สามวันต่อมาหานลี่พาอิ๋นเย่ว์ นักพรตเซี่ย ไป๋กั่วเอ๋อร์ หรี่หรงสี่คนออกจากเมืองเทวะสวรรค์ตรงไปยังตระกูลสวี่
หานลี่ถามเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ที่เผ่ามารถอนทัพออกไป ตระกูลสวี่ก็กลับไปที่ตั้งค่ายของตระกูลเดิม
ดังนั้นเมื่อผ่านการส่งตัวจากเมืองต่างๆ สองสามเมือง และใช้เวลาเดินทางสั้นๆ ครึ่งเดือน กลุ่มของหานลี่ก็มาถึงตระกูลสวี่
หลังจากที่รายงานชื่อไป ชั่วขณะนั้นทั้งตระกูลสวี่พลันตกอยู่ในความวุ่นวาย
ไม่เพียงผู้นำตระกูลสวี่ สวี่เจียวและสวี่เชียนอวี่ที่รีบร้อนเข้ามาต้อนรับ อาวุโสตระกูลสวี่และพวกก็ตามมาติดๆ
หนึ่งในนั้นยังมีสวี่เหยียน สวี่หั่วและพวกที่หานลี่เคยพบอยู่ด้วย
ดูแล้วตระกูลสวี่คงไม่ได้พละกำลังเสียหายไปเท่าไหร่ในเคราะห์มาร
“คารวะท่านอาวุโสหาน ท่านอาวุโสมาเยี่ยมเยียนได้ นับว่าเป็นเกียรติของตระกูลสวี่แล้ว” สวี่เชียนคารวะหานลี่อย่างนอบน้อม อาวุโสคนอื่นๆ ก็คารวะตามด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
หากกล่าวถึงแต่ก่อนของหานลี่ที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ ตระกูลสวี่อาจจะใช้ฐานะเผ่ามนุษย์รักษาความเย่อหยิ่งของตนเองเอาไว้ เช่นนั้นยามนี้หานลี่ปรากฏตัวขึ้นด้วยระดับมหายาน ก็ทำได้เพียงต้องตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเผยสีหน้าอันใดที่อาจจะทำให้หานลี่ไม่พอใจออกมา
หานลี่และพวกถูกตระกูลสวี่พาเข้าไปในห้องโถงของตำหนักหลักที่ใช้รับแขก
หานลี่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักอย่างไม่เกรงใจ แล้วเอ่ยกับผู้นำตระกูลสวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างราบเรียบ
“เหตุใดข้าถึงมาในครั้งนี้ พวกเจ้าคงจะรู้ดี แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสหายวิญญาณโลหิต ข้าเคยได้ยินเซียนสวี่พูดครั้งหนึ่ง แต่ยามนี้อยากให้ตระกูลสวี่อธิบายให้ข้าฟังอีกรอบหนึ่ง ดูว่าจะมีจุดใดที่ขาดหายไปหรือไม่”
“ชนรุ่นหลังน้อมรับคำสั่ง เจ็ดเดือนก่อนท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตก็กลับมาที่ตระกูลสวี่…” สวี่เจียวไม่กล้าดูแคลน เริ่มอธิบายอย่างละเอียด
หานลี่ตั้งใจฟังรายละเอียดทุกจุด
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา หลังจากที่เขารออีกฝ่ายเอ่ยจบ ถึงได้เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“เช่นนั้นนอกจากสหายวิญญาณโลหิตจะให้พวกเจ้านำหม้อนภาสูญมามอบให้ข้า ยังเคยกล่าวไว้ว่ามีเพียงข้าถึงจะปลุกนางให้ตื่นได้”
“ใช่แล้ว ท่านอาวุโส วิญญาณโลหิตคือร่างแยกของท่านบรรพชน แม้ว่าพลังยุทธ์จะอยู่แค่ระดับหลอมสูญ แต่เพราะร่างใกล้เคียงกับภาพมายา เดิมก็ได้รับบาดเจ็บได้ยากอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตกลับซวยถูกลอบทำร้ายเพราะเหตุใดก็สุดจะรู้ได้ ภายนอกดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด แต่มีไอสีดำแผ่ออกมาจากเรือนกาย และจมสู่ภวังค์การหลับใหล ช่างแปลกประหลาดยิ่ง ชนรุ่นหลังใช้ทุกวิธีทางแล้ว แต่กลับไม่มีผลเลยสักนิด หวังว่าท่านอาวุโสจะเห็นแก่หน้าของบรรพชนวิญญาณน้ำแข็ง ลงมือช่วยสักหน่อย” สวี่เจียวเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ได้ยินสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าเองอยากรู้สาเหตุที่สหายวิญญาณโลหิตสลบไป ข้าขอไปดูสถานการณ์ของสหายวิญญาณโลหิตด้วยตัวเองแล้วค่อยว่ากันเถิด หากช่วยได้ผู้แซ่หานลี่ก็จะลงมือ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา เอ่ยอย่างไม่ปฏิเสธ
“ขอบพระคุณท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังจะนำทางท่านอาวุโสไป” สวี่เจียวพลันดีใจ ปากก็เอ่ยขอบคุณไม่หยุด
“พี่เซี่ยเจ้าตามข้าไปดูเถิด อิ๋นเย่ว์ กั่วเอ๋อร์ สหายหลี่พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน” หานลี่พยักหน้ากลับออกคำสั่งกับอิ๋นเย่ว์และพวกทั้งสาม
“เจ้าค่ะ น้องหญิง กั่วเอ๋อร์ และสหายหลี่จะรออยู่ที่นี่” อิ๋นเย่ว์ตอบรับคำสั่ง
ส่วนหลี่หรงและไป๋กั่วเอ๋อร์ย่อมไม่กล้ามีความเห็นอื่น ต่างพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
พวกผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ที่สังเกตเห็นอิ๋นเย่ว์และพวกตั้งนานแล้ว เป็นเพราะพลังยุทธ์ต่างกันมาก มีเพียงกลิ่นอายบนเรือนร่างของพวกนางที่ดูลึกล้ำยากจะคาดเดา จนไม่อาจมองพลังยุทธ์ที่แท้จริงออก ภายใต้ความตกตะลึงในใจจึงรู้สึกนอบน้อมต่อพวกนางเช่นกัน ไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด
นอกจากฮูหยินสองสามคนที่ให้อยู่เป็นเพื่อนอิ๋นเย่ว์และหลี่หรง สวี่เจียวและอาวุโสคนอื่นๆ กลับพาหานลี่และนักพรตเซี่ยตรงไปยังเขตแดนลับของตระกูลสวี่
ในตำหนักหิวใต้ดินส่วนลึกที่สุดของตระกูลสวี่ หานลี่มาปรากฏตัวด้านในโดยมีสวี่เจียวและพวกอยู่ด้วย ตรงใจกลางตำหนักโลงหยกกึ่งโปร่งใสโลงหนึ่งวางนิ่งอยู่ตรงนั้น ในโลงผลึกหญิงสาวสวมชุดสีขาวนอนอยู่ด้านใน ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท กลิ่นไอสีดำปกคลุมเรือนร่างลางๆ
นั่นคือร่างแยกวิญญาณโลหิตที่แยกออกมาจากเซียนวิญญาณน้ำแข็ง
หานลี่สาวเท้าเดินไปอยู่ตรงหน้าโลงผลึก เมื่อเข้าใกล้ในระยะสองสามจั้ง ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมา
“น้ำแข็งทมิฬหมื่นปี!” หานลี่กวาดตามองในโลงผลึกแวบหนึ่ง เอ่ยถามอย่างไม่แปลกใจเลยสักนิด
“ท่านอาวุโสสายตาเฉียบแหลมนัก เป็นโลงน้ำแข็งทมิฬหมื่นปีจริงๆ มีเพียงสิ่งนี้ที่จะชะลอกลิ่นอายความอ่อนแอบนร่างของท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตได้ ดังนั้นชนรุ่นหลังถึงได้…” สวี่เจียวรีบอธิบาย
“เดิมพลังเย็นเยียบก็มีผลในการควบคุมบาดแผลส่วนใหญ่อยู่แล้ว ยามที่ไม่รู้อาการป่วยของนาง ก็ได้นำสหายวิญญาณโลหิตวางไว้ในโลงน้ำแข็งทมิฬหมื่นปี กลับเป็นวิธีที่นับว่าชาญฉลาด” หานลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างเงียบๆ
ยามนี้สายตาของเขาตกอยู่ที่เรือนร่างของหญิงสาวชุดขาวในโลงผลึก
วิญญาณโลหิตในยามนี้ไม่เพียงจะหลับตาทั้งสองข้างสนิท ใบหน้าเต็มไปด้วยไอสีดำ หว่างคิ้วมีลายโลหิตกลุ่มหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันปรากฏตัวขึ้น มีลำแสงโลหิตแผ่ออกมาจากผิว
หานลี่เห็นลายโลหิตก็มีสีหน้าตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะเชื่อมโยงอันใดได้ หัวคิ้วอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
“ท่านอาวุโสหาน เจ้ารู้สาเหตุที่ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตหลับใหลหรือไม่” สวี่เจียวเห็นเช่นนั้นพลันรีบเอ่ยถาม
“แม้ว่าจะดูออกนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ต้องยืนยันสักหน่อย” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ แผ่จิตสัมผัสออกมา แล้วห่อหุ้มไปที่โลงผลึก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นนิ้วหนึ่งก็ชี้ไปที่หว่างคิ้ว
หลังจากเสียงเบาๆ ดังขึ้น!
ไอสีดำปรากฏออกมา หลังจากรวมตัวกันก็กลายเป็นตาปีศาจสีดำสนิทดวงหนึ่ง
ตาปีศาจเบิกกว้าง พ่นเส้นไหมผลึกสายหนึ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงผ่านกำแพงโลงผลึกจมหายเข้าไปในร่างของหญิงสาวชุดขาว
ครู่ต่อมาเส้นไหมผลึกพลันม้วนวนออกมา แมลงประหลาดสีแดงโลหิตขนาดเท่าหัวแม่มือปักอยู่ครึ่งตัว
แทบจะในเวลาเดียวกันลายโลหิตตรงหว่างคิ้วของหญิงสาวชุดขาวก็หายวับไป
แมลงประหลาดตัวนี้รูปร่างคล้ายๆ หอยทาก แต่หัวมีหนวดยาวไม่เท่ากันเจ็ดแปดเส้น ชั่วพริบตาที่ออกจากหญิงสาวชุดขาว ก็ดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง
“นี่คืออันใด เหตุใดพวกเราถึงไม่เคยพบในร่างของท่านอาวุโสวิญญาณโลหิต” ตระกูลสวี่และพวกตกตะลึงจนตาค้าง สวี่เจียวร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง
“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่พบก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด แมลงพิษโลหิตตัวนี้ไร้รูปร่างไร้สี ละลายอยู่ในโลหิต หากไม่ใช่เพราะข้าใช้เคล็ดวิชาแปลงจิตสัมผัสเป็นเส้นไหมบีบออกมา เกรงว่าเจ้าก็ไม่อาจพบร่องรอยของมันได้ตลอดกาล” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงจ้องเขม็งไปยังแมลงประหลาดสีแดงโลหิตที่อยู่ห่างไปแค่คืบปากกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
“แมลงพิษโลหิต หรือว่าเป็นแมลงพิษชนิดหนึ่ง ทว่าในเมื่อแมลงตัวนี้ร้ายกาจเช่นนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่ปรากฏขึ้น ชนรุ่นหลังและพวกไม่เคยได้ยินมาก่อน” สวี่เจียวเอ่ยถามอย่างฉงนเล็กน้อย
“หึๆ แมลงนี้ไม่ใช่แมลงพิษที่มีอยู่ในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนของพวกเรา แต่เป็นแมลงประหลาด
ชนิดหนึ่งที่มีแค่ในแผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียนที่ลึกลับที่สุดในสามดินแดนใหญ่ของแดนวิญญาณ ไม่เหมือนกับแมลงพิษที่พวกเจ้ารู้” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“แผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน! จะเป็นไปได้อย่างไร!” สวี่เจียวและอาวุโสตระกูลสวี่คนอื่นๆ ได้ยินพลันตกตะลึง
“แม้ข้าจะไม่เคยไปแผ่นดินใหญ่เสี่ยเทียน แต่ปีนั้นเคยไปผจญภัยที่แผ่นดินเสียงเพรียกอัสนีระยะหนึ่ง และเห็นรายละเอียดของแมลงชนิดนี้ในคัมภีร์เล่มหนึ่งของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ไม่ผิดแน่!” หานลี่กวาดตามองคนของตระกูลสวี่แวบหนึ่ง หว่างคิ้วพ่นเส้นไหมผลึกสายนั้นออกมา กลายเป็นเงาเส้นไหมจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มแมลงประหลาดสีโลหิตเอาไว้ แล้วมัดแน่น
เสียง “สวบ” ดังขึ้น!
เส้นไหมผลึกเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป แมลงประหลาดสีโลหิตถูกสับออกเป็นชิ้นๆ จำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นหยดโลหิตซาดกระเซ็นพื้น
“แม้ว่าแมลงพิษโลหิตจะมีพิษร้ายแรง แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ยังกำจัดแมลงชนิดนี้ได้ยาก แต่ขอแค่ถูกดึงออกจากร่าง กลับไม่อาจโจมตีได้” หานลี่หัวเราะเย็นชาขณะเอ่ย
“ขอบคุณท่านอาวุโสที่ชี้แนะ ยามนี้ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตนาง…” สวี่เจียวมองหญิงสาวสวมชุดสีขาวที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในโลงผลึกแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามกังวล
“วางใจเถิด ยามี้แมลงพิษโลหิตถูกแมลงไล่ไปแล้ว ขอแค่พักผ่อนสักระยะ ก็จะตื่นขึ้นอีก ทว่าเกรงว่าข้าคงไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้ ช่างเถิด ข้าจะลงมืออีกครั้ง ทำให้นางได้สติมาก่อนระยะหนึ่งก็แล้วกัน” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“ตระกูลสวี่ขอบพระคุณท่านอาวุโส” สวี่เจียวดีใจอย่างบ้าคลั่ง อาวุโสตระกูลสวี่คนอื่นๆ ได้ยิน ก็มีใบหน้าซาบซึ้งใจเช่นกัน
หลังจากที่ดวงตาปีศาจตรงหว่างคิ้วของหานลี่หายวับไป ร่างกายก็พลิ้วไหว มาอยู่ห่างจากโลงผลึกแค่คืบ สายตากวาดไปที่ใบหน้าของหญิงสาวชุดขาวหน้าตางดงาม นิ้วชี้ไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย
ชั่วขณะนั้นก็พ่นเสาลำแสงสีเขียวที่แฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณมหาศาลออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจมหายเข้าไปในร่างของหญิงสาวชุดขาว และร่ายอาคมกระตุ้น ให้แล่นไปตามชีพจรของหญิงสาวผู้นี้อย่างรวดเร็ว และทะลวงจุดที่อุดตันออก
หลังจากที่หญิงสาวชุดขาวร้องครางด้วยความเจ็บปวดเบาๆ คิ้วดำขลับก็ขมวดมุ่น ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ดีดนิ้วลำแสงสีเขียวพุ่งออกมา
หลังจากที่กลิ่นหอมของยาแผ่ออกมา ลำแสงสีเขียวก็จมหายเข้าไปในริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อยของหญิงสาวชุดขาวอย่างแม่นยำ
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ทันใดนั้นก็หันกายเดินไปทางประตูตำหนัก
“ให้สหายวิญญาณโลหิตนั่งลงหนึ่งเค่อ หลังจากยาออกฤทธิ์ ก็พานางไปพบข้า”
“ขอรับ ท่านอาวุโสหาน” สวี่เจียวและพวกตอบกลับด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ
นักพรตเซี่ยมองทุกอย่างด้วยสีหน้าไร้ความรู้แต่กลับไม่ได้เดินตามหานลี่ออกมาจากประตูตำหนัก
หนึ่งเค่อต่อมาในห้องโถงของตำหนักหลักตระกูลสวี่ ในที่สุดหานลี่ก็ได้พบหญิงสาวชุดขาวที่ได้สติขึ้นมา
“สหายวิญญาณโลหิต ยามนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” หานลี่เอ่ยถามหญิงสาวชุดขาวที่เพิ่งขอบคุณตนเองด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอบคุณท่านอาวุโสหาน ‘ยาลูกกลอนบำรุงปราณ’ เมื่อครู่นั้นทำให้ชนรุ่นหลังไม่เป็นอันใดชั่วคราว” วิญญาณโลหิตหน้าซีดขาว แต่ยังคงฝืนยิ้มเอ่ยตอบ