพอ บางทีก็อาจจะหลอมสมบัติสวรรค์ทมิฬโฮ่วเทียนสำหรับคนคนหนึ่งในแดนวิญญาณได้ แต่เรื่องเช่นนี้เกรงว่าอาศัยเพียงพลังของเผ่าธรรมดาๆ คงไม่อาจทำได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้การประกอบสมบัติ ‘ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า’ ก็เพียงพอจะถอนภูเขาพลิกมหาสมุทรแล้ว การหลอมสมบัติทั้งห้านั้นเป็นไปไม่ค่อยได้ แต่หากหลอมสักสองชิ้น และผสมกันละก็ อานุภาพก็น่าเหลือเชื่อแล้ว” หานลี่เอ่ยพึมพำอย่างมีแผนการ
ที่แท้คาดไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาการหลอมสวรรค์ทมิฬในตำราหยกส่วนสุดท้ายจะมีวิธีการหลอมสมบัติสวรรค์ทมิฬ วัตถุดิบที่จำเป็นสองสามชนิด ไม่ใช่สิ่งที่เคยหลอมมาแล้วอย่างธุลีดาราที่ไม่อาจปรากฏตัวในแดนวิญญาณได้ ก็เป็นสิ่งที่หานลี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
มีเพียงวัตถุดิบและวิธีการหลอมทั้งหมดของ ‘ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า’ ที่ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้ในแดนวิญญาณ
วิธีการหลอมของเขานั้นไม่ต้องพูดถึง จำต้องอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปถึงจะมีโอกาสหลอมขึ้นได้ ส่วนวัตถุดิบหลักในการหลอมสมบัติชิ้นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะต้องเป็นยอดเขาเที่ยงแท้ถึงจะได้
แน่นอนว่ายอดเขาเหล่านี้ไม่อาจเป็นภูเขาธรรมดาๆ ได้ จำต้องเป็นยอดเขาที่มีธาตุหายากและมีพลังพิเศษ
หนึ่งในบรรดายอดเขาเทวะดูดปราณที่มีชื่อเสียง
แน่นอนว่าภูเขาดูดปราณในมือของเขาไม่อาจเทียบกับในบันทึกของตำราหยกได้ จำต้องใส่วัตถุดิบล้ำค่าไปจำนวนมาก ประกอบกับผ่านการหลอมด้วยขั้นตอนพิเศษในระยะเวลานาน ถึงจะสำเร็จได้ อานุภาพก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็มีวัตถุดิบหลักหนึ่งในยอดเขาแล้ว นี่จึงหนึ่งในสาเหตุที่หานลี่ใจเต้น
ส่วนยอดเขาที่เหลือทั้งสี่ชนิด ก็จำต้องหนึ่งในบรรดายอดเขาปราณเหนือที่มีลำแสงปราณเหนือผสมอยู่จำนวนมาก
เขาใช้มือหนึ่งถือแผ่นป้ายหยกเอาไว้ ร่างทั้งร่างจมลงสู่ภวังค์แห่งความครุ่นคิด
ตามหลักการแล้วหานลี่มีสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นหนึ่งและสมบัติชำรุดสวรรค์ทมิฬชิ้นหนึ่ง จึงไม่ควรสนใจสมบัติสวรรค์ทมิฬโฮ่วเทียนมากนัก
แต่ในส่วนสุดท้ายที่กล่าวถึงประสิทธิภาพและประโยชน์ใช้สอยของ ‘ภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้า’ คาดไม่ถึงว่าเมื่อสำแดงออกมาจะมีอานุภาพที่น่าเหลือเชื่ออย่างการทำให้อานุภาพของอัสนีอ่อนแรงลง