“ดูเหมือนสถานการณ์ของท่านอาวุโสหานจะไม่ค่อยดีนัก เขาอยู่ในนั้นไม่เคลื่อนไหวมานานแล้ว คงไม่เป็นอันใดสินะ” จูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่บนยอดเขาที่ไกลออกไป เลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งผากเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างกังวลใจ
“วางใจเถิด จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งและสติสัมปชัญญะของพี่หาน จะต้องผ่านเคราะห์จิตมารได้อย่างไม่มีปัญหาแน่ แต่แค่ยามที่เขาข้ามผ่านนั้นกลับเรียกมารเหนือฟ้าจำนวนมากออกมา นั่นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ทว่าพวกเราก็ไม่อาจสอดมือกับเรื่องนี้ได้ แต่คิดดูแล้ววิธีรับมือที่เขาเตรียมเอาไว้ใช้กับมารเหนือฟ้าคงไม่ได้มีแค่นี้ จะต้องมีวิธีอื่นที่ยังไม่ได้สำแดงออกมาแน่ เจ้าไม่กังวลมากนัก” อิ๋นเย่ว์กัดริมฝีปาก แววตาเปล่งประกาย ปากกลับเอ่ยคำพูดปลอบใจออกมา
แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะรู้ว่า ‘ท่านอาวุโสหลิงหลง’ ที่อยู่ด้านข้างจะเป็นห่วงหานลี่เป็นอย่างมาก แต่ได้ยินคำตอบนี้ก็ยังรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่พลันนึกอันใดได้ จึงหันหน้าไปมองยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ผลคือปากก็อดที่จะร้องอุทานออกมาว่า “เอ้” ไม่ได้
“เกิดเรื่องอันใด เหตุใดท่านอาวุโสเซี่ยถึงไม่อยู่”
อิ๋นเย่ว์ได้ยินคำนี้กลับอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ แค่เอ่ยอย่างราบเรียบโดยไม่หันศีรษะกลับมา
“เมื่อครู่มีผู้ที่แข็งแกร่งสองคนเข้ามาประชิดที่นี่ แม้แต่ข้าก็ยังไม่มั่นใจว่าจะไล่พวกเขาได้ ดังนั้นสหายนักพรตเซี่ยถึงได้เป็นฝ่ายเข้าไปขัดขวาง ส่วนข้าก็ต้องจัดการกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกกลุ่มทันที จากนี้เกรงว่าคงมีคนมากกว่านี้มาที่นี่ ข้าและสหายเซี่ยอาจจะไม่อาจกลับมาได้ ที่นี่ต้องมอบให้เจ้าจัดการชั่วคราวแล้ว แต่หากที่บ่อมีอันใดเกิดขึ้นล่ะก็ จะต้องรายงายพวกเราทันที” สิ้นเสียงอิ๋นเย่ว์ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีจานอาคมปรากฏขึ้น ผิวเปล่งแสงสว่างวาบอักขระสีเงินปรากฏขึ้นเป็นสายๆ
เป็นสวี่เชียนอวี่และพวก ที่กำลังส่งขาวเตือนอิ๋นเย่ว์
“ท่านอาวุโสวางใจ ชนรุ่นหลังจะพยายามเต็มที่” จูกั่วเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“เยี่ยมมาก เช่นนั้นข้าไปล่ะ” อิ๋นเย่ว์พยักหน้า ทันใดนั้นก็เปล่งแสงสีเงินออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเงินจากไป
กลางอากาศห่างออกไปสองสามหมื่นลี้ นักพรตเซี่ยยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่กลางอากาศ มองสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ
สองคนนี้คนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีทอง เป็นชายร่างใหญ่ไว้เคราศีรษะมีมวยผมและะเขาคู่แปลกประหลาดงอกออกมา ใบหน้ากว่าครึ่งถูกเคราสีดำปกปิดเอาไว้ แต่ดวงตาสีเหลืองเข้มที่ซ่อนอยู่ในนั้น ก็ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกวิงเวียน
อีกคนหนึ่งกลับเป็นฮูหยินดวงตาดำขลับ จมูกเชิดรั้นริมฝีปากบางเฉียบ สวมกระโปรงสีดำ เรือนร่างแผ่รัศมีสีดำจางๆ ออกมา กลิ่นอายปีศาจที่แผ่ออกมาจากร่างของทั้งสองคน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเผ่ามารระดับผสานอินทรีย์
โดยเฉพาะฮูหยินสวมชุดกระโปรงสีดำผู้นั้น คาดไม่ถึงว่าจะสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย
แต่เผ่าปีศาจระดับสุดยอดสองคนนี้ที่ยืนอยู่ตรงข้ามนักพรตเซี่ย ในยามนี้กลับถูกกลิ่นอายที่หน้ากลัวกดเอาไว้จนชุดสะบัดไปมาไม่หยุด ขณะที่กำลังหน้าซีดขาว แววตาก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
ฉับพลันนั้นตรงข้ามก็มีนักพรตเซี่ยปรากฏขึ้น แรงกดที่แผ่ออกมาจากทั้งสองคนมากเกินไปจริงๆ ราวกับว่าน่ากลัวว่าบรรพชนเอ๋าเสี้ยวที่ทั้งสองเคยพบก่อนหน้าสองส่วน
สำหรับพวกเขาแล้วชายหนุ่มผู้ที่สวมชุดนักพรตผู้นี้คือตัวประหลาดเฒ่าระดับมหายานที่ระดับเหนือกว่าทั้งสองคนอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้แน่นอน
“ชนรุ่นหลังได้พบกับท่านอาวุโสเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าลวงเกิดอันใด หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา” หญิงสาวสวมชุดสีดำหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง ในที่สุดก็เอ่ยถามพร้อมกับคารวะอย่างนอบน้อม
แม้ว่านางจะตกตะลึงกับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่างนักพรตเซี่ยมาปรากฏตรงหน้าตนและขวางทางเอาไว้ แต่กลิ่นอายที่ไม่มีไอมารอาบย้อมอยู่บนร่างของอีกฝ่ายก็ทำให้นางรู้สึกวางใจขึ้นเล็กน้อย
มิเช่นนั้นหากมองออกว่าอีกฝ่ายคือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารคนหนึ่ง ทั้งสองก็หันหลังหนีเตลิดเปิดเปิงโดยไม่พูดไม่จาแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งหนีได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น!
“พวกเจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้า แต่ต้องหยุดอยู่ที่นี่ หากกล้าฝ่าเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว ข้าจะสังหารพวกเจ้าสองคนทันที” เรือนร่างนักพรตเซี่ยแผ่พลังแรงกดที่น่ากลัวออกมาโดยไม่กักเอาไว้เลยสักนิด แค่เอ่ยอย่างแข็งๆ ออกมา
“อยู่ที่นี่หรือว่าปรากฏการณ์ก่อนหน้านี้เกี่ยวข้องกับท่านอาวุโส” ชายร่างใหญ่ไว้เคราที่อยู่ด้านข้างพลันตกตะลึง อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้!” นักพรตเซี่ยเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ในเมื่อท่านอาวุโสรับสั่ง ชนรุ่นหลังย่อมไม่กล้าเพิกเฉย ท่านอาวุโสวางใจ ก่อนที่ปรากฏการณ์ด้านนั้นจะสิ้นสุดลง เราสองคนไม่มีทางเข้าไปยุ่งแน่นอน” ฮูหยินสวมชุดสีดำความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ปากกลับตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
นักพรตเซี่ยได้ยินฮูหยินตอบกลับเช่นนี้ ก็กลอกตาไปมาเล็กน้อยแล้วตกอยู่บนเรือนร่างของชายร่างใหญ่ไว้เครา
“ในเมื่อเป็นเจตนาของท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังย่อมไม่กล้าขัดขืน” ชายร่างใหญ่ไว้เคราหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้งแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น
นักพรตเซี่ยพยักหน้าถึงได้เก็บกลิ่นอายที่น่ากลัวบนเรือนร่างไป แต่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้มีเจตนาจากไป
ส่วนฮูหยินชุดดำและชายร่างใหญ่ไว้เคราก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ปล่อยกรงล้อสีดำและน้ำเต้าสีเหลืองออกมา
ร่างกายของทั้งสองพลิ้วไหว ต่างปล่อยสมบัติอาคมออกมาและนั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น
แต่ลับๆ แล้วเผ่าปีศาจทั้งสองกลับใช้เคล็ดวิชาลับที่หาได้ยากแอบปรึกษากัน
“สหายหงส์ดำ ตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้มีที่มาอันใดกันแน่! ทั้งไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ และไม่เหมือนกับเผ่าปีศาจของพวกเรา จากพลังยุทธ์ที่น่ากลัวของเขา หากเป็นเผ่าประหลาด จะมาปรากฏตัวที่เขตแดนของเผ่ามนุษย์และปีศาจได้อย่างไร หรือว่าก็มาเพื่อสิ่งนี้? สองเผ่าของพวกเราให้ระดับมหายานจากนอกเผ่าเข้าออกได้ตามอำเภอใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ความคิดของชายร่างใหญ่ไว้เครากลายเป็นเสียงดังก้องขึ้นในหัวของฮูหยินสวมชุดกระโปรงสีดำ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
“สหายสวรรค์ เรื่องนี้พูดยาก การรุกรานของเผ่ามารก่อนหน้านี้ก็ได้ทำลายเขตอาคมระดับสุดยอดของสองเผ่าอย่างพวกเราไปไม่น้อยแล้ว หากเป็นชนต่างเผ่าระดับมหายานจริงๆ แอบเข้ามาในเผ่าก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกนัก
แต่ตามหลักการแล้วจากฐานะระดับมหายานของคนผู้นี้ สิ่งนั้นน่าจะไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก น่าจะไม่ได้มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ คงแค่บังเอิญมาทำธุระแล้วถูกพวกเราพบเข้าเท่านั้น! โชคดีตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้ไม่ได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมทันทีที่พบหน้าพวกเรา ดูท่าทางแล้วคงไม่ได้จะฆ่าปิดปาก” ฮูหยินสวมชุดกระโปรงสีดำสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็สำแดงเคล็ดวิชาลับออกมาเช่นกัน และถ่ายทอดเสียงไปในหัวของชายร่างใหญ่ไว้เครา
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีคาดไม่ถึงว่าจะเป็นราชาหงส์ดำเสียวก่วนและราชาหนูสวรรค์ที่ลึกลับที่สุดหนึ่งในเจ็ดราชาปีศาจของเผ่าปีศาจ
ปีนั้นหานลี่เคยพบราชาหงส์ดำครั้งหนึ่งที่งานหมื่นสมบัติบนภูเขาเก้าเซียน แต่ราชาหนูสวรรค์กลับแค่ได้ยินชื่อ ไม่เคยพบหน้า
ยามนี้ทั้งสองมาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ไม่มีอันใด ทำมาเพราะมีเป้าหมายที่สำคัญอื่น
ทว่าราชาปีศาจทั้งสองคิดไม่ถึงเลยว่า พอเข้าใกล้ชีพจรภูเขานี้ก็ถูกสิ่งมีชีวิตระดับมหายานคนหนึ่งมาขวางเอาไว้
แม้ว่าทั้งสองจะกลัดกลุ้มแต่ต่อหน้าตัวประหลาดเฒ่าระดับมหายานย่อมไม่กล้าลงมือบุกเข้าไปเลยสักนิด ทำได้เพียงหวังให้อีกฝ่ายทำธุระของตนเองเสร็จแล้วปล่อยตนเองไปง่ายๆ
ส่วนปรากฏการณ์ที่อยู่ไกลออกไปแม้ว่าราชปีศาจทั้งสองจะมาเพราะสิ่งนี้ แต่ก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับตัวประหลาดเฒ่าระดับมหายานตรงหน้า แน่นอนว่าจึงไม่กล้ารบกวนอันใด
“เรื่องนั้นก็พูดยาก แม้ว่าสิ่งนั้นอาจจะไม่มีประโยชน์กับตัวประหลาดเฒ่า แต่ก็อาจจะเอามาให้ชนรุ่นหลังที่มีพลังยุทธ์ไม่ต่างอันใดกับพวกเรา หากเราสองคนพลาดสิ่งนี้ไป แต่ก็นับว่าทิ้งโอกาสที่จะบรรลุระดับมหายานแล้ว”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ทำได้เพียงถือว่าพวกเราโชคไม่ดี หรือว่าพี่ถงเทียนกล้าแย่งชิงกับตัวประหลาดเฒ่าระดับมหายานผู้นี้?” ฮูหยินชุดดำครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงได้ตอบกลับอย่างจนปัญญาออกมา
“หากตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้เป็นของจริง ข้าย่อมไม่กล้าแย่งชิง ส่วนความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ คิดดูแล้วรอให้ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าจบลง พวกเราก็รู้แล้ว” ชายร่างใหญ่ไว้เคราดวงตาฉายแววสีเหลืองออกมา แล้วตอบกลับในหัวของฮูหยินด้วยสีหน้าราบเรียบ
ฮูหยินชุดดำมุมปากกระตุกเล็กน้อย หลับตาลงไม่ถ่ายทอดเสียงกลับไปอีก
หลังจากนั้นไม่นานชายร่างใหญ่ไว้เคราเองก็หลับตาทำสมาธิเช่นกัน
นักพรตเซี่ยกลับดูเหมือนไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังสนทนากัน แค่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
บนยอดเขาอีกด้านอิ๋นเย่ว์สำแดงเทวรูปหมาป่าสีเงินยักษ์ที่สมจริงเอาไว้ และกระตุ้นจนปะทะกับเทวรูปที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นใหม่ในฝูงเผ่ามาร
ทุกแห่งที่เงาหมาป่ายักษ์กวาดผ่านไป ลำแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพลันเปล่งแสงสว่างวาบ พายุโลหิตกลิ่นคาวคละคลุ้งโชยมา ทำให้แขนขาที่ไม่สมบูรณ์ของเผ่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนบินวนไปมา
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น
เงาหมาป่ายักษ์ถูกมารโบราณสองหัวสี่แขนใช้โล่ยักษ์สีดำสนิทต้านทานเอาไว้
มารโบราณสูงสามสี่จั้งหน้าตาอัปลักษณ์ แขนทั้งสี่แยกออกถืออาวุธมารหนักสี่ชิ้นอย่างโล่ เหล็กท่อน ค้อน และไม้เท้า
ยามนี้เห็นโล่ยักษ์ต้านทานการโจมตีเงาหมาป่าราวกับพายุ ทันใดนั้นใบหน้าโหดเหี้ยมพลันฉายแวบผ่าน แขนอีกสามข้างพลันลางเรือน ชั่วขณะนั้นพายุสามลูกที่มาพร้อมกับอาวุธมารหนักอึ้งสามชิ้นก็โจมตีไปที่เงาหมาป่าสีเงินอย่างแรง
หลังจากเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น เงาหมาป่าก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป
ในเวลาเดียวกันอิ๋นเย่ว์ที่ยืนอยู่ไกลออกไป จิตใจที่เชื่อมโยงกันกลับหน้าซีดขาว อ้าปากออกพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา ชั่วครู่ก็อาบย้อมอกเสื้อสีเงินจนเป็นสีแดงฉาน
แม้ว่าอิ๋นเย่ว์เองก็พัฒนาจนมาอยู่ระดับผสานอินทรีย์แล้ว แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่นับว่านานแล้ว เทียบกับมารโบรารระดับเดียวกันที่ผ่านการสู้รบมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง เห็นได้ชัดว่าพละกำลังย่อมสู้ไม่ได้
มารโบราณระดับสูงผู้นั้นเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมออกมา ร่างกายบิดเบี้ยว ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นไอสีดำสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
ต่อมาเหนือศีรษะของอิ๋นเย่ว์ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น มารโบราณปรากฏตัวขึ้นขยับแขน อาวุธมารหนักอึ้งสี่ชิ้นทับลงมาพร้อมกันอย่างแรง
อิ๋นเย่ว์เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็คิดจะเบี่ยงกายหลบหลีก แต่กลับสายไปเสียแล้ว ชั่วครู่ก็หน้าถอดสีด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว
ทว่ายามนั้นเองใบมีดลำแสงสีเทาก็มาปรากฏด้านหลังมารโบราณอย่างเงียบเชียบ แค่กะพริบวาบก็แฉลบผ่านลำคอของมารโบราณ
ชั่วขณะนั้นหัวกะโหลกขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาจากคอ พ่นเสาโลหิตสูงสองสามฉื่อออกมา