AtW ตอนที่ 39 เทคนิคลับแห่งอัศวิน
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
หลังจากการโจมตีของพวกออร์คทำให้ผู้ปกครองเมืองอย่างไวเคานต์ดิ้กเคนรู้สึกเครียดเป็นอย่างมาก ในฐานะที่เป็นอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ ไวน์เคานต์ดิ้กเคนอยากที่จะใช้ดาบของตัวเองฝาดฟันออร์คที่จะพยายามบุกเมืองฮาเวสอยู่ตลอด ตอนนี้ดิ้กเคนไม่อยากที่จะนั่งอยู่เฉยๆ รอฟังข่าวที่พลเรือนและขุนนางทั้งหลายถูกพวกออร์คโจมตีอีกต่อไป
เมื่อวานก่อน ไวเคานต์ดิ้กเคนได้รับซากศพของโวร์แกนพร้อมกับแผนที่ที่ถูกส่งมาจากปราสาทแฮรี่ หลังจากที่ตรวจสอบดิ้กเคนก็พบว่าแผนที่ที่ได้รับมอบมาคือแผนที่ที่แสดงถึงที่ตั้งแคมป์ของพวกออร์นั่นเอง พวกออร์คพึ่งจะรวมตัวกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกมันพร้อมที่จะออกโจมตีดินแดนมนุษย์ด้วยสัตว์บินของพวกมันแล้ว และตอนนี้เองดูเหมือนการโจมตีของพวกออร์คนั้นเกือบจะจบแล้ว ถ้าหากไวเคานต์ดิ้กเคนไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการแก้แค้นแล้วละก็ ในฐานะที่เป็นไวเคานต์ของท่านดยุคแล้วคงจะต้องทำให้ท่านดยุคนั้นอับอายอย่างแน่นอน แน่นอนว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมส่งผลถึงสถานะของเขาเอง
ในเช้าวันนี้เองไวเคานต์ดิ้กเคนตัดสินใจที่จะส่งทหารไปกว่า 1000 นายเพื่อที่จะไปดักโจมตีตำแหน่งที่ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้บนแผนที่ ในครั้งนี้ไวเคานต์ดิ้กเคนได้ส่งอัศวินชั้นยอด 3 คน และอัศวินธรรมดาอีก 30 คนไปกับกองทัพครั้งนี้ด้วย กองอัศวินที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมากนี้มีกำลังการรบเทียบเท่ากับทหารชั้นยอดกว่า 1000 คน ด้วยพลังต่อสู้ของอัศวินแต่ละคนแล้วพวกเขาจะต้องต้านทานการโจมตีของพวกออร์คได้อย่างแน่ยนอน
จากจดหมายของอัศวินมาแชล อัศวินมาแชลได้บอกว่าข้อมูลที่ได้ทั้งหมดนี้มาจากลูกบุญธรรมของเขานั่นเอง ปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอาเบลได้สังหารวูฟไรเดอร์ตัวนี้ด้วยกับดักหมียักษ์ของเขา เท่าที่ไวเคานต์ดิ้กเคนรู้ อาเบลคนนี้เป็นคนที่เพิ่งจะได้ฉายาปรมาจารย์ช่างตีเหล็กจากเมืองฮาเวสเมื่อมาไม่นานมานี้ ช่างตีเหล็กที่ชื่อว่าอาเบลสามารถที่จะสร้างอาวุธเวทย์มนตร์ได้นั่นเอง ไวเคานต์ดิ้กเคนกำลังลังเลอยู่ว่าเขาจะไปขอให้ปรมาจารย์คนนี้สร้างอาวุธเวทย์ให้กับตัวเขาเองดีไหม “ท่านลอร์ดครับ คนจากปราสาทแมธริวต้องการที่จะรายงานการสู้รบที่เกิดขึ้นครับ” พ่อบ้านพูดขึ้น
เมื่อไวเคานต์ดิ้กเคนได้ยินคำขอเข้าพบจากปากพ่อบ้าน เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีปราสาทอีกหลังถูกโจมตีแล้ว ดิ้กเคนไม่รอช้าพูดตอบกลับไปว่า “ให้เขาเข้ามา”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งบริวารรับใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามา ตอนนี้เขากำลังร้องไห้ในขณะที่เดินเข้ามาด้วย “นายท่านของผม นายท่านแมธริวและสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ถูกพวกออร์คสังหารตายหมดแล้วครับ”
การที่จะมีตระกูลขุนนางใดตระกูลขุนนางหนึ่งถูกสังหารฆ่าล้มล้างตระกูลไปไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ไวเคานต์ดิ้กเคนรู้จักครอบครัวตระกูลแมธริวดี แม้ว่าตระกูลของพวกเขาจะไม่ใหญ่อะไรมาก แต่ที่ดินที่พวกเขาครอบครองนั้นก็กว้างประมาณ 100 ตารางไมล์ นอกจากนี้ตระกูลแมธริวเองก็ยังมีประวัติอันดีงามมากว่า 100 ปีอีกด้วย
“บอกฉันเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ไวเคานต์ดิ้กเคนพูดอย่างร้อนใจ อาจจะเป็นเพราะบริวารคนนี้เจอกับประสบการณ์ที่โหดร้ายมาจึงทำให้เขาพูดอย่างติดๆ ขัดๆ นั่นเอง
มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะส่งพ่อบ้านเคนคนสำคัญมาที่เมืองฮาเวสในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้
ด้วยการโจมตีที่เพิ่งจะเกิดขึ้นทำให้เจ้าของปราสาทอย่างแมธริวไม่สามารถที่จะออกจากปราสาทได้ แต่การที่จะส่งพ่อบ้านมาเพียงคนเดียวนั้นแถมพ่อบ้านคนนี้ยังรายงานสถานการณ์อะไรไม่ได้อีกด้วยเป็นอะไรที่ไม่มีประโยชน์เลยนั่นเอง
บริวารรับใช้คนนี้กำลังอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับปราสาทแมธริว “เมื่อเย็นวันก่อนกลุ่มของพวกวูฟไรเดอร์ได้บุกโจมตีปราสาท ในตอนที่ประตูทางเข้าของปราสาทแมธริวถูกเปิดออก พวกวูฟไรเดอร์ไม่รอช้าพวกมันรีบบุกเข้ามาในปราสาททันที เมื่อพวกมันเข้ามาปราสาทได้แล้วพวกมันก็ได้สังหารทุกคนไป ในตอนนั้นเองปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอาเบลได้ผ่านมาที่ปราสาทพอดี อาเบลได้ช่วยปราสาทจากการโจมตีของพวกออร์คไว้ได้ เพราะเหตุนีผมถึงต้องมารายงานทุกอย่างกับท่านลอร์ด”
สุดท้ายแล้วบริวารรับใช้คนนี้ก็สามารถอธิบายทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
ปรมาจารย์อาเบลอีกแล้วอย่างงั้นหรอ? ไวเคานต์ดิ้กเคนดูตกใจเล็กน้อย การช่วยเหลือครอบครัวของขุนนางที่ตกอยู่ในอันตรายจะได้รับการชื่นชมและความเคารพยกย่องจากพวกขุนนางทั้งหลายนั่นเอง แม้ว่าอาเบลจะไม่สามารถช่วยลอร์ดแมธริวไว้ได้แต่ปราสาทแมธริวก็ได้รับการปกป้องเอาไว้อยู่ดี
ดูเหมือนว่าอาเบลจะต้องได้รับรางวัลตอบแทน คุณงามความชอบของเขาในตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ผลงานใน 2 ครั้งนี้ของอาเบลมีมากเพียงพอที่จะได้รับรางวัลพิเศษจากท่านดยุค มีทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับรางวัลหายากแบบนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกษัตริย์ไม่กล้าพอที่จะให้อำนาจกับเหล่าขุนนางนั่นเอง ตอนนี้ขุนนางส่วนใหญ่มีอำนาจเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะถ่วงดุลอำนาจเอาไว้ที่ผ่านมากษัตริย์คนนี้จึงพยายามที่จะลดทอนอำนาจและบทบาทของพวกขุนนางอยู่เสมอ ถ้าหากมีทหารคนไหนก็แล้วแต่ได้รับรางวัลที่โดดเด่นแบบนี้ ทหารรวมถึงขุนนางคนอื่นๆ จะต้องพยายามในแบบเดียวกันนี้ในการรับรางวัลอันนั้นด้วย
“ฉันจะส่งคนไปปราสาทแมธริวเอง ตอนนี้กลับไปได้แล้ว” ไวเคานต์ดิ้กเคนออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น
หลังจากที่บริวารคนรับใช้ที่แจ้งข่าวได้ออกไปแล้ว ไวเคานต์ก็ได้นึกถึงปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอาเบลอีกครั้ง ดูเหมือนว่าตอนนี้อาเบลคนนั้นคงจะต้องได้รับรางบวัลตอบแทนอย่างดี ด้วยอายุที่ยังน้อยอยู่ของอาเบลนั้นเขาจะต้องเติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคตได้อีกมากอย่างแน่นอน ถ้าหากอาเบลต้องการความช่วยเหลืออะไรแล้วละก็แน่นอนว่าไวเคานต์ดิ้กเคนจะต้องให้ความช่วยเหลืออาเบลอย่างดีที่สุดแน่นอน การทำแบบนี้เองก็จะทำให้ตัวดิ้กเคนได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคตเช่นกัน
ในความจริงแล้วคนที่อนาคตไกลอย่างอาเบลที่ได้รับชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กนั้นจะต้องถูกท่านลอร์ดหรือดยุคคนไหนก็แล้วแต่เรียกไปรับใช้นั่นเอง แต่สำหรับดยุคคาร์เมลแล้วเขาเป็นคนที่แตกต่างจากดยุคคนอื่นๆ ในตอนนี้กษัตริย์ได้เกลียดชังพวกขุนนางมาโดยตลอด กษัตริย์จึงไม่ได้สนใจอะไรกับการแค่เสียขุนนางไปเพียงคนสองคนเท่านั้น
เมื่ออาเบลได้กลับมาที่ปราสาทแฮรี่อีกครั้ง สิ่งแรกที่อาเบลทำนั้นคือการมาเล่นกับลมทมิฬนั่นเอง ตอนนี้ลมทมิฬได้ได้กินอาหารเยอะมากขึ่นแล้ว แน่นอนว่าน้ำหนักของมันเองก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ตอนนี้ลูกหมาป่าอย่างลมทมิฬนั้นได้แต่วิ่งเล่นไปมาภายในห้องของอาเบลเท่านั้น อาเบลไม่อยากที่จะพาหมาป่าอย่างลมทมิฬออกไปเดินเล่นในเวลาที่พวกออร์คได้เพิ่งโจมตีปราสาท
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวทั้งหมดไป อาเบลก็ไม่เคยที่จะได้กินอาหารค่ำกับอัศวินมาแชลอีกเลย – จนกระทั่งค่ำคืนที่พวกออร์คนั้นถูกขับไล่ออกไปทั้งหมด ในที่สุดอัศวินมาแชลก็รู้สึกผ่อนคลายลง ตอนนี้อัศวินมาแชลนั่งลงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะกินอาหารค่ำแล้ว
หลังจากที่ทานอาหารค่ำเสร็จอัศวินมาแชลก็ได้เรียกอาเบลไปที่ห้องอ่านหนังสือของปราสาท สาวใช้คนหนึ่งได้เสิร์ฟกาแฟ 2 แก้วภายในห้องอ่านหนังสือนั้น นอกจากนี้สาวใช้คนนั้นยังเติมเครื่องเทศอะไรบางอย่างไปที่กาแฟนของอัศวินมาแชลอีกด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อสาวใช้คนนั้นจะเติมเครื่องเทศในกาแฟอาเบลแต่ก็ถูกอาเบลหยุดเอาไว้ก่อน
