“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องส่งคนไปแล้ว ส่งคนไปสองกลุ่มล้วนทำภารกิจไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าตาค่ายหมายเลขสองจะมีผู้แข็งแกร่งคอยอารักขาอยู่สินะ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเรา” มารสวมชุดเขียวคนหนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถทำลายตาค่ายและเขตอาคมนี้ได้ แต่พลังของตาค่ายส่วนใหญ่หายไป ซึ่งก็ทำให้เขตอาคมนี้อ่อนกำลังลงอย่างมาก น่าจะสามารถรักษาชีวิตของมารชั้นสูงไว้ได้ไม่น้อย ขอเพียงมีมารชั้นสูงอยู่ มารระดับล่างพวกนั้นก็ไม่ถือว่าสำคัญอะไร ด้วยฝีมือของพวกเรา ไม่มีมารระดับต่ำก็อยู่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายที่เราเดินทัพใหญ่ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนการกระทำของใต้เท้าทุนเทียน ขอเพียงแค่ใต้เท้าทุนเทียนลงมือสำเร็จ พวกเราเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่ายึดแดนวิญญาณได้อย่างเป็นทางการแล้ว” มารหนุ่มอีกตนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แต่ว่าฝีมือของคนที่อารักขาตาค่ายหมายเลขสอง ไม่อาจดูเบาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน ข้าจะใช้ที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลาง แล้ววางเขตอาคมเพลิงมารประกายแสงไว้โดยรอบ เช่นนี้ถือว่ามีการตั้งรับระดับสูง ต่อให้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีมา ก็ยังสามารถตั้งรับได้ ในเวลาแบบนี้ พวกเราจะต้องลดกำลังของเขตอาคมนี้ให้ได้มากที่สุด อย่าเพิ่งบุก ปกป้องตัวเองไว้ก่อน ถือคตินี้ ใต้เท้าทุนเทียนจะมีโอกาสชนะมากขึ้นแน่นอน” มารหนุ่มผิวสีดำคล้ำ พูดด้วยแววตาเปล่งประกาย
“ความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากตาค่ายนี้ถูกทำลาย เขตอาคมต้องห้ามก็อ่อนแอลงมาก รอข้าวางเขตอาคมเพื่อสู้กับมัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมาก ดี เช่นนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ก่อนที่ข้าจะเดินทางมาที่นี่ ข้านำอุปกรณ์ติดมาด้วยพอดีเลย” มารสวมชุดเขียวพูดตอบขึ้นมา
“ได้พี่จินเป็นผู้วางเขตอาคมเช่นนี้ จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน ส่วนคนอื่นๆ รีบออกไปรวบรวมพรรคพวกให้มาที่นี่” มารหนุ่มพูดอย่างดีใจ เขาสั่งคำสั่งสุดท้ายไป
มารคนอื่นๆ ที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้คัดค้าน
มารที่เหลืออยู่ก็รีบแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ตนเองทันที
อีกทั้งกองทัพมารที่ได้ยินคำสั่งของมารชุดเขียว ก็เดินทางไปที่เทือกเขาบริเวณใกล้เคียง
แต่ในตอนนั้นมีค่ายกลขนาดใหญ่อยู่ห่างจากพวกเขาร้อยลี้ได้เกิดขึ้นมาอย่างคลุมเครือ
และใช้เวลาเพียงไม่นาน มารระดับสูงกลุ่มหนึ่งบินมาจากทุกทิศทุกทางเดินทางมารวมตัวกัน ครู่เดียวก็มีจำนวนมากกว่าล้านตนแล้ว
ในตอนนั้นเองค่ายกลแดนพฤกษาก็สามารถรวบรวมพลังจนพอแล้ว ทั่วทั้งท้องฟ้ามีเสียงดังลั่น การโจมตีของค่ายกลก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เผ่ามารที่อยู่ที่อื่น ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของค่ายกลในครั้งนี้ แต่มีเพียงเผ่ามารที่อยู่ใน
ตาค่ายหมายเลขหนึ่งเท่านั้นที่บาดเจ็บน้อย เนื่องจากการวางเขตอาคมป้องกัน ทำให้พวกเผ่ามารมีความมั่นใจมากขึ้น
แน่นอนว่าในเมื่ออยู่ภายใต้เขตอาคมแดนพฤกษา พวกเขาก็ไม่กล้าจู่โจมอะไรมาก เป็นแค่การเสริมกำลังอย่างบ้าคลั่งของพวกเผ่ามารเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในระยะเวลาสองวัน กำลังของเขตอาคมแดนพฤกษาจะเพิ่มขึ้นทุกวัน เผ่ามารจะต้องโดนฆ่าตายจนหมดแน่นอน
อีกทั้งจำนวนมารในที่ต่างๆ ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว พลังของตาค่ายหมายเลขหนึ่งได้หลอมรวมกับพลังของเผ่ามารแล้ว
