ทุกส่วนของทุ่งบุปผาสวรรค์ทมิฬล้วนได้รับผลกระทบจากการกลายพันธุ์ของเหล่าพรรณไม้ ภาพหลอนที่เกิดจากกลีบของดอกไม้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อีกทั้งภายใต้การพัดโหมอย่างบ้าคลั่งนั้น กลีบดอกไม้ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นเกราะป้องกันผลึกสีชมพูขนาดใหญ่ป้องกันทุกด้าน โดยทุกคนล้วนไปหลบอยู่ภายใต้การปกป้องของเกราะนั้น
ตัวของหานลี่หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ ก็เปลี่ยนร่างเป็นลิงยักษ์สามหัวที่บนร่างกายมีลวดลายสีเงินชั่วขณะ แล้วส่งเสียงร้อง “ฮึ่ม” เสียงดังออกมา สำแสงห้าสีก็ไหลตามแขนทั้งหกของวานรยักษ์ไปยังกระบี่วิญญาณ แล้วฟันออกไปทางทุ่งบุปผาสวรรค์ทมิฬอย่างแม่นยำ
ภายใต้เสียงฟันที่ชัดเจนของกระบี่มรกต บนพื้นผิวปรากฏอักษรสีเงินส่องสว่าง จนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองโดยตรง
เมื่อแสงทั้งหมดมาบรรจบกันตรงจุดเดียว กระบี่วิญญาณก็กลายเป็นยักษ์สูงมากกว่าสิบจั้งอย่างน่าอัศจรรย์ อักษรสีเงินบนพื้นผิวพวกนั้นก็บิดเบือนปรวนแปรอย่างไม่หยุดนิ่ง สักพักกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทั่วไป
หลังเสียงคำรามอันทุ้มต่ำ หานลี่ที่มีร่างกายเป็นลิงยักษ์ก็ตวัดกระบี่ฟันผ่าความพร่ามัวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นวงแหวนเวทย์สีเขียวก็ปรากฏออกมาจากทุกทิศทางอย่างเงียบเชียบ
ในเกือบจะเวลาเดียวกัน นักรบกระดูกขาวพวกนั้นที่อยู่ทั้งสี่ด้านก็เริ่มลงมือทันที หอกกระดูกทั้งหมดถูกปล่อยออกมาพร้อมกันอย่างโหดเหี้ยม
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น!
หอกกระดูกที่ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายความมืดมิดที่ถูกยิงออกมา ที่ปลายหอกมีแสงกะพริบของไอมืด ทำให้ผู้คนตกอยู่ในอารมณ์หมองหม่น
ตอนที่หอกกระดูกถูกปล่อยออกมา บนร่างกายของนักรบกระดูกขาวพวกนั้นมีประกายไฟปรากฏเกิดเป็นเสียงดังอู้อี้ดังอยู่ครู่หนึ่ง แรงที่คอยค้ำยันนักรบกระดูกขาวหายไปอย่างรวดเร็ว หลังสิ้นเสียงของการพังทะลาย นักรบกระดูกขาวพวกนั้นก็กลายเป็นผุยผง
ในเวลาถัดมา หอกกระดูกพวกนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไปยังวงแหวนมรกต
เสียงดังสนั่นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ไอสีดำและแสงสีเขียวได้รวมกันเป็นหนึ่ง พลังกฎแห่งอาคมม้วนตัวเข้าสู่ความว่างเปล่าโดยตรง ทำให้ทั้งโลกและสวรรค์ตกอยู่ในความโกลาหล
หานลี่ฟันกระบี่ออกมาแม้ว่ามันจะมีพลังมหาศาล แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูระดับมหาเมธีมากกว่าหนึ่งร้อยคนขึ้นไป ต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมด ก็เกรงว่ามิอาจจะต้านทานได้
วงแหวนเวทย์สีเขียวที่เกิดจากพลังของกระบี่ต้านทานได้เพียงครู่หนึ่ง ก็สลายหายไปพร้อมกับหอกกระดูกจำนวนมาก
สำหรับหอกกระดูกที่เหลืออยู่ไม่กี่สิบอัน เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ แล้ว ส่งเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีดำหายไปในทุ่งบุปผาที่กำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
เงียบสงบ…
รูม่านตาของเป่าฮวาหดลง นิ้วหยกนิ้วหนึ่งที่อยู่ในแขนเสื้องอลงเล็กน้อย ความผันผวนก็ค่อยๆ ทุเลาลงจนหายไป
ในเวลานี้ทุ่งบุปผาที่แต่เดิมหมุนวนอยู่ กลับมารวมกันอีกครั้ง ลูกบอลแสงสีดำหลายสิบลูกพลันโผล่ออกมากลางอากาศ
ลูกบอลเหล่านี้กำลังหมุนติ้วแล้วรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ย้อมท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ภายในทุ่งบุปผาให้เป็นสีดำราวน้ำหมึก หลังจากมีแสงแวบหนึ่ง ก็หายไปอย่างคลุมเครือในเวลาไล่เลี่ยกัน
มารดาแมลงเมืองวิญญาณที่แต่เดิมปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะเริ่มหมดพลังทั้งหมดลง เริ่มทยอยจางหายไปราวกับม้วนหนังสือ ค่อยๆ เผยให้เห็นฉากทั้งหมดที่ราวกับอยู่ในขุมนรกใต้ทะเลลึก
เปลวไฟยักษ์สองดวง ดวงหนึ่งสีเขียวดวงหนึ่งสีเหลืองส่องประกายอยู่ใต้น้ำ เกิดความผันผวนของเขตอาคมแผ่กระจายอย่างเข้มข้น คาดไม่ถึงว่าภายในนั้นมีเป่าฮวา หานลี่และนักพรตเซี่ยกันอยู่สามคน
เป่าฮวาและหานลี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้น คนหนึ่งถือตะปูโบราณที่มีร่องรอยคราบสนิมด้วยมือข้างเดียว อีกคนถือกระบี่สีเหลืองด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีในครั้งนี้แม้ทั้งสองจะพึ่งพาสมบัติของทุ่งบุปผาสวรรค์ทมิฬเพื่อความปลอดภัย แต่ทุ่งบุปผาสวรรค์ทมิฬก็ยังถูกทำลายโดยสมบูรณ์
สำหรับนักพรตเซี่ยที่ไม่รู้จะกลับคืนร่างมนุษย์เมื่อใด เขายืนอยู่ใกล้ฝั่งของหานลี่ พลังแห่งสายฟ้าบนตัวเขายังคงสั่นไหวอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตาข่ายยักษ์สีเทาที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่ได้หายไปแล้ว
ไม่รู้ว่าที่ตาข่ายยักษ์นี้หายไป เกิดจากการปะทะกันของพลังของพลังกฎแห่งอาคมเมื่อครู่ หรือว่าถูกสลายเพราะพลังบางอย่างที่นักพรตเซี่ยปล่อยออกมา
ณ ที่สูงตรงข้ามพวกเขาทั้งสามคน มีร่างขนาดใหญ่ของหนอนเพลี้ยตัวแม่ลอยอยู่กลางน้ำนิ่งๆ แต่ดวงตาที่มีแสงสีทองของแม่นางผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางกำลังจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งสาม ในรูม่านตานั้นขมุกขมัวแลส่งแสงประหลาดออกมา
“คิดไม่ถึงว่า ทั้งสามท่านจะมีของวิเศษของทุ่งบุปผาสวรรค์ทมิฬถึงสองอย่าง อีกทั้งยังมีความเข้าใจผิวเผินเกี่ยวกับแดนวิญญณสวรรค์ทมิฬด้วย ไม่แปลกใจเลยที่ร่างดั้งเดิมทั้งสองของข้าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกท่าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าหุ่นเซียนปลอมนั่น พวกเจ้าสองคนน่าจะเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในโลกมนุษย์ในช่วงหลายหมื่นปีมานี้” หนอนเพลี้ยตัวแม่กล่าวอย่างช้าๆ ทุกคำพูดเผยถึงความตั้งใจมุ่งมั่นบางอย่าง
“ขอบคุณสำหรับคำชม ข้าขอน้อมรับด้วยความยินดี แต่ถ้าไม่ใช่เพราะพลังปราณของนายท่านยังไม่ฟื้นคืน เขตแดนสวรรค์ทมิฬไม่สามารถใช้พลังได้มากเต็มที่ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะมีสมบัติสวรรค์ทมิฬอยู่ในมือ เกรงว่าก็จะมิอาจทำลายแดนวิญญาณของนายท่านได้ ดูเหมือนว่านายท่านจะถูกบังคับให้ตื่นขึ้นมา และพลังยุทธ์ทั้งหมดในร่างจะเหลืออยู่ไม่มาก” หลังจากเป่าฮวาถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางก็พูดขึ้นมาด้วยดวงตาเย็นชา
“โอ้ ฟังที่แม่นางผู้นี้พูดแล้ว เหมือนว่าเจ้าจะคิดว่าตนเองได้เปรียบข้าในการต่อสู้เมื่อครู่แล้วงั้นหรือ” หนอนเพลี้ยตัวแม่หัวเราะคิดคักอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“ข้าไม่รู้ว่าเมื่อครู่นับเป็นความได้เปรียบหรือไม่ แต่ที่รู้คือเกรงว่าท่านนักพรตจะไม่สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ใดๆ ออกมาได้ในขณะนี้ นั่นคือความจริง” หลังจากที่เป่าฮวาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วคำนวณบางอย่างก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร…อะไร…นี่มันอะไรกัน!” หนอนผีเสื้อที่ตอนแรกทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าก็เปลี่ยนไป แล้วยกขาหน้าข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหันแสดงอาการโกรธเคืองออกมาอย่างสุดขีด
เพียงแค่เห็นว่าบนขาหน้าข้างนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มีตะปูเล่มเรียวๆ สีเหลืองนวลปักอยู่ดอกหนึ่ง ส่วนที่ไม่ได้ปักอยู่ในขา ส่องแสงกะพริบสีนวลออกมาจางๆ
เป่าฮวาที่ยามนี้มีรอยยิ้มลึกลับประดับอยู่บนใบหน้า นางสะบัดตะปูจักรพรรดิแห่งดินที่ถืออยู่ในมือไปที่ฝ่ายตรงข้าม
แสงทองสว่าง!
ตะปูเรียวที่อยู่บนขาหน้าของหนอนเพลี้ยตัวแม่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นตะปูยักษ์ยาวประมาณหนึ่งฉื่อและส่งแสงสีเหลืองอันน่าอัศจรรย์ออกมา มีพลังกฎแห่งอาคมฉวยโอกาสปกคลุมหนอนเพลี้ยตัวแม่ที่อยู่ด้านล่าง ในเวลาเดียวกันอักษรรูนสีเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา
เกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ขึ้น!
ภายใต้อักษรรูนที่นับไม่ถ้วน หนอนยักษ์ที่เดิมมีขนาดเท่าภูเขาได้หดตัวนับครั้งไม่ถ้วนภายใต้พลังกฎแห่งอาคม ในชั่วพริบตาแปรเปลี่ยนเป็นหนอนขนาดทั่วไปที่มีขนาดหลายจั้ง
“สมบัติสวรรค์ทมิฬ…แท้จริงแล้วพวกเจ้าก็มีสมบัติชิ้นที่สาม! พวกเจ้าลงมือกับร่างกายข้าตอนไหนกัน…ข้านึกออกแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ฟ้าดินบรรจบกัน ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย ที่แท้เจ้าแอบฉวยโอกาสช่วงนั้นสังเวยมันไปนั่นเอง” แม้ว่าหนอนเพลี้ยตัวแม่จะรู้สึกมืดมนมาก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ก็มีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้น เมื่อลองกระตุ้นพลังอาคม ทันใดนั้นพบว่าพลังปราณที่แท้จริงจับตัวกันเป็นก้อน ไม่สามารถไหลเวียนได้ สีหน้าพลันมืดครึ้มลง
“ฮ่าๆ สมบัติเสวียนเทียนชิ้นที่สาม? นายท่านอาจจะพูดผิดไปกระมัง เดิมตะปูจักรพรรดิแห่งดินถือเป็นสมบัติคู่ สองสิ่งรวมเป็นหนึ่ง เมื่อนั้นตะปูจะสามารถแสดงพลังทั้งหมดได้” เป่าฮวาพูดกลั้วหัวเราะพลางขยับข้อมือไปด้วย ตะปูยักษ์สีเหลืองดอกนั้นก็โผล่ออกมาจากมืออีกครั้ง ส่งออกไปอย่างไม่ลังเลสักพักก็แปรเปลี่ยนเป็นหนามแหลมคม
ในเวลาถัดมา หัวของหนอนเพลี้ยตัวแม่ก็แกว่งไปมา แสงสีเหลืองปรากฏขึ้น ตะปูจักรพรรดิ์แห่งดินดอกที่สองก็ล่วงหล่นลงมา
แม้ว่าหนอนตัวนั้นจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย แต่หากถูกตรึงด้วยตะปูจักรพรรดิ์แห่งดินทั้งสองดอกในทีเดียว เกรงว่าพลังอาคมแม้เพียงสายเดียวในร่างกายก็ไม่สามารถเดินพลังได้
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่คาดไม่ถึงของเป่าฮวา หนอนเพลี้ยนตัวแม่กลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ขาหน้าข้างหนึ่งกลายเป็นเพียงภาพเบลอ
ปัง!
ตะปูจักรพรรดิแห่งดินดอกที่สองร่วงหล่นราวกับฟางหญ้า โดยพื้นฐานเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใกล้ร่างกายของหนอนเพลี้ยตัวแม่แม้แต่นิด
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นอีกครั้ง
ขาหน้าอีกข้างที่มีรูปลักษณ์เหมือนแขนมนุษย์ถูกยกขึ้นมาเบาๆ สำรวจสักเล็กน้อย แล้วหยิบเอาตะปูโบราณสีเหลืองที่ร่วงออกไปแล้วนำกลับมาถือไว้ในมืออย่างแผ่วเบา
“ข้าก็ว่าทำไมสมบัติสวรรค์ทมิฬในมือของเจ้าจึงพลังอ่อนเยี่ยงนี้ ที่แท้มันคือสมบัติคู่ ดีล่ะ คราวนี้ข้ายังขาดอาวุธป้องกันตัวอยู่พอดี ตะปูจักรพรรดิแห่งดินคู่นี้ก็นำมาใช้เป็นอาวุธก่อนแล้วกัน” หนอนเพลี้ยตัวแม่มองไปที่ตะปูโบราณในมือของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แต่ก็พูดอย่างใจเย็น
“เป็นไปไม่ได้…พลังปราณแท้ส่วนมากของเจ้าได้ถูกปิดกั้นไปแล้ว เหตุใดจึงยังทำเรื่องเช่นนี้ได้” เป่าฮวาจ้องเขม็งไปยังหนอนเพลี้ยตัวแม่ฝั่งตรงข้าม นางอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
นางปกปิดตะปูจักรพรรดิดินอันที่สองเอาไว้ตั้งแต่ต้น ถือว่ามันเป็นไพ่ตายของนาง แต่หลังจากการวางแผนอย่างอุตสาหะ เหตุใดจึงกลับตาลปัตรเช่นนี้
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของหญิงสาวตกสู่ความสิ้นหวังไม่มีความเชื่อว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อีกแล้ว
หานลี่ที่อยู่ด้านข้าง เห็นว่าหนอนเพลี้ยตัวแม่ยกตะปูจักรพรรดิดินขึ้นเบาๆ คิ้วของเขาก็ขยับเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏสีหน้าที่เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“นับว่าพวกเจ้าโชคไม่ดีแล้วล่ะ หากเจอข้าก่อนหน้านี้สักร้อยปีก่อน เมื่อสักครู่ ไม่แน่ว่าแม่นางท่านนี้จะสามารถทำสำเร็จก็ได้ แต่ตอนนี้ล่ะ ฮ่าๆ เกรงว่าต่อให้ข้าจะไม่มีพลัง ข้าก็สามารถฆ่าพวกเจ้าสามคนได้ ไม่ใช่เรื่องหนักมืออันใด” หนอนเพลี้ยตัวแม่กำตะปูโบราณในมืออย่างแน่นๆ แล้วพูดออกมาอย่างเกียจคร้านหนึ่งประโยค กลิ่นอายน่ากลัวที่ปล่อยออกมาจากร่างกายนางในตอนแรกได้หายไปทั้งหมดแล้ว แต่พลังที่มองไม่เห็นอีกอย่างได้ปกคลุมพวกของหานลี่จากระยะไกล ทำให้ทั้งสามคนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย
คำพูดเมื่อครู่ได้มาถึงหูของเป่าฮวาทุกคำ ทำให้หน้าของนางซีดเผือกขึ้นและมีท่าทีลังเลไม่แน่นอนเล็กน้อย
“ท่านนักพรตมั่นใจในคำพูดของตนมากเช่นนี้ หรือไม่เป็นเพราะร่างกายที่มีอำนาจมากกดขี่มาก” แสงในตาหานลี่สว่างวูบหนึ่ง แล้วถามออกมาอย่างช้าๆ
“เจ้าเป็นคนที่เข้าใจคน ในที่สุดก็สังเกตเห็นถึงสิ่งนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจำศีลอยู่ที่นี่ตลอดเพียงเพื่อจะบำเพ็ญเพียรและหาทางทำลายผนึก? ฮ่าๆ ข้าจะบอกความจริงกับพวกเจ้าทั้งสอง ดูเหมือนหากข้าอยากจะทำลายผนึกออกไปจริงๆ ข้าก็สามารถทำลายมันอย่างง่ายดายเมื่อหมื่นปีที่แล้วแล้ว ไม่เห็นต้องมาจำศีลอยู่ที่นี่เลย เพียงแต่ข้าต้องการยืมพลังอันลึกลับของผนึกโบราณนี้เพื่อขัดเกลาร่างกระดูกหยกที่แท้จริงและหลอมรวมเข้ากับร่างที่แท้จริง วันนี้ข้าได้ร่างที่แท้จริงแล้ว ต่อให้ข้ายืนนิ่งๆ แล้วปล่อยให้พวกเจ้าโจมตี พวกเจ้าก็ไม่สามารถทำร้ายร่างกายของข้าได้ ด้วยร่างที่แท้จริงนี้ ข้าก็สามารถออกเดินทางท่องโลกตามลำพังได้” หอนเพลี้ยตัวแม่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วพูดด้วยความทะนงตน
สิ้นเสียงพูด ขาหน้าของหนอนเพลี้ยตัวแม่ทั้งหมดก็ฟาดฟันไปในอากาศ เกิดเสียงเสียดสีกับอากาศดังกระหึ่มขึ้นมา มีจุดสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้วแตกละเอียดไปนับไม่ถ้วน
แรงดูดมหาศาลปรากฏขึ้นในรอยแตก พลังกฎแห่งอาคมและอักษรรูนสีเหลืองเข้ามาปกคลุมทั่วร่างกาย หลังจากส่งเสียงดังอีกครั้ง รอยแตกทั้งหมดก็ปิดลงเหมือนก่อนหน้าอย่างเงียบๆ
ไม่กี่นาทีต่อมา หนอนยักษ์ก็ใช้ฝ่ามือที่มีรูปร่างเหมือนคนลูบขาหน้าของมัน แล้วดึงตะปูโบราณที่ฝังลึกเข้าไปออกมา
“เป็นไปไม่ได้ ตะปูจักรพรรดิแห่งดินนี้นานมาแล้วถูกเพื่อนของข้าจำนวนมากขัดเกลามันมาเป็นเวลานาน เหตุใดมันจึงถูกดึงออกมาได้เช่นนี้” เป่าฮวาพึมพำด้วยใบหน้าที่ราวกับกระดาษสีเทา