“อาเบล บางครั้งลูกก็ต้องบอกทุกอย่างเองตามที่ลูกรู้สึกนะ” อัศวินมาแชลพูดในขณะที่กำลังดมกลิ่นหอมของกาแฟนอยู่ อัศวินมาแชลจิบกาแฟนก่อนที่จะหลับตาอย่างร่าเริง ในตอนนี้เขากำลังเพลิดเพลินไปกับรสชาติของกาแฟที่ผสมกับเครื่องเทศอยู่ในปากของเขานั่นเอง
อาเบลไม่เข้าใจได้เลยว่าทำไมอัศวินมาแชลถึงเพลิดเพลินไปกับกาแฟที่ผสมเครื่องเทศแบบนี้ เครื่องเทศพวกนี้บอกถึงความมีรสนิยมของพวกขุนนางอย่างงั้นหรอ โชคดีที่พ่อครัวของปราสาทแฮรี่ไม่ได้ผสมเครื่องเทศลงไปในอาหารของเขา ถ้าหากอาหารที่อาเบลกินมีรสชาติของเครื่องเทศที่รุนแรงเกินไปสุดท้ายแล้วอาเบลก็คงไม่สามารถที่จะกินอาหารจานนั้นได้เลย
“ก็คงต้องเป็นอย่างงั้นและครับ…”
“อาเบล ตอนนี้ลูกได้เป็นถึงปรมาจารย์ช่างตีเหล็กแล้ว การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ของลูกเองก็ล้วนแต่เกินความคาดหมายของพ่อเสมอ ลูกรู้ไหม พ่อเป็นลูกชายคนโตของตระกูลแฮรี่ในเมืองเบกอง ถึงแม้ว่าพ่อจะต้องจากครอบครัวไปตั้งแต่ที่ได้รับตำแหน่งเป็นอัศวินมา แต่พ่อก็ยังได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากครอบครัวของพ่ออยู่ดี สิ่งต่างๆ เหล่านั้นคือเทคนิคพิเศษสำหรับเหล่าอัศวิน ตอนนี้ลูกเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแฮรี่แล้ว พ่อคงจะต้องพาลูกไปที่เมืองเบกองเพื่อที่จะไปเรียนรู้เทคนิคพวกนั้น แต่จริงๆ แล้วลูกก็คงเรียนรู้เทคนิคบางส่วนจากพ่อโดยตรงได้อยู่ดี อัศวินมาแชลพูดทุกอย่างอย่างจริงจัง”
ในอดีตอาเบลได้เคยเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ลับที่ถูกถ่ายทอดโดยอัศวินเบ็นเน็ตต์แล้ว แต่ตอนนี้อาเบลยังไม่ได้เป็นอัศวินอย่างเป็นทางการดังนั้นแล้วเขาจึงไม่สามารถที่จะใช้เทคนิคลับเหล่านั้นได้นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากอาเบลไม่ได้เป็นอัศวินฝึกหัดระดับ 5 แล้วอัศวินมาแชลก็คงจะไม่ได้บอกอะไรกับอาเบลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
เทคนิคลับที่อาเบลได้เคยเรียนรู้ในตอนนี้จึงมีเทคนิคลับจากตระกูลเบ็นเน็ตต์เท่านั้น และนอกจากนี้อาเบลยังเคยเรียนรู้เทคนิคการหายใจแบบอัศวินอีกด้วย การหายใจแบบอัศวินนี้จะทำให้อาเบลสามารถเปลี่ยนพลังลมปราณที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วให้กลายเป็นเมอร์ริเดียนได้ นอกจากนี้อาเบลได้เคยเรียนรู้เคล็ดวิชาแห่งภูมิปัญญาทั้ง 3 แบบมาแล้ว แต่ตอนนี้อาเบลไม่สามารถที่จะใช้ได้นั่นเอง
เทคนิคแรกเป็นการเร่งความเร็วนั่นเอง การจะใช้เทคนิคนี้ได้จะต้องทำเช่นเดียวกับการใช้พลังลมปราณในการต่อสู้นั่นเอง แต่เปลี่ยนจากพลังลมปราณที่ใช้ในการต่อสู้ให้เป็นพลังลมปราณในการเร่งความเร็วแทน
เทคนิคที่สองคือเทคนิคระเบิดพลัง ด้วยการใช้เทคนิคระเบิดพลังนี้จะทำให้เพิ่มพลังของผู้ใช้ได้มากถึง 3 เท่า แต่หลังจากที่ใช้งานไปจะทำให้คอร์ของผู้ใช้อ่อนแรงไปกว่า 1 ชั่วโมง
เทคนิคที่สามคือเทคนิคสุดยอดแห่งการป้องกัน เทคนิคการเพิ่มพลังป้องกันสุดยอดนี้สามารถใช้กับโล่ห์ได้เพียงเท่านั้น เทคนิคนี้จะใช้พลังลมปราณเชื่อมต่อเข้ากับโล่ห์ การเชื่อมต่อนี้จะทำให้สามารถสร้างโล่ห์ที่มีความสามารถในการป้องกันสุดแข็งแกร่งป้องกันการโจมตีจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้
“พ่อมีเทคนิคลับอะไรจะสอนให้ผมอย่างงั้นหรอครับ?” อาเบลถามอย่างตรงไปตรงมาถึงเทคนิคลับที่อัศวินมาแชลพูดถึง ในตัวของอาเบลนั้นมีพลังแห่งความตั้งใจอยู่ ดังนั้นแล้วอาเบลจึงสามารถเรียนรู้ถึงสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
“จนถึงตอนนี้พ่อเรียนรู้เทคนิคลับได้เพียง 2 เทคนิคเท่านั้น หนึ่งในเทคนิคลับที่พ่อได้เรียนรู้คือเทคนิคแห่งการชาร์จพลังนั่นเอง ส่วนอีกเทคนิคหนึ่งนั้นคือเทคนิคการเร่งความเร็วของสัตว์ขี่” อัศวินมาแชลได้อธิบายทุกอย่างอย่างช้าๆ ต่อไป เทคนิคลับทั้ง 2 เทคนิคนี้สามารถใช้กับสัตว์ขี่ได้เท่านั้นเทคนิคนี้จึงเป็นเทคนิคที่แตกต่างเทคนิคที่อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้สอนกับอาเบลนั่นเอง เทคนิคลับที่อัศวินเบ็นเน็ตต์สอนนั้นมุ่งเน้นไปที่ความสมดุลและความหลากลายมากกว่า ด้วยเหตุนี้เองอัศวินเบ็นเน็ตต์จึงสามารถใช้อาวุธได้ต่างๆ ทั้งดาบใหญ่, โล่ห์, ธนู, หอกยาว, และขวานได้อย่างถนัด แต่อัศวินมาแชลนั้นต่างออกไป เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขี่ม้าพร้อมกับใช้อาวุธอย่างดาบยักษ์และหอกยาวนั่นเอง อัศวินมาแชลเชื่อว่าการขี่ม้าที่เก่งนั้นเป็นคุณสมบัติที่ต้องการมากที่สุดที่ควรมีในอัศวินแล้ว สำหรับอาวุธที่อัศวินมาแชลเลือกเขาจะเลือกจากความสามารถในการต่อสู้ที่มากที่สุด โดยการต่อสู้ที่อัศวินมาแชลเลือกคือการใช้ดาบยักษ์รวมไปถึงหอกยาวบนหลังม้านั้นเอง การต่อสู้ทั้ง 2 ประเภทนี้เป็นการต่อสู้ระยะประชิดที่ได้เปรียบสุดนั่นเอง ส่วนการต่อสู้ระยะไกลนั้นอัศวินมาแชลเลือกที่จะใช้ธนูอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความเชี่ยวชาญในการขี่ม้ารวมไปถึงการใช้อาวุธทั้งสามจึงทำให้อัศวินมาแชลกลายเป็นอัศวินที่ชั้นยอดในที่สุด
อัศวินมาแชลไม่เคยปฏิเสธเลยว่าอัศวินเบ็นเน็ตต์นั้นไม่ได้เป็นอัศวินชั้นยอดเหมือนกับอัศวินมาแชล ฝีมือการต่อสู้ของอัศวินเบ็นเน็ตต์นั้นเป็นของจริงแต่เนื่องจากอัศวินเบ็นเน็ตต์เป็นคนที่ไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์เขาจึงไม่ได้เป็นอัศวินชั้นยอดนั่นเอง