“อ๋อ สหายเซี่ยเหลียนดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับการมาของพวกเรา” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยอย่างมีนัยยะ
“สหายทั้งสามมาจากแดนวิญญาณหรือแดนเพลิงทมิฬ?” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนพิจารณาหานลี่และพวกสองสามแวบ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“แดนวิญญาณ! แดนเพลิงทมิฬ! สหายเซี่ยเหลียนมั่นใจได้อย่างไรว่าพวกเราสามคนมาจากสองแดนนี้?” หานลี่เอ่ยถามด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“เพราะผู้แข็งแกร่งที่ส่งออกมาช่วยแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราครั้งที่แล้ว มีแค่แดนเพลิงทมิฬและแดนวิญญาณที่ยังไม่มีผู้ใดมาหาพวกเรา” บรรพชนเซี่ยเหลียนตอบกลับอย่างเย็นชา
“พวกเจ้า?” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี
“ใช่แล้ว ย่อมเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราที่ยังไม่ได้เข้าไปในจุดผนึก แม้ว่าข้าจะซ่อนตัวอยู่ในยอดเขาหมื่นบุปผา แต่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับสหายคนอื่นๆ ผู้แข็งแกร่งจากโลกภายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างพวกเจ้า หากอยากรู้สถานการณ์ที่ชัดเจนของจุดผนึกย่อมต้องมาหาพวกเราเป็นอันดับแรก” เซี่ยเหลียนตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง พวกเจ้าสามคนคือคนจากแดนวิญญาณ สหายเดาไม่ผิด ทว่าจุดผนึกเกิดเรื่องอันใดขึ้น ดูแล้วสหายเซี่ยเหลียนคงน่าจะรู้ดีสินะ?” หลังจากที่หานลี่ขบคิดชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า
“ที่แท้ก็เป็นสหายจากแดนวิญญาณ! หน้าตาของสหายดูคุ้นตานัก เคยมาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราใช่หรือไม่?” หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวตอบคำถามของหานลี่ทันใด และจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของหานลี่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามอย่างมีแผนการณ์ คาดไม่ถึงว่าจะไม่สนใจหานลี่และพวกทั้งสามที่มาจากแดนวิญญาณเลยสักนิด ราวกับว่าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองแดนเพิ่งจะจบการสู้รบกันได้ไม่นานอย่างไรอย่างนั้น”
หานลี่ได้ฟังคำนี้พลันตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา
“ตอนแรกข้าน้อยเคยมาที่แดนท่านครั้งหนึ่ง ดูแล้วสหายเซี่ยเหลียนคงจำผู้แซ่หานได้ เหตุใดต้องถามทั้งๆ ที่รู้ด้วย”
“จุ๊ๆ นายท่านคือผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หานที่ถูกหยวนเหยี่ยนลิ่วจี๋ประกาศจับ! ตอนที่เจ้าออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนแรกยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ คาดไม่ถึงว่ายามนี้จะบรรลุระดับมหายานแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสองคนนั้นถึงให้ความสำคัญกับเจ้าเช่นนี้ เช่นนั้นสหายที่อยู่ข้างกายเจ้า น่าจะเป็นสหายเซี่ยของทะเลกำเนิดมารสินะ ข้าน่าจะเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เพียงไม่กี่คนที่ไม่เคยพบพี่เซี่ยที่ทะเลกำเนิดมาร แต่ยามนี้ดูแล้วดูเหมือนจะไม่นับว่าสายนัก” เซี่ยเหลียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากที่แววตาเปล่งประกาย ก็ตกอยู่บนเรือนร่างของนักพรตเซี่ยขณะเอ่ย
ส่วนอิ๋นเย่ว์และผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นผู้นี้กลับไม่ได้มองเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าสำหรับนางแล้วสิ่งมีชีวิตระดับมหายานลงไปย่อมไม่อยู่ในสายตา
นักพรตเซี่ยมีสีหน้าแข็งทื่อ ไม่ได้เอ่ยปากตอบกลับ
หานลี่กลับเลิกคิ้วทั้งสองข้าง เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อสหายจำพี่เซี่ยได้ ก็ไม่ต้องแนะนำแล้ว เรื่องของจุดผนึกดูเหมือนสหายจะยังไม่ตอบคำถามของข้าน้อยเลยนะ?”
“เรื่องของจุดผนึกข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ๆ จะพูดคุย สหายทั้งสามตามข้าไปคุยด้านล่างเถิด” หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวกวาดตามองรอบๆ รอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าละลายหายไป
“ด้านล่าง? สหายคิดจะเชิญพวกเราสามคนเข้าไปคุยในถ้ำพำนักของเจ้าหรือ?” หานลี่กลับมองไปยังยอดเขาที่มีรัศมีลำแสงห้าสีปกคลุมอยู่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“อันใด หรือว่าสหายหานกลัวว่าข้าจะลงมืออันใดกับเจ้า?” หญิงสาวสวมชุดชาววังหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา หว่างคิ้วเผยความสวยหยาดเยิ้มออกมา
“ข้าน้อยจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร! จากฐานะของสหายเซี่ยเหลียนคงไม่ทำเรื่องเล็กๆ เช่นนี้นอกเสียจากสหายจะคิดว่าจะสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานสองคนพร้อมกันได้” หานลี่หาววอด เอ่ยอย่างดูไม่ออกว่ากำลังคิดอันใดอยู่
“เช่นนั้นก็เชิญสหายทั้งสามเถิด” หญิงสาวสวมชุดชาววังได้ยิน ก็เบี่ยงกายเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
หานลี่เองก็ไม่เกรงใจสะบัดแขนเสื้อ รัศมีสีทองม้วนวนออกมาจากทั้งสองฝั่ง พานักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์กลายเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งไปยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
ร่างกายของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนกลับเลือนรางกลายเป็นลำแสงสีเขียวบินออกไป
รัศมีลำแสงห้าสีที่ปกคลุมยอดเขาแยกออก ทำให้หานลี่และพวกทั้งสามเข้าไปในเขตอาคมต้องห้ามตามหลังหญิงสาวสวมชุดชาววังไป และร่อนลงมาตรงหน้าประตูตำหนักบนยอดเขาพร้อมกัน
และในยามนี้เงาร่างคนตรงหน้าประตูตำหนักพลันพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะมีชายร่างใหญ่สวมชุดแปลกประหลาดอีกสองคนเดินออกมา
สองคนนี้มีผิวกายดำทมิฬ สวมชุดเกราะสงครามสีเงินเทา แต่แขนกลับเผยกล้ามเนื้อที่มีลวดลายสีแดงสดเป็นเส้นๆ ออกมา ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีเงินระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีรูม่านตา ดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง
หนึ่งในนั้นหัวใสแจ๋ว ไม่มีเส้นผมสักเส้น หน้าตาโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง
อีกคนหนึ่งผมเผ้ายุ่งเหยิง สองแขนสวมกำไลหนาๆ สีทอง ท่าทางแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
ยามที่ทั้งสองกวาดสายตาไป คาดไม่ถึงว่าจะแหลมดุจใบมีด จากพลังยุทธ์ของหานลี่คาดไม่ถึงว่าอดที่จะรู้สึกเย็นเยียบที่ผิวหนังไม่ได้
“สิ่งมีชีวิตระดับมหายาน!” หานลี่ใจหายวาบ แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
อิ๋นเย่ว์ได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
ชายร่างใหญ่ผิวสีดำสองคนนี้คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน แต่กลิ่นอายบนเรือนร่างกลับไม่ต่างอันใดกับเผ่ามาร ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดสำหรับหานลี่
“สหายเซี่ยเหลียน สามคนนี้ก็คือทัพเสริมจากแดนอื่น เหตุใดหนึ่งในนั้นจึงมีพลังยุทธ์แค่ระดับผสานอินทรีย์” ชายร่างใหญ่หัวโล้นกวาดตามองหานลี่และพวกทั้งสาม กลับเหลือกตาเอ่ยด้วยเสียงแปลกประหลาดราวกับเสียงทองคำเสียดสีกับศิลาดังออกมา
“สหายหาน ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก สองคนนี้คือพี่จินชาและพี่สือติ้งจาก ‘แดนลำแสงสีขาว’ มาเร็วกว่าทั้งสามท่านครึ่งเดือนเท่านั้น พี่จินนี่คือสหายหาน สหายเซี่ยของแดนวิญญาณ” หญิงสาวสวมชุดชาววังก้าวเท้ามาข้างหน้า แล้วแนะนำด้วยรอยยิ้มบางๆ
“แดนวิญญาณ คือแดนที่ปะทะกับแดนมารของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ ข้ายังนึกว่าแดนนี้จะไม่ส่งคนมาเสียอีก” ชายร่างใหญ่หัวโล้นเบะปาก เผยไรฟันขาวจั๊วะออกมาขณะเอ่ย แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้แววเหยียดหยาม
“หากมารดาแมลงออกจากผนึกได้จริงๆ แดนต่างๆ ก็จะตกอยู่ในอันตราย แดนวิญญาณอย่างพวกเราย่อมไม่เอาแต่มองดูได้ กลับเป็นแดนลำแสงสีขาว ผู้แซ่หานเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก” หานลี่เก็บสีหน้าประหลาดใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หึ แม้แต่แดนลำแสงสีขาวของพวกเราก็ยังไม่เคยได้ยิน ดูแล้วคงเป็นกบในกะลาจริงๆ นายท่านคงไม่ได้โชคดีเพิ่งบรรลุระดับมหายานหรอกกระมัง” ใบหน้าของชายร่างใหญ่หัวโล้นฉายแววโหดเหี้ยม น้ำเสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน
ชายร่างใหญ่ผมเผ้ายุ่งเหยิงที่อยู่ด้านข้างกลับเหมือนกับนักพรตเซี่ย เอาแต่มีสีหน้าราบเรียบมิได้ปริปาก
หานลี่หาววอดยามที่กำลังคิดจะเอ่ยอันใดนั้น หญิงสาวสวมชุดชาววังกลับตัดบทสนทนาของพวกเขา
“สหายทุกท่านมาหาข้าที่นี่คงไม่ได้มาลับฝีปากกันหรอกกระมัง ในเมื่อทุกท่านล้วนมาเพราะมารดาแมลง พวกเราก็ควรเข้าไปคุยรายละเอียดกันข้างในสินะ พี่จินอยากได้ข่าวของจุดผนึกมาตลอดมิใช่หรือ ยามนี้สหายหานและพวกก็มาแล้ว ข้าจะบอกความจริงให้ฟัง”
เมื่อได้ยินคำนี้จินชาก็หน้าเปลี่ยนสีไปสองสามรอบ แต่ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ดวงตาเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“ในที่สุดสหายเซี่ยเหลียนก็ยอมบอกข่าวกับพวกเราแล้ว ข้าและพี่สือย่อมต้องล้างหูรอฟัง” เอ่ยจบชายร่างใหญ่หัวโล้นก็เรียกสหายร่วมวิถี แล้วหันกายเดินเข้าไปในประตูตำหนัก
“สหายหาน เชิญเถิด” หญิงสาวสวมชุดชาววังเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้คิดอันใด กลับหันกายไปเอ่ยเชิญหานลี่
หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ แล้วพาอิ๋นเย่ว์และนักพรตเซี่ยตามบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนเดินเข้าไปข้างใน
“คารวะใต้เท้าเซี่ยเหลียน!”
แม้ว่าตำหนักสีเขียวมรกตจะไม่ใหญ่นัก แต่ทั้งสองฝั่งทางเดินด้านหลังประตูกลับเต็มไปด้วยสาวใช้ที่สวมชุดชาววัง มีประมาณสามสิบสี่สิบคน
เมื่อเห็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนเข้ามา ก็ค้อมตัวลงทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“เตรียมผลไม้วิญญาณ ชาวิญญาณ วันนี้มีแขกมาเยี่ยมเยือน” เซี่ยเหลียนโบกมือออกคำสั่งอย่างสง่างาม
สาวใช้เหล่านั้นตอบรับแล้วถอยออกไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่และพวกก็ตามเซี่ยเหลียนเข้าไปในห้องโถงของตำหนัก
ตรงนั้นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของแดนลำแสงสีขาวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ปากขมุบขมิบถ่ายทอดเสียง อันใดอยู่
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็พานักพรตเซี่ยและอิ๋นเย่ว์ไปนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างไม่เกรงใจ
เซี่ยเหลียนเดินนวยนาดมา นั่งลงตำแหน่งหลักตรงใจกลาง
“สหายเซี่ยเหลียน พวกเรามากันครบแล้ว พูดมาเถิด” ชายร่างใหญ่หัวโล้นหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกับเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“แน่นอน ทว่าก่อนที่จะพูดข้ายังมีเรื่องอยากถามสหาย ที่ทุกท่านมาแดนศักดิ์สิทธิ์มาในครั้งนี้ เพราะอยากช่วยแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราผนึกมารดาแมลงตัวนั้นอีกครั้ง หรือว่าอยากช่วยสหายร่วมเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า” รอยยิ้มใบหน้าของเซี่ยเหลียนหุบลง แล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมเล็กน้อย
“สหายเซี่ยเหลียนนี่มันหมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่คิดว่าทั้งสองจะมีความขัดแย้งอันใดกัน?” ชายร่างใหญ่หัวโล้นหน้าเปลี่ยนสี ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หานลี่ได้ยินคำถามนี้พลันประหลาดใจ แล้วอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
“เกรงว่าต้องทำให้ทุกท่านผิดหวังแล้ว ยามนี้เวลามีจำกัด พวกเราทำได้เพียงต้องไปทำสิ่งเดียวกันเท่านั้น และไม่ว่าจะทำเรื่องใดก่อน ก็ต้องรวบรวมกำลังทั้งหมด และพยายามเต็มกำลังถึงจะมีโอกาสสำเร็จได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าไม่ได้บุ่มบ่ามบอกจุดผนึกกับพี่จินและพวกก่อน” ใบหน้าของเซี่ยเหลียนเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาเป็นครั้งแรก
“หึ แค่เพิ่มมาสองคนเท่านั้น สหายเซี่ยเหลียนก็วางใจบอกข่าวสารแล้ว!” จินชาแค่นเสียงหึ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ความจริงแล้วต่อให้สหายหานและพวกไม่มา มากสุดอีกสองสามเดือนข้าก็ต้องบอกพี่จินอยู่แล้ว เพราะว่าหนึ่งเดือนต่อจากนี้ก็คือวันที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราจะมารวมตัวกัน ถึงยามนั้นสหายกองทัพเสริมจากแดนอื่นก็ต้องเข้าร่วมการปรึกษาว่าจะแก้ไขหายนะของแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างไรเช่นกัน คิดดูแล้วเหล่าสหายจะต้องไม่ยอมพลาดแน่” เซี่ยเหลียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างไม่ปิดบังใดๆ อีก
“สหายเซี่ยเหลียน ไม่ว่าพวกเรามาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้เพราะสาเหตุใด บอกสถานการณ์ของจุดผนึกให้พวกเราฟังก่อนได้หรือไม่ จากนั้นค่อยให้พวกเราเลือกว่าทางใดดีกว่ากัน” หานลี่ฟังจนมาถึงยามนี้ กลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา