แน่นอนว่าชายชราสวมชุดคลุมสีเงินผู้นั้นก็คือมารหลายตาระดับศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น
วันนั้นเพื่อแก้แค้นให้กับบุตรชายอันเป็นที่รักที่ถูกสังหาร เขาได้ส่งมือซ้ายและมือขวาอย่างจิ่วเยี่ย และอู่ลี่ มารอสูรระดับสูงสองตนออกไปค้นหาฆาตกร
ผลคือจิ่วเยี่ยที่สะกดรอยไปตามลำพัง ถูกร่างแยกของราชามารเหนือชั้นที่สิงอยู่ในรังวิญญาณสังหาร
แม้ว่าอู่ลี่จะออกคำสั่งให้มารอสูรทั้งหมดขวางหานลี่และพวกเอาไว้ แต่เป็นเพราะแยกกันค้นหา ผลคือถูกหานลี่ใช้ยันต์เกราะเอกกลายเป็นเงาหุ่นเชิดล่อลวงถูกสังหารไปพร้อมกับลูกสมุนอีกสองตัว
ส่วนมารอสูรที่เหลือก็เตรียมการไปปิดทางเข้าเทือกเขามารสีทองเอาไว้ เพื่อทำการลอบโจมตีหานลี่และพวกโดยมีอสูรน้อยกระเบื้องเคลือบเป็นผู้นำทัพ
เช่นนั้นแม้ว่าลูกสมุนของมารหลายตาผู้นี้จะมีไม่น้อย ก็ยังไม่รู้เรื่องราวของเห็ดเซียน
ตอนนี้ได้ฟังคำนี้ แน่นอนว่าเขาพลันตกตะลึง
ส่วนคนที่เหลือแน่นอนว่าเป็นมารปีกเหล็กและมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อีกตนหนึ่งที่มีนามว่าแขนโลหิต
เมื่อเห็นมารหลายตามีสีหน้าเหมือนไม่เสแสร้ง แขนโลหิตพลันตกตะลึง
แววตาของเขาเปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบ แล้วถึงได้เอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม
“อันใด บุตรชายของพี่หลายตาเพลี่ยงพล้ำแล้ว เหตุใดเราสองคนถึงไม่รู้เรื่องนี้”
“หึ บุตรชายของข้าถูกสังหารเป็นเรื่องน่ายินดีอะไร เหตุใดต้องบอกผู้อื่นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้พวกเจ้าก็ยุ่งๆ กันอยู่ จึงไม่รู้ข่าวนั่นก็ไม่แปลก” มารหลายตามีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะ
“เฮ้อ….ตาเฒ่าเข้าใจสหายผิดแล้ว” ผู้สวมชุดคลุมโลหิตได้ยินพลันถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างขัดเขินเล็กน้อย
“เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องพูดถึง ตอนนี้ข้าสนใจเห็ดเซียนที่พวกเจ้าพูดถึงแล้ว สหายทั้งสองไม่อยากพูดอะไรหรือ?” มารหลายตาเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หึๆ ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไร เป็นแค่สัตว์เทพฟ้าดินตัวเล็กๆ ที่บุกเข้ามาในเทือกเขา แม้ว่าพวกเราจะไม่พูดถึง คิดดูแล้วอีกไม่นานสหายก็น่าจะรู้เรื่องนี้” มารปีกเหล็กหัวเราะหึๆ ออกมา พลางเอ่ยอย่างส่งๆ
“อ๋อ ไม่ทราบว่าเป็นสัตว์เทพฟ้าดินอย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พี่เหล็กและสหายแขนโลหิตสนใจพร้อมกัน แม้แต่ร่างแยกและเลือกเนื้อของโลหิตก็ยังส่งออกไป สหายทั้งสองบอกว่าไม่เป็นไร หรือว่าคิดว่าข้าหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ทหาร!” มารหลายตามีสีหน้าเคร่งขรึม ปรบมือทั้งสองดัง “แปะ” แล้วเอ่ยตะโกนด้วยเสียงเ**้ยม
ด้านนอกวิหารมีลำแสงสีดำสว่างวาบ บุรุษสวมชุดเกราะสีเขียวร่างกายผ่ายผอมคนหนึ่งสาวเท้าเดินเข้ามา ก้าวมาสองสามก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าชายชราชุดสีเงิน สองมือประสานกำปั้นพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม
“คารวะนายท่าน ไม่ทราบว่ามีรับสั่งอันใดหรือ?”
“ไปตรวจสอบประวัติของสัตว์เทพที่มีนามว่าเห็ดเซียน และตำแหน่งของมันในตอนนี้สิ?” มารหลายตาออกคำสั่งด้วยความเย็นชา
“ขอรับนายท่าน” บุรุษสวมชุดเกราะสีเขียวตอบรับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด จากนั้นร่างก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกไปจากประตูใหญ่
ปีกเหล็กและแขนโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนี้ คนหนึ่งก็ไม่ปริปาก คนหนึ่งใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนไม่ได้สนใจการกระทำของมารหลายตา
ชายชราชุดสีเงินหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสอง สีหน้าจึงยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยปากว่า
“เอาล่ะ เรื่องเห็ดเซียนก็พอแค่นี้ จากนี้ต้องคุยเรื่องสำคัญแล้ว สองสามวันก่อนข้าได้ข่าวมาว่าทางเดินเขตแดนที่ถูกพวกเราปิดผนึกเอาไว้ ดูเหมือนจะเกิดความผิดปกติขึ้น ดูเหมือนฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่ยอมลดละ เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง”
“ทางเดินเขตแดน? ตอนแรกไม่ได้ถูกนายท่านบรรพบุรุษสับกระบี่จนพังทลายไปแล้วมิใช่หรือ พวกเขาจะกล้าเคลื่อนไหวอีกได้อย่างไร” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันหน้าเปลี่ยนสี ท่าทางตกตะลึงไปเล็กน้อย
“อันใดพี่แขนโลหิตไม่เชื่อคำพูดของข้าน้อยหรือ!” มารหลายตาเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ทางเดินเขตแดนสำคัญขนาดนั้น ผู้แซ่โลหิตจะไม่เชื่อหรือ” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตพลันหัวเราะฮ่าๆ ออกมา แล้วตอบกลับ
“หากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์คนอื่น และยิ่งไปกว่านั้นยังถือสมบัติสวรรค์เอาไว้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเปิดทางเดินอีกครั้งไม่ได้” หลังจากที่มารปีกเหล็กลูบใต้คางไปมาก็มีท่าทางขบคิด
“เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นเป็นเพราะนายท่านบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในอันตราย เห็นว่าพวกเราไร้สิ้นหนทางแล้ว ถูกทหารไล่ล่าล้อมเอาไว้ ถึงได้จำใจจ้องทำลายสมบัติสวรรค์ทมิฬและใช้พลังยุทธ์ของตนเองเป็นสิ่งตอบแทนในการทลายเขตแดน แม้ว่าบรรพบุรุษคนอื่นจะมีสมบัติสวรรค์ทมิฬ แต่จะทุ่มเทกับสิ่งนี้อย่างสูญเปล่าได้อย่างไร” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“นั่นก็ไม่แน่ หากทางนั้นมีบรรพบุรุษสองคนขึ้นไป และถือสมบัติสวรรค์ทมิฬสับกันทำการโจมตี บางทีอาจจะเปิดเขตแดนได้โดยไม่ต้องได้รับบาดเจ็บ” หลังจากที่แววตาของมารหลายตาเปล่งประกายสว่างวาบ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินคำนี้แขนโลหิตและมารปีกเหล็กพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
“ช่างเถิด ทางเดินนั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก แม้ว่าจะเปิดทางเดินได้ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี จะสู้หรือจะหนีก็ให้นายท่านบรรพบุรุษศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจก็แล้วกัน เขาอาจจะตื่นได้ตลอดเวลา” มารปีกเหล็กถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วหัวเราะขมขื่นขณะเอ่ย
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ จากอิทธิฤทธิ์ของพวกเราไม่อาจยับยั้งความเปลี่ยนแปลงของเขตแดนได้ ทว่านายท่านบรรพบุรุษอาจจะมีวิธียับยั้ง” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอ่ยด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
มารหลายตาได้ยินแล้วก็ลูบเคราพลางพยักหน้า ขยับริมฝีปากดูเหมือนคิดจะเอ่ยอะไรอีก
แต่ในยามนั้นเองประตูหินสีดำสูงประมาณสิบจั้งที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็เปล่งแสงสว่างวาบ อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา เปล่งแสงสว่างวาบไม่แน่นอน
“นายท่านบรรพบุรุษตื่นแล้ว!”
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดของประตูหิน ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
ทันใดนั้นมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา ยืนประสานมือหันหน้าไปทางประตูหิน
ประตูหินมีลำแสงไหลวนโคจรอยู่ หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ในที่สุดลำแสงก็หม่นแสง
ในเวลาเดียวกันอักขระพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ชั่วพริบตาก็หม่นแสง สุดท้ายก็สลายหายไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มารทั้งสามพลันจ้องไปยังประตูหินด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ ไม่มีท่าทีร้อนใจเลยแม้แต่น้อย
ประตูหินยักษ์กลับเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ฉับพลันนั้นเสียง “ครืด” ดังขึ้น ประตูหินเปิดออกโดยอัตโนมัติ
มารทั้งสามมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“อ๋อ คาดไม่ถึงว่าทั้งสามจะอยู่ที่นี่ ต้องขอบคุณพวกเจ้าที่ให้ความสำคัญจริงๆ เข้ามาก่อนเถิด” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากด้านหลังประตูหิน เสียงเย้ายวนเป็นอย่างยิ่ง มีความรู้สึกอ่อนหวานอย่างที่อธิบายไม่พูด ทำให้พูดคนได้ฟังแล้วอดที่จะตื่นเต้นอยากรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้านายไม่ได้
และหลังจากที่ประตูหินเปิดออกได้ครึ่งหนึ่ง หมอกลำแสงสีชมพูก็เปล่งแสงสว่างวาบ เผยความลึกลับออกมา
“ยินดีกับการตื่นจากการหลับใหลของนายท่านบรรพบุรุษ พวกเราขอเข้าเฝ้าพระองค์” มารหลายตาเป็นตัวแทนของคนที่เหลือสองคนค้อมตัวแล้ว ตอบกลับอย่างนอบน้อม
จากนั้นมารทั้งสามก็ระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ และเดินเคียงไหล่กันเข้าไปในประตูหิน
แต่พวกเขาเพิ่งจะเหยียบเข้ามาในประตูหิน ก็รู้สึกเพียงว่าหมอกลำแสงสีชมพูตรงหน้าเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเข้ามายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสไร้กลุ่มเมฆ พื้นดินเป็นสีเขียวขจีไร้ขอบเขตทอดยาวต่อเนื่องไกลออกไป ท้องฟ้าผืนดินของที่นี่ดูเหมือนจะกว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาอย่างไรอย่างนั้น
บนทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไปกลับมีต้นไม้ดอกขนาดยักษ์สูงร้อยจั้งต้นหนึ่ง
ต้นไม้ต้นนี้เป็นสีม่วงออก บนกิ่งมีดอกไม้สีชมพูนิรนามผลิดอกอยู่ไปทั่ว ราวกับดอกบัวยักษ์ ทุกดอกมีขนาดเท่าปากชาม
ด้านล่างต้นไม้ต้นนี้กลับมีเงาร่างสีขาวงดงามราวกับไม่ใช่คนจากโลกมนุษย์อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
แม้ว่าต้นไม้ดอกยักษ์จะดูห่างไกลมาก หญิงสาวก็หันหลังให้ทั้งสามคน แต่เงาแผ่นหลังที่อรชรอ้อนแอ้นก็เพียงพอจะทำให้บุรุษกว่าครึ่งในใต้หล้าต้องหลงใหลอย่างบ้าคลั่ง
มารทั้งสามเห็นหญิงสาวผู้นี้กลับคารวะพร้อมกันอยู่ไกลๆ
“ในเมื่อมาแล้วก็มาคุยกันใกล้ๆ กันเถิด” หญิงสาวผู้นั้นหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา แขนเรียวยกขึ้นอย่างสง่างาม คาดไม่ถึงว่าเด็ดดอกไม้ยักษ์สีชมพูที่อยู่เหนือหัวไปแค่คืบลงมา จากนั้นก็โยนไปด้านล่างอย่างส่งๆ
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ดอกบัวยักษ์สีชมพูแค่หมุนวน ก็เปล่งเสียงระเบิดอึกทึกออกมา กลายเป็นหมอกลำแสงสีชมพูม้วนวน
มารทั้งสามรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีลำแสงสีชมพูเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศรอบด้านรางเลือน ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวห่างจากต้นไม้ดอกยักษ์ไปไม่ถึงสิบจั้ง
ทั้งสามพลันตกตะลึง แต่จากนั้นก็คารวะด้วยความดีใจระคนร้อนรนอีกครั้ง
“ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าเองก็ติดตามข้ามาหลายปี น่าจะรู้แล้วว่าข้าไม่ชอบมากพิธี” หญิงสาวไม่ได้หันกายกลับมา แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนได้ยินแล้วเกิดความรู้สึกชื่นชม
“ขอบพระคุณนายท่านบรรพบุรุษ ยินดีกับนายท่านที่ฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ได้!” มารทั้งสามกลับไม่กล้าดูแคลน หลังจากค้อมตัวลงอีกครั้ง ถึงได้หยัดกายลุกขึ้น
“ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นฟูอิทธิฤทธิ์ ตอนนี้ข้ามีพลังปราณแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น พลังยุทธ์ที่เหลือไม่ได้ฟื้นฟูได้ด้วยการนอนหลับสนิท จำต้องอาศัยพลังจากภายนอก” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีท่าทีจนปัญญาไปเล็กน้อย
“ภายนอก?” เมื่อได้ยินคำนี้ ชายชราชุดสีเงินและพวกอดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้
“ใช่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ของภายนอกธรรมดาๆ แต่แดนวิญญาณนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา คิดดูแล้วคงหาได้” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยพึมพำ เงยหน้าขึ้นมองดอกไม้ทั้งหมดบนต้นไม้ยักษ์ ดูเหมือนว่าจะไม่มั่นใจนัก
“นายท่านบอกมาเถิด ไม่ว่าเป็นสิ่งใด ขอแค่แดนวิญญาณมี ข้าน้อยจะต้องหาพวกมันมาให้ได้” มารปีกเหล็กใช้สองมือประสานกำปั้น แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจเป็นพิเศษ
มารที่เหลือทั้งสองเองก็แสดงความจริงใจออกมาเช่นกัน
“หึๆ ความหวังดีของพวกเจ้าข้าขอรับไว้ แต่ที่นี่ไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา แม้ว่าพวกเจ้าจะอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยในแดนวิญญาณไม่อาจมองฐานะของเจ้าออก แต่หากพบกับผู้ที่มีพลังยุทธ์ไม่ต่างกัน กลับไม่อาจปกปิดฐานะได้ ถึงยามนั้นก็รักษาชีวิตได้ยาก จะไปหาของแทนข้าได้อย่างไร มีเพียงข้าต้องออกไปเองสักรอบ” หลังจากหญิงสาวครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างตัดสินใจ
“นายท่านจะออกไปด้วยตัวเอง?”
“เป็นไปไม่ได้! พลังยุทธ์ของนายท่านบรรพบุรุษยังไม่ฟื้นฟู หากไปเจอกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันจะทำอย่างไร!”
“นายท่านจะต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน”
……
สามมารได้ยินคำพูดของหญิงสาว ชั่วขณะนั้นก็เอ่ยชักจูงอย่างต่อเนื่อง ล้วนมีท่าทีซื่อสัตย์ต่อหญิงสาวผู้นี้
“วางใจ โอกาสที่จะพบกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเข้าในแดนวิญญาณมีอยู่น้อยมาก ผู้ที่ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับเดียวกันกับข้า ปกติแล้วจะหลบฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในถ้ำพำนัก เพื่อรับมือกับเคราะห์สวรรค์ต่างๆ ไหนเลยจะออกมาเคลื่อนไหวง่ายๆ และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าข้าจะมีพลังปราณแค่ครึ่งเดียว หากปะทะกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันก็อาจจะต้านทานไม่ได้ แต่หากหนีละก็ กลับทำได้สบายมาก พวกที่สามารถบรรลุขั้นสุดท้ายได้ตลอดเวลาอย่างพวกเรา ไหนเลยจะถูกคนอื่นสังหารได้ง่ายๆ” เงาสีขาวของหญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา