“บรรพชนแรกเริ่มเผ่ามาร”
เมื่อได้ยินคำที่ราวกับแฝงไว้ด้วยพลังมาร ทุกคนไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจระดับสูงล้วนหน้าเปลี่ยนสี
พวกเขาที่เพิ่งผ่านเคราะห์มารมา ย่อมรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูกกับบรรพชนแรกเริ่มเผ่ามารที่เป็นสัญลักษณ์ความแข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามาร
เผ่าวิญญาณในลำแสงสีม่วงได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบนี้ หลังจากพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง ก็เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ขอบพระคุณสำหรับคำตอบของท่านอาวุโส หากเมื่อครู่ล่วงเกินไป ก็หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา ชนรุ่นหลังจะนำคำตอบไปรายงานกับใต้เท้าราชาศักดิ์สิทธิ์”
หานลี่พยักหน้าไม่ได้เอ่ยอันใดให้มากความอีก
รอจนเผ่าวิญญาณลำแสงสีม่วงนั่งลง ทูตชนนอกเผ่าคนอื่นๆ ในที่นั้นก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทยอยกันนำของขวัญมามอบให้เป็นการแสดงความเจตนาดีของเผ่าตนกับหานลี่
หนึ่งในนั้นยังมีทูตของเผ่าพฤกษาที่แบ่งตัวเป็นหลายกลุ่มแล้วไปสวามิภักดิ์เผ่าอื่นๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับทูตชนต่างเผ่าที่เป็นตัวแทนเผ่าต่างๆ แล้ว หานลี่ก็ฉีกยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ
แต่หลังจากที่ทูตชนต่างเผ่าเหล่านั้นส่งมอบของขวัญเสร็จ มุมหนึ่งของจัตุรัสก็มีหญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นสวมผ้าคลุมสีเหลืองยืนขึ้น หลังจากที่ปลดผ้าคลุมออกจากศีรษะ ก็เผยใบหน้างดงามราวกับรูปวาดออกมา
“เซียนหรง นั่นเป็นไปไม่ได้!”
“เป็นเซียนหรงจริงๆ ด้วย เกาะศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แถลงว่าหรงต๋าโอ่วหายตัวไปในส่วนลึกของแดนป่าเถื่อนเมื่อสามพันปีก่อนหรือ?”
เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวเผ่ามนุษย์ผู้นี้ชัดเจน ชั่วขณะนั้นพลันเกิดเสียงวุ่นวายขึ้น คนจำนวนไม่น้อยร้องอุทานเสียงหลงออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
หญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ชั่วขณะนั้นพลันเกิดเสียงวุ่นวายขึ้น
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ใจเต้น กวาดสายตาไปที่เรือนร่างของหญิงสาว กลับพบว่าแม้หญิงสาวนี้ผู้นี้จะมีพลังยุทธ์แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง แต่กลิ่นอายบนเรือนร่างกลับแปลกประหลาด คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงผลึกแผ่ออกมาจากผิวหนัง ขับให้นางดูราวกับไม่ใช่คนธรรมดา
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้มีพลังยุทธ์ลึกล้ำไม่ธรรมดา ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ
“สหายคือ…” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“ชนรุ่นหลังหลี่หรงเป็นตัวแทนเกาะศักดิ์สิทธิ์มาแสดงความยินดีกับท่านอาวุโสหานที่บรรลุระดับมหายาน กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานคนที่สองของเผ่าเรา จึงนำสำเภาเหาะระดับสุดยอดลำหนึ่ง สาวใช้สิบคน อสูรวิญญาณระดับสูงร้อยตัว หุ่นเชิดนักรบชุดเกราะพันตัวมาเป็นของขวัญแสดงความยินดี” หลังจากที่หญิงสาวหน้าตางดงามคารวะหานลี่ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
“ที่แท้ก็ทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์ ของขวัญมากมายเช่นนี้ ผู้แซ่หานต้องขอบคุณมาก เดิมข้าน้อยก็คิดจะไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์หลังจบงานพิธีอยู่แล้ว” หานลี่พยักหน้าแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย
“หากท่านอาวุโสยอมมาเยี่ยมเยียนที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่พวกเราใฝ่ฝันถึง บรรดาสหายของเกาะศักดิ์สิทธิ์อยากเชิญท่านอาวุโสไปที่เกาะตั้งนานแล้ว เพราะมีเรื่องสำคัญมากอยากปรึกษากับท่านอาวุโส” หรี่หรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“อืม ข้าจะต้องไปแน่” หานลี่พยักหน้า ท่าทางไม่ออกความเห็น
“ชนรุ่นหลังยังมีอีกเรื่อง…”
“ผู้ใดทำลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านนอก!”
หรี่หรงยังคิดจะเอ่ยอันใดอีก หานลี่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม สะบัดแขนเสื้อไปยังจุดที่ไกลออกไป ในเวลาเดียวกันปากก็ร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น พลังไร้รูปร่างพุ่งผ่านเขตอาคมด้านนอกภูเขายักษ์ ชั่วครู่ก็อยู่ห่างออกไปสองสามลี้ ดูเหมือนว่าจะปะทะกับอันใดสักอย่างอยู่
รัศมีลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งส่งเสียงคำรามแล้วระเบิดออก เงาร่างคนเปล่งแสงส่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายร่างยักษ์สวมชุดเกราะสีดำคนหนึ่ง
ชายร่างยักษ์มีใบหน้ากล้าหาญ แต่ใบหน้าพลันมีสีหน้าตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจที่ตนเองอยู่ตั้งไกลยังถูกหานลี่พบเข้า แต่หลังจากที่ใบหน้าประหลาดใจหายวับไป ก็หัวเราะร่าอย่างไม่ใส่ใจ
“ฮ่าๆ…สหายหาน ผู้แซ่เยี่ยไม่ได้รับเชิญ สหายคงไม่ต้อนรับสินะ”
ชายร่างยักษ์ชุดเกราะสีดำเอ่ยจบ ก็คารวะหานลี่ หลังจากสาวเท้าออกมาก้าวหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่นระยะทางสองสามลี้มาปรากฏตัวเหนือยอดเขายักษ์สามสี และร่อนลงมาอย่างทระนงองอาจ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เมื่อม่านลำแสงสองสามชั้นที่สร้างขึ้นเป็นเขตอาคมสัมผัสกับร่างของชายร่างยักษ์ก็ปริแตกออกราวกับกระดาษก็ไม่ปาน
ชายร่างยักษ์ที่เรือนร่างแผ่ลำแสงสีดำออกมาร่อนลงกลางอากาศต่ำๆ เหนือจัตุรัส แขนทั้งสองกอดอกเอาไว้ ท่าทางห่างไกลจากหานลี่
ผู้บำเพ็ญเพียรในที่นั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันตกตะลึง แต่มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีนิสัยขี้หงุดหงิดพลันตำหนิด้วยเสียงอันดังทันที
แต่ก็มีผู้ที่ค่อนข้างเคร่งขรึม เห็นชายร่างยักษ์ทำท่าทีไม่สนใจระดับมหายานอย่างหานลี่ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
“ราชานกฮูก…เป็นราชานกฮูกทมิฬของเผ่าสามง่ามราตรี! เจ้าไม่ได้ตายไปกับเคราะห์อัสนีเที่ยงแท้ยามที่ทะลวงจุดคอขวดระดับมหายานเมื่อสองสามพันปีก่อนหรือ เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่? เจ้ากลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานแล้ว!” หรี่หรงพิจารณาชายร่างยักษ์รอบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็สูดลมหายใจด้วยความตกตะลึงและร้องอุทานเสียงหลงออกมา
“ราชานกฮูกทมิฬ”
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาฉายแววประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่กำลังตำหนิชายร่างยักษ์จำนวนไม่น้อยเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของชายร่างยักษ์ ปากที่กำลังร้องตำหนิพลันหุบฉับ ทยอยกันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงระคนฉงน
“อ๋อ แม่หญิงผู้นี้เคยพบข้าหรือ” ชายร่างยักษ์หันหน้าไปกวาดตามองหญิงสาวผู้นี้แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างแปลกประหลาดใจ
“สองสามพันปีก่อน ข้าเคยติดตามท่านอาจารย์ม่อไปพบสหาย” หรี่หรงหน้าซีดขาว คาดไม่ถึงว่าจะตอบด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัวสามส่วน
“ที่แท้เจ้าก็คือแม่หญิงขนเหลืองที่อยู่ข้างกายตัวประหลาดเฒ่าม่อในตอนนั้น! จุ๊ๆ ไม่ได้พบกันไม่กี่ปี เจ้าก็มีน้ำมีนวลขนาดนี้ กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้ว ไม่เลวๆ! ข้าบรรลุระดับมหายานเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ที่บอกว่าตายภายใต้เคราะห์อัสนีเป็นแค่วิธีที่ทำให้พวกเจ้าสับสนของเผ่าข้าเท่านั้น พวกเจ้าคิดว่าเป็นความจริงหรือ ช่างน่าขันนัก” ชายร่างยักษ์เอ่ยไปพลาง สายตาที่มองหรี่หรงก็เผยแววลามกอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด
หรี่หรงจิตใจหนักอึ้ง แทบจะหันหน้าคิดจะหนีทันที
ทว่าหญิงสาวผู้นี้นึกขึ้นได้ว่าตนอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานคนใหม่อยู่ด้วย ดังนั้นถึงได้ระงับความหวาดกลัว ฝืนรักษาความเยือกเย็นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แค่หรุบสายตาลงต่ำ หลบหลีกสายตาไม่ล่วงเกินของอีกฝ่ายตามจิตสำนึก
“ที่แท้ก็เป็นสหายนกฮูกดำของเผ่าสามง่ามราตรีที่มีชื่อเสียงเมื่อสองสามพันปีก่อน สหายใช้ฐานะระดับมหายานมาปรากฎตัวที่นี่ด้วยตัวเอง ช่างทำให้ผู้แซ่หานปลาบปลื้มใจจริงๆ” ในที่สุดหานลี่ก็เอ่ยปาก สีหน้าราบเรียบ ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอันใดอยู่
“หึๆ สหายคือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานคนที่ถือกำเนิดเป็นคนที่สองของเผ่ามนุษย์ และเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุระดับมหายานได้เพียงคนเดียวในเผ่านอกจากข้าในรอบเกือบหมื่นปี ตาเฒ่าจะไม่มาดูด้วยตาของตัวเองถึงจะวางใจได้อย่างไร” ชายร่างยักษ์ได้ยินก็หันหน้ามาหาหานลี่ แล้วเอ่ยด้วยเจตนาไม่ดี
“เป็นเช่นนี้นี่เอง น่าเสียดายข้าน้อยแค่โชคดีบรรลุระดับมหายาน เกรงว่าต้องทำให้สหายนกฮูกดำผิดหวังแล้ว แขกผู้มาจากแดนไกล ใครก็ได้ เตรียมที่นั่งให้กับสหายนกฮูกดำ!” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ แล้วออกคำสั่ง
“ขอรับ ท่านอาจารย์!” ชี่หลิงจื่อตอบรับ แล้วคิดจะไปจัดการ
“ไม่ต้องยุ่งยากปานนั้น ข้าอยู่ที่นี่ไม่นาน และเมื่อคุยกับสหายเสร็จ ก็จะไปแล้ว” ชายร่างยักษ์โบกมือ แล้วเอ่ยกับหานลี่อย่างหงุดหงิด
“อ๋อ สหายนกฮูกดำมีเรื่องอยากคุยกับผู้แซ่หาน?” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ใช่แล้ว ที่ข้ามาประการแรกก็เพราะอยากดูว่าสหายหานเป็นอย่างไร เมื่อครู่สหายเห็นข้าในระยะไกลเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ประการที่สองก็เพราะอยากขอคนกับสหายคนหนึ่ง ไม่ ยามนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะขอสองคน” ชายร่างยักษ์เบะปาก เอ่ยคำพูดดุร้ายออกมา
“อยากได้สองคน? สองคนไหน!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง
“ได้ยินว่าศิษย์คนหนึ่งของสหายหานมีรากเร้นอัสนี ข้าคิดจะยืมใช้ต้านทานเคราะห์สวรรค์ครั้งหน้า ส่วนอีกคนเป็นเซียนผู้นี้ ข้าชอบนางอยากพากลับไปเป็นสนมข้างกายข้าที่เผ่าสามง่ามราตรี” ชายร่างยักษ์ส่งเสียงอู้อี้ออกมา แต่เนื้อหาในคำพูดกลับทำให้ทุกคนแทบจะไม่อยากจะเชื่อ
“อันใด คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นศิษย์ของท่านอาวุโสหาน”
“แถมยังกล้าให้เซียนหรงมาเป็นสนมของเขา จะไม่เห็นสองเผ่าของพวกเราอยู่ในสายตาไปหน่อยกระมัง”
ชั่วขณะนั้นผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดก็โกรธเกรี้ยว แต่ด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของระดับมหายาน กลับไม่กล้าบ่นด่าอันใด คนส่วนใหญ่ทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่ระดับมหายานของเผ่าสามง่ามราตรีผู้นี้ด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ราชานกฮูกดำ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าสนใจข้า หรือว่าลืมคำเตือนของท่านอาจารย์ม่อไปแล้ว” หลังจากที่หรี่หรงได้ยิน ก็หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้ และเอ่ยด้วยเสียงเหี้ยม
“ท่านอาจารย์ม่อ…ฮ่าๆ เผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าชอบรังแกผู้อื่นเสียจริง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าตัวประหลาดเฒ่าม่อและตัวประหลาดเฒ่าเอ๋าเสี้ยวไม่ได้อยู่ในเผ่านานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเป็นตายก็ไม่รู้หรือ มิเช่นนั้นข้าจะกล้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ราชานกฮูกดำหัวเราะร่า เอ่ยสิ่งที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งจัตุรัสตกตะลึงจนหน้าถอดสี
“ท่านอาวุโสม่อและท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวเกิดเรื่องแล้ว?”
“เขาจะต้องพูดซี้ซั้วแน่ ท่านอาวุโสทั้งสองมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรจะเกิดเรื่องได้อย่างไร”
ทว่าช่วงนี้อาวุโสทั้งสองไม่มีข่าวคราวใดจริงๆ
…
ครั้งนี้ทุกคนในจัตุรัสก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีก ทยอยกันเปลี่ยนสีหน้าเป็นหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ทูตชนต่างเผ่าเหล่านั้นได้ยิน บ้างก็ตกตะลึง บ้างกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม
“สหายหาน เจ้าคงไม่ก่อหายนะให้กับเผ่าเจ้าเพียงเพราะคนสองคนหรอกกระมัง แม้ว่าเจ้าเองก็บรรลุระดับมหายานแล้ว แต่หากจะควบคุมพลังระดับมหายานจริงๆ ไม่ใช้เวลาสองสามร้อยปีก็อย่าคิดเรื่องนี้เลย ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้” ราชานกฮูกดำมีสีหน้าเยือกเย็น ไม่สนใจคนอื่นๆ ในจัตุรัส แค่เอ่ยกับหานลี่อย่างเคร่งขรึม
คำพูดเต็มไปด้วยเจตนาข่มขู่
“เช่นนั้นสหายนกฮูกดำมาที่นี่ไม่ได้มาเข้าร่วมงานพิธีระดับมหายานของผู้แซ่หาน แต่จงใจมาสร้างความวุ่นวาย” หานลี่ได้ยินคำพูดก่อนหน้าของชายร่างยักษ์ เดิมที่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“สร้างความวุ่นวาย? หากสหายหานคิดเช่นนั้นก็คงเป็นเช่นนั้น” ชายร่างยักษ์เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา พลางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด ท่าทางไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“เยี่ยม ในเมื่อเป็นแขกชั่วร้าย ผู้แซ่หานที่มีฐานะเป็นเจ้าของก็ต้องลงมือกำจัดสั่งสอนสักหน่อยแล้ว” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยอย่างแข็งๆ
สิ้นเสียงของเขามือหนึ่งก็ร่ายอาคมเบาๆ ยอดเขายักษ์สามสีส่งเสียงร้อง ฉับพลันนั้นก็พ่นลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนไปตามจุดต่างๆ ของจัตุรัสแล้วม้วนวนไปทางชายร่างยักษ์
แทบจะในเวลาเดียวกันเหนือจัตุรัสก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น สายฟ้าสีทองเงินเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นอสรพิษสายฟ้ากระโจนลงมา
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะส่งเขตอาคมยอดเขายักษ์แล้วลงมืออย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“กล้าลงมือกับผู้แซ่เฮย ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ! แต่เช่นนั้นก็ไม่นับว่าผู้แซ่เฮยชนะอย่างไม่ห้าวหาญแล้ว” ชายร่างยักษ์เห็นเช่นนั้น คาดไม่ถึงว่าจะไม่โกรธแต่กลับดีใจหัวเราะร่า
จากนั้นก็เห็นเขากำหมัดทั้งสองโจมตีไปตรงหน้าอย่างแรง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ระลอกคลื่นเสียงสีดำม้วนวนออกมาทันที!