แมลงกลืนทองสามตัวนี้คือแมลงกลืนทองโตเต็มวัยสองสามหมื่นตัวและราชาแมลงที่ถูกเลือกสิบสองตัวที่กลืนกินกันและกัน สุดท้ายก็เหลือเพียงแมลงวิญญาณสามตัว
ตอนแรกหานลี่ถูกอัสนีเที่ยงแท้ของเคราะห์สวรรค์ข่มขู่ ภายใต้อารมณ์ร้อนใจ ชั่วครู่ก็เรียกแมลงกลืนทองที่เดิมแช่อยู่ในบ่อชำระวิญญาณและกลืนกินสมุนไพรวิญญาณจำนวนมากจนจมเข้าสู่ภวังค์หลับใหลพัฒนาออกมา
ผลคือแมลงกลืนทองเหล่านั้นและราชาแมลงที่ถูกเลือกสิบกว่าตัวถูกอัสนีเที่ยงแท้โจมตีและกลืนกินพลังอัสนีเที่ยงแท้ไป คาดไม่ถึงว่าจะกลืนกินกันและกัน
นี่จึงทำให้หานลี่ทั้งประหลาดใจและดีใจ!
ผลคือยามที่เขาผ่านเคราะห์สวรรค์ หลังจากพัฒนาระดับมหายาน ฝูงแมลงก็เหลือเพียงราชาแมลงที่ถูกเลือกสามตัวตรงหน้ากล่าวได้ว่าเป็น ‘ราชาแมลงครึ่งก้าว’
แมลงทองครึ่งก้าวสามตัวในยามนี้ไม่เพียงขนาดตัวใหญ่กว่าเดิมสองสามเท่า รูปร่างยังอัปลักษณ์ แผ่นหลังมีลวดลายสีม่วงเข้มสายหนึ่ง รูปทรงเหมือนสายฟ้าลางๆ ทำให้ผู้คนเห็นแล้วตกตะลึง
ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายของราชาแมลงครึ่งก้าวสามตัวก็เหนือกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก แทบจะเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย
ประกอบกับแมลงวิญญาณสีทองสามตัวนี้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งและมีพลังน่ากลัวที่ไม่มีสิ่งใดที่ไม่กลืนกิน แข็งแกร่งแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว!
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแมลงวิญญาณครึ่งก้าวสามตัวกลืนกินจนถึงจุดนี้ก็เลิกโจมตีกันและกัน ไม่ได้กลืนกินต่อไปเหลือแมลงวิญญาณเพียงหนึ่งตัว
มิเช่นนั้นราชาแมลงกลืนทองที่ชิงหยวนจื่อเคยเอ่ยถึงว่าหากเซียนเที่ยงแท้พบเข้าก็ต้องถอยออกไปสามส่วน ไม่แน่ว่าอาจจะถือกำเนิดขึ้นแล้ว
หานลี่พิจารณาแมลงทองครึ่งก้าวสามตัวอย่างละเอียด หลังจากที่แววตาเปล่งประกายวาววับ ในเวลาเดียวกันก็กระตุ้นจิตสัมผัสเงียบๆ
แมลงยักษ์สีทองสามตัวกระพือปีก ชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งแหวกอากาศออกไปจากห้องลับ
ยามนั้นเห็นเพียงทั้งห้องลับมีเสียงครืนๆ ดังขึ้น ลำแสงสีทองกระพริบวาบๆ ปรากฏขึ้นตามมุมต่างๆ ราวกับภูตผีก็ไม่ปาน
เขาใช้จิตสัมผัสกระตุ้น แมลงวิญญาณสามตัวราวกับแขนไม่มีตัวใดลังเลหรือไม่พอใจเลยสักนิด
หานลี่เห็นเช่นนั้นถึงได้วางใจลง ทันใดนั้นก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม
แมลงทองยักษ์สามตัวส่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว และเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่มีราชาแมลงกลืนทองครึ่งก้าวสามตัวนี้ แทบจะเทียบเท่ากับมีผู้ช่วยที่ร้ายกาจระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายเพิ่มขึ้นมาสามคน นับได้ว่าเป็นข้อดีมหาศาลที่หล่นลงมาจากฟ้า
ความยินดีในใจของหานลี่ลดลง หลังจากครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง ร่างกายก็นั่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน แต่ริมฝีปากพลันขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา ราวกับว่ากำลังถ่ายทอดเสียงไปหาผู้ใดสักคน
ผลคือชั่วครู่เบื้องหน้าของหานลี่ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบและเอ่ยกับหานลี่อย่างราบเรียบ
“สหายหาน เจ้ากำลังตามหาข้าหรือ!”
เงาร่างคนผู้นี้คือนักพรตเซี่ย
“พี่เซี่ย เชิญนั่งเถิด! ยามนี้ที่นี่มีแค่เจ้ากับข้าสองคน ข้าว่าคงคุยต่อได้แล้ว เพื่อความปลอดภัย ข้าน้อยอยากให้สหายพูดที่พูดก่อนหน้าอีกครั้ง” หานลี่กวักมือเรียกให้นักพรตเซี่ยนั่งลง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“เยี่ยม ความหมายก่อนหน้าของข้านั้นง่ายมาก ยามนี้เจ้ามีคุณสมบัติพร้อมที่จะกลายเป็นเจ้านายที่แท้จริงของข้าแล้ว ขอแค่ทำตามเงื่อนไขสองสามข้อได้ ข้าก็จะทำประโยชน์ให้เจ้า ให้เจ้าควบคุมได้ตามปรารถนา” นักพรตเซี่ยเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เงื่อนไขเหล่านี้ที่เจ้าพูดถึงผู้ใดเป็นคนกำหนด คงไม่ใช่พี่เซี่ยคิดขึ้นเองหรอกกระมัง” หานลี่ได้ยินก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ความคิดข้า แต่เป็นเงื่อนไขที่เจ้านายคนก่อนกำหนดเอาไว้ ขอแค่มีคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขปรากฏขึ้น ข้าถึงจะเป็นฝ่ายเอ่ยคำนี้ออกมา” นักพรตเซี่ยเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“เจ้านายของเจ้าคือเซียนเที่ยงแท้ ในเมื่อกำหนดเงื่อนไขเอาไว้ คิดดูแล้วคงมีเจตนาอยู่ลึกๆ ไม่ผิดแน่ พี่เซี่ยลองพูดเงื่อนไขมาสิ ดูว่าข้าน้อยจะทำเรื่องเหล่านั้นได้หรือไม่แล้วค่อยว่ากันอีกที” หานลี่เงียบขรึมไปนาน ถึงได้เอ่ยออกมาทีละคำๆ
“ได้ นี่คือรายการของข้า ด้านในมีของอยู่สองสามอย่าง เจ้ารวบรวมพวกมันมาให้ครบก่อน” นักพรตเซี่ยพยักหน้า ชูมือข้างหนึ่งขึ้น คัมภีร์สีฟ้าม้วนหนึ่งบินไปฝั่งตรงข้าม
หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศคว้าคัมภีร์เอาไว้ ในเวลาเดียวก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “หรือว่าแค่เรื่องนี้?”
“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้! แต่หากสหายทำแม้กระทั่งเรื่องนี้ไม่ได้ หลังจากนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องรู้” นักพรตเซี่ยเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“คำนี้ก็มีเหตุผล!” หานลี่พยักหน้า หลังจากที่แตะคัมภีร์ไปบนหน้าผาก ชั่วพริบตาก็กวาดจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน
ผลคือหลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็ดึงจิตสัมผัสกลับมา เลื่อนคัมภีร์ออกจากหน้าผาก และขมวดคิ้วมองแวบหนึ่งอีกครั้ง ถึงได้เอ่ยกับนักพรตเซี่ยอย่างแช่มช้า
“ของที่อยู่ในนี้ล้วนเป็นของหายาก นอกจากต้องเสียเวลาแล้ว เกรงว่ายังต้องใช้วาสนาถึงจะรวบรวมให้ครบได้ หากดวงไม่ดี ทั้งชีวิตก็อาจจะรวบรวมได้ไม่ครบ สหายเซี่ยมั่นใจว่าของด้านในต้องครบห้ามขาดแม้แต่ชิ้นเดียวหรือ?”
“ไม่เพียงห้ามขาดแม้แต่ชิ้นเดียว แม้กระทั่งจำนวนของทุกชนิดก็ห้ามขาดแม้แต่ส่วนเดียว มิเช่นนั้นก็ไม่อาจนับว่าเจ้าทำตามเงื่อนไขสำเร็จได้” นักพรตเซี่ยตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“เอาล่ะ ดูแล้วหากอยากให้พี่เซี่ยทำเพื่อข้าให้เต็มที่คงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้แซ่หานทำได้เพียงต้องลองพยายามให้เต็มที่เท่านั้น” หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบคัมภีร์หยก สีหน้าเปลี่ยนสีอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นอย่างตัดสินใจ
“ได้ หวังว่านายท่านจะทำสำเร็จ! หากไม่มีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน” นักพรตเซี่ยพยักหน้าขณะเอ่ย ใบหน้าไร้ความรู้สึก ร่างกายพลิ้วไหวกลายเป็นประจุไฟฟ้าสายหนึ่งจมหายไปกลางอากาศ
หานลี่มองอีกฝ่ายที่หายไปจากบนพื้น ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
ดูแล้วการคาดเดาก่อนหน้าคงไม่ผิด นักพรตเซี่ยผู้นี้มีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยมหลังจากที่ตนพัฒนาระดับมหายาน ดูแล้วเซียนปลอมผู้นี้คงมีความลับที่ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ได้
หลังจากที่หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง ก็เก็บคัมภีร์เข้าไปในกำไลเก็บของอย่างเงียบๆ และเอาสองมือวางบนหัวเข่าหลับตาทั้งสองข้าง
ในที่สุดเขาก็จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ยามนี้นับได้ว่าสามารถปรับระดับพลังให้มั่นคงได้แล้ว
เช่นนั้นหานลี่จึงอยู่ในห้องลับไม่ยอมออกมา เวลาของโลกภายนอกจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
วันนี้หานลี่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องลับ ฉับพลันนั้นพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาเปล่งประกายสีฟ้าวาววับและหายไป มือหนึ่งตบไปที่ศีรษะ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น หน้าผากเปิดออก ลำแสงสีทองม้วนวนออกมา คนตัวเล็กความสูงสองสามฉื่อเปล่งแสงสว่างวาบ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
คนตัวเล็กสวมชุดคลุมยาวสีเขียว หน้าตาเหมือนกับหานลี่ทุกระเบียบนิ้ว ราวกับหานลี่ขนาดย่อส่วน และยิ่งไปกว่านั้นแผ่นหลังยังสะพายกระบี่เล่มเล็กสีเขียวอยู่ด้ามหนึ่ง หัวไหล่ทั้งสองมีแมลงเกราะสีทองขนาดเท่าหัวแม่มืออยู่ฝั่งละตัวกำลังกัดชุดแน่น ราวกับจี้สีทองเรืองรองสามอันก็ไม่ปาน เผยความแปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบออกมา
เมื่อคนตัวเล็กปรากฏตัวขึ้น หลังจากก้มหน้าลงพิจารณาตนรอบหนึ่ง ก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
ยามนี้หานลี่ที่อยู่ด้านล่างเดิมไม่ขยับกายเนื้อ ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ลำแสงสีทองบนศีรษะเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง หน้าผากที่เดิมเบิกอยู่พลันผสานเข้าหากันอีกครั้ง
จากนั้นหานลี่ก็ขยับร่างกาย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายยืนขึ้น และค้อมตัวลงให้คนตัวเล็กสีเขียวเล็กน้อย
แทบจะในเวลาเดียวกันกายเนื้อของหานลี่ก็มีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสีเขียวที่หน้าตาเหมือนกับหานลี่ก็ปรากฏขึ้น
นั่นก็คือฉวี่เอ๋อร์ที่ควบคุมร่างวิญญาณ และยืนประสานมือกันอยู่ด้านข้างทันที
“เจ้าสองคนดูแลกายเนื้อของข้าให้ดี ข้าจะลองเคล็ดวิชาทารกวิญญาณผนึกเพลิงผจญภัยหมื่นลี้ และจะกลับมาในทันที”
คนตัวเล็กสีเขียวกวาดสายตาไปด้านล่าง คาดไม่ถึงว่าจะพ่นคำพูดของหานลี่ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
จากนั้นเสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น คนตัวเล็กสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากที่เดิม
กายเนื้อของหานลี่และร่างวิญญาณสีเขียวที่อยู่ด้านล่างพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะต่างนั่งสมาธิลงอย่างเงียบๆ ล้วนไม่ได้ปริปากใดๆ
สาวกทารกวิญญาณของหานลี่ที่กลายเป็นคนตัวเล็กในยามนี้กลับเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏตัวกลางอากาศห่างออกไปสองสามหมื่นจั้ง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ด้านล่างมองเห็นเมฆสีขาวได้ลางๆ เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบกับพายุหมุนสีขาวส่งเสียงดังอึกทึกม้วนวนมา ชั่วขณะนั้นชุดคลุมยาวสีเขียวก็ปลิวไสว ในเวลาเดียวกันผิวหน้าก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด
แต่คนตัวเล็กสีเขียวเห็นเช่นนั้นกลับไม่ตกตะลึงพลันฉีกยิ้ม ปากก็เอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา
“พายุวัชระเหนือฟ้าสมคำร่ำลือนัก หากใช้ความสูงของทารกวิญญาณก่อนหน้า เกรงว่าคงถูกพายุวัชระฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ทันที ยามนี้หรือ นอกจากเจ็บปวดเล็กๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวพายุวัชระนี้” สิ้นเสียงของคนตัวเล็กสีเขียว มือหนึ่งก็ร่ายอาคมทันที ร่างทั้งร่างเลือนราง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงสีทองจมหายเข้าไปในพายุ และแล่นผ่านพายุนี้ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ และยิ่งไปกว่านั้นความเร็วก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อความเร็วของคนตัวเล็กสีเขียวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พายุสีขาวที่ม้วนวนไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น
กลางพายุมีใบมีดวายุส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังแว่วมา และเปล่งแสงสว่างวาบ รอบๆ ตัวคนตัวเล็กสีเขียวมีรอยแยกมิติสีดำปรากฏขึ้น
คนตัวเล็กสีเขียวเห็นเช่นนั้นรูม่านตาก็หดเล็กลง ลังเลเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเจตนาหลบหลีก ยังคงโดยสารพายุนี้ไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ใบมีดวายุสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบผ่านร่างของคนตัวเล็กสีเขียวไป ชั่วขณะนั้นรอยแยกบางๆ สายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เดียวกัน
คนตัวเล็กสีเขียวร่างกายเลือนราง ราวกับถูกรอยแยกบางๆ สูบเข้าไปข้างใน
แต่คนตัวเล็กพลันร่างกายบิดเบี้ยวทันที หลังจากที่ร่างกายเลือนราง คาดไม่ถึงว่าจะดิ้นรนออกมาจากรอยแยก แล้วเดินหน้าต่อราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ยังเห็นว่าห้วงมิติเวลานี้อันตรายถึงชีวิต คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจทำอันตรายคนตัวเล็กสีเขียวได้เลยสักนิด
เมื่อเห็นคนตัวเล็กปีนขึ้นไปเป็นหมื่นจั้งได้ราวกับดาวตก ฉับพลันนั้นกลางอากาศสูงก็มีเสียงคำรามต่ำๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้ดังขึ้น จากนั้นระลอกคลื่นประหลาดก็ม้วนวนออกมา
พายุวัชระที่อยู่รอบๆ สั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันสั่นเทาอย่างหนักแล้วปริแตกออก
กลางอากาศสูงฉีดขาดออก สิ่งมหึมายื่นออกมา และใช้ดวงตาสองดวงที่ใหญ่โตจ้องเขม็งไปยังคนตัวเล็กสีเขียวด้านล่าง