หลังจากโจมตีติดต่อกันหลายครั้ง แม้ว่ามารส่วนใหญ่ของที่นี่จะพึ่งพิงพลังของเขตอาคม แต่ระดับพลังของเจตอาคมก็ลดลงเรื่อยๆ
ครึ่งเดือนต่อมา เดิมทีกองทัพมารมีจำนวนล้านกว่าตน แต่ตอนนี้เหลือเพียงแปดหมื่นกว่าตนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามที่ต้องอาศัยอยู่ในเขตอาคมตลอดครึ่งเดือน แล้วยังสามารถรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นมารระดับสูง ระดับต่ำสุดคือระดับเทพแปลง
อีกทั้งมารที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นมารระดับสูง ถือว่าอยู่ในเขตอาคมแดนพฤกษามากกว่าอยู่ด้านนอกอีกด้วย
แท่นหินชั่วคราวกลางยอดเขาขนาดใหญ่ในเขตอาคมแดนพฤกษา ท่านหัวหน้าอาวุโสชั่วคราวยืนมองม่านแสงที่อยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าลำบากใจ
ภายในม่านแสงนั้นมีอักษรรูนหลากสีลอยวนไปมาอยู่จำนวนมากมาย สักพักม่านแสงก็หยุดนิ่งและหายวับไป
ด้านล่างของม่านแสงมีชายชราแปดคนนั่งอยู่ ทุกคนมีผมหงอกขาว ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาสองข้างปิดสนิท สิบนิ้วยังคงร่ายคาถาไม่หยุด
พวกเขาคือแปดจิตวิญญาณไม้ที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าพฤกษา ทันใดนั้นม่านแสงก็ส่งเสียงร้องและระเบิดขึ้น ประกายแสงแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสียงผู้เฒ่าทั้งแปดร้องคร่ำครวญ ในขณะเดียวกันก็กระอักเลือดออกมาจำนวนหนึ่ง เลือดสีดำไหลออกมาจากปากของท่านผู้เฒ่าทั้งเจ็ด แต่จิตวิญญาณผู้เฒ่าอีกคนที่เหลือสลายหายไปทันที
หลังจากแปดจิตวิญญาณไม้โดนการสะท้อนกลับของกฎสวรรค์ ต้นกำเนิดปราณของเขาก็หายไปและสิ้นชีพลงทันที
เดิมทีที่พวกเขากำลังรอผลลัพธ์จากหัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวอยู่ จู่ๆ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าทันที
ทันใดนั้นผู้คุมกันสิบกว่าคนของเผ่าพฤกษาก็รีบวิ่งขึ้นไปทันที เขาอุ้มศพของจิตวิญญาณไม้ทั้งแปดคนลงมาอย่างระมัดระวัง
ในขณะเดียวกัน ชาวเผ่าพฤกษาอายุราวห้าสิบถึงหกสิบปี อีกแปดคนก็ขึ้นไปแทนที่จุดเดิมของท่านผู้เฒ่าทั้งแปด
“ท่านอาวุโสทั้งแปดคนทำเพื่ออนาคตของพวกเราจนพวกท่านได้ไปเป็นเซียนแล้ว แต่ส่วนที่เหลือต้องเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะทำให้ดีที่สุด” หัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวประสานมือคำนับชายเผ่าไม้ทั้งแปดที่เข้ามาใหม่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ
“ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสโปรดวางใจ แม้ว่าข้าจะเป็นรุ่นน้องในการหยั่งรู้ของแปดจิตวิญญาณไม้ แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุด” หนึ่งในแปดคนของเผ่าพฤกษากล่าวขึ้น
หัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวพยักหน้าและส่งสัญญาณมือเป็นการบอกว่าให้เริ่มได้
ดังนั้นชายเผ่าพฤกษาที่มาใหม่ทั้งแปดคนก็เริ่มร่ายคาถาทันที
ค่ายกลสว่างวาบขึ้น ม่านแสงที่หายไป ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มหยั่งรู้ใหม่อีกครั้ง
ม่านแสงปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง มีผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาคนหนึ่งวิ่งขึ้นมานแท่นหินด้วยความตื่นตระหนก พร้อมยื่นหยกสื่อสารให้หัวหน้าผู้อาวุโส
“หัวหน้าผู้อาวุโส มีข่าวด่วนจากเมืองมู่เหมียนขอรับ เผ่ามารระดับสูงแทรกซึมไปที่ในเมืองมู่เหมียน และกำลังบุกไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์แล้วขอรับ”
“อะไรนะ มีเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร สามบรรพบุรุษของเผ่ามารยังถูกพวกเราจับกุมตัวอยู่เลยไม่ใช่หรือ มารตนอื่นไม่น่าจะทำเช่นนี้ได้ ผู้คุมกันเมืองมู่เหมียนกำลังทำบ้าอะไรอยู่” เดิมทีหัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวก็รู้สึกหนักอึ้งกับการจากไปของแปดจิตวิญญาณไม้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินรายงานนี้เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
มือข้างหนึ่งของเขาเกิดประจุสายฟ้าสว่างขึ้นแปร๊บๆ เขาแย่งหยกสื่อสารมาแนบไว้ที่หน้าผากด้วยสีหน้าเคร่งครึ้ม
ข่าวแบบนี้ ทำให้ผู้อาวุโสที่อยู่รอบข้างตกใจ จ้องมองหัวหน้าอาวุโสชั่วคราวตาไม่กะพริบ
แต่ในวินาทีถัดมา สีหน้าที่ดุร้ายของหัวหน้าผู้อาวุโสก็หายไป เหลือเพียงใบหน้าซีดเผือดเท่านั้น ราวกับว่าจิตวิญญาณทั้งหมดกำลังจะสูญสลายไปแล้ว
“ให้ข้าดูหน่อย” ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินขึ้นไปด้านหน้า แล้วหยิบหยกสื่อสารจากมือของหัวหน้าผู้อาวุโสมาอย่างไร้มารยาท จากนั้นเขาก็ใช้จิตสัมผัสสำรวจมัน
แต่เพียงครู่เดียว สีหน้าของผู้อาวุโสท่านนั้นก็ไร้เลือดฝาดริมฝีปากสั่นเล็กน้อยเขาบ่นพึมพำเหมือนกับกำลังละเมออยู่
“เป็นไปไม่ได้ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โดนทำลายหมดแล้วหรือ ผู้อาวุโสกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จากไปพร้อมกัน…แย่แล้ว คราวนี้เผ่าพฤกษาถึงคราวล่มสลายแน่”
เมื่อผู้อาวุโสท่านอื่นได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยว ไม่มีใครพูดอะไรอีก จากนั้นพวกเขาก็ใช้แผ่นหยกเพื่อสืบหาข่าวคราวด้านอื่นๆ แม้ว่าในใจของพวกเขาก็เคยคิดเรื่องพวกนี้เอาไว้อยู่แล้ว แต่สีหน้าของผู้อาวุโสเหล่านี้ก็ดูไม่ได้เลย มีอาวุโสสองท่านที่หลังจากรับรู้ข่าวก็แทบจะเป็นลมล้มลงไป
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะตื่นตระหนกไปก็ใช่เรื่อง รีบคิดหาวิธีจัดการมันดีกว่า แม้ว่าพวกเราจะเป็นเอกราชในแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่พวกเราต้องหาทางช่วยให้คนนับหมื่นล้านคนในเผ่าของเราปลอดภัย” หัวหน้าผู้อาวุโสชั่วคราวเอ่ยขึ้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วกัดฟันพูดอย่างโหดเหี้ยม
แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูไม่ได้แต่สุดท้ายก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
“ถูกต้อง พวกเรายังเหลือกองหนุนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ ขอเพียงแค่ปกป้องมันเอาไว้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหาเมธีจะต้องปรากฏตัวมาอีกแน่นอน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เผ่าพฤกษายืนหยัดอยู่ได้” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ หันมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็เขารู้สึกเห็นด้วยขึ้นมา
“สิ่งที่จะต้องทำตอนนี้ก็คือ ปิดข่าวนี้ไว้ก่อน จากนั้นค่อยวางแผนล่าถอย…” ผู้คนบนแท่นหินก็เริ่มปรึกษากันด้วยสีหน้าจริงจัง
สามวันต่อมา!
เหนือผืนป่า กลุ่มของคนกลุ่มหนึ่งบินอยู่กลางอากาศ หนึ่งในนั้นมีหานลี่และพรรคพวกอยู่ด้วย สีหน้าของพวกเขาค่อนข้างมืดครึ้ม ที่นี่อยู่ห่างจากเขตอาคมแดนพฤกษาหลายพันลี้ เมื่อครึ่งวันก่อน เขาและสตรีเผ่าเยี่ยซาเพิ่งทราบข่าวว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองมู่เหมียนถูกทำลาย พร้อมกับการเสียชีวิตของแปดจิตวิญญาณไม้
ในตอนนี้ทหารเผ่าแดนพฤกษาที่อยู่ในเขตอาคมได้อพยพไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน ผู้อาวุโสเผ่าพฤกษาก็ได้ตัดสินว่า จะกระตุ้นพลังทั้งหมดของตาค่ายหมายเลขสอง ให้เขตอาคมแดนพฤกษาระเบิดตัวเอง ทำลายทหารเผ่ามารได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นยังดีที่ผู้อาวุโสแจ้งให้ทราบก่อน ไม่เช่นนั้น ตอนที่เขตอาคมระเบิดตัวเองพวกเราก็คงจะตายพร้อมกันไปด้วย
แม้ว่าจะไม่มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสอยู่แล้ว แต่สงครามครั้งนี้ยังต้องดำเนินต่อไป หลังจากหานลี่เดินทางออกจากตาค่ายหมายเลขสอง พวกเขาก็ช่วยพาผู้คุ้มกันของกองทัพใหญ่อพยพมาที่เมืองมู่เหมียน และกองพันพันธมิตรที่อยู่ทุกพื้นที่ เมื่อได้รับข่าวนี้ก็ต้องถอนกำลังทันที