AtW ตอนที่ 52 กลายเป็นอัศวินอย่างเป็นทางการ
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
อาเบลได้สูดหายใจเข้าไปลึกๆ และกำลังคิดถึงประสบการณ์ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาในการใช้น้ำยาเดินลมปราณของอาเบล ตั้งแต่อาเบลได้ใช้น้ำยาเดินลมปราณพลังลมปราณของอาเบลก็มีมากขึ้น อาเบลตัดสินใจที่จะดื่มน้ำยาเดินลมปราณทั้งหมดที่ตัวเขามีอยู่
อาเบลหยิบน้ำยาเดินลมปราณที่กำลังเปล่งประกายสีทองขึ้นมาก่อนที่จะดื่มอย่างไม่ลังเล อาเบลเทน้ำยาเดินลมปราณทั้งขวดลงไปในปากของตัวเองในทันที หลังจากนั้นไม่นานอาเบลก็ได้ดื่มน้ำยาเดินลมปราณจนครบทั้ง 6 ขวด อาเบลได้เรอออกมาหลังจากที่ดื่มน้ำยาทั้งหมดไป มีเพียงอาเบลเท่านั้นที่สามารถดื่มน้ำยาทั้งหมดโดยที่ยังเรอออกมาได้
ในเวลานี้น้ำยาเดินลมปราณที่อาเบลได้กินนั้นกำลังอยู่ในกระเพาะอาหารของอาเบลแล้ว อาเบลไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้วตอนนี้อาเบลได้แต่ฝึกเทคนิคการหายใจแบบอัศวินต่อไปเพื่อที่จะสร้างเมอร์ริเดียนจากพลังลมปราณที่มีเพิ่มมากขึ้นให้ได้ แต่ว่าการจะบีบอัดพลังลมปราณจำนวนมากนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย นอกจากจะต้องใช้สมาธิอันเป็นมหาศาลแล้วยังจะต้องใช้ความเร็วมากอีกด้วย
ในระหว่างที่อาเบลกำลังใช้เทคนิคการหายใจแบบอัศวินอาเบลก็รู้สึกได้ว่าท้องของเขาในตอนนี้นั้นเหมือนหม้อแรงดันที่กำลังจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ หากอาเบลไม่ได้ควบคุมร่างกายของตัวเองให้ดี ท้องขงออาเบลอาจจะระเบิดออกมาในตอนไหนก็ได้
ในเวลานี้เมอร์ริเดียนทั้ง 5 ที่อยู่ในร่างกายของอาเบลนั้นได้เริ่มหดตัวลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากแรงกดดันที่มีมากขึ้นในท้องของอาเบลนั่นเอง เมื่อเมอร์ริเดียนถูกบีบอัดอย่างต่อเนื่องจึงทำให้พลังลมปราณที่อาเบลมีอยู่นั้นมีความหนาแน่นสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นอากาศจำนวนมากที่ได้จากการหายใจแบบอัศวินก็ถูกเติมเต็มลงไปในเมอร์ริเดียนอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เมอร์ริเดียนที่ถูกบีบอัดนั้นได้ถูกเติมเต็มอีกครั้งหนึ่ง แต่การบีบอัดเมอร์ริเดียนในร่างกายของอาเบลยังไม่ได้จบแค่นั้น กระบวนการบีบอัดนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ตอนนี้อาเบลกำลังเหมือนบอลลูนลูกโป่งซึ่งถ้าหากควบคุมลมภายในร่างกายได้ไม่ดีพอนั้นแน่นอนว่าร่างกายของอาเบลก็จะตกอยู่ในอันตรายทันที ในตอนนี้จึงไม่มีวิธีใดที่ดีกว่าการพึ่งพาเทคนิคการหายใจแบบอัศวินอีกแล้ว
แต่ถ้าจะให้พึ่งการหายใจแบบอัศวินอย่างเดียวก็เห็นทีจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของอาเบลในตอนนี้ เนื่องจากแรงกดดันที่มีเพิ่มมากขึ้นในตัวอาเบลจึงทำให้ช่องท้องรวมไปถึงอวัยวะภายในนั้นได้เริ่มบีบอัดตัวเองจนทำให้ร่างกายของอาเบลนั้นได้รับบาดเจ็บแล้ว ตอนนี้ที่มุมปากของอาเบลได้มีเลือดไหลออกมา
กระดูกภายในร่างกายของอาเบลทั้งหมดกำลังสั่นเทาและส่งเสียงดังออกมา เมื่ออาเบลรู้แล้วว่าตัวเขานั้นไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปอาเบลจึงตัดสินใจที่จะรออยู่เฉยๆ
“ไม่!”
อาเบลได้แต่ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น ตอนนี้พลังแห่งความมุ่งมั่นในตัวอาเบลเองก็ได้เริ่มพุ่งออกไปจากตัวเขาแล้ว อาเบลได้ใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นของเขาในการจินตนาการไปถึงเมอร์ริเดียนที่ตัวอาเบลนั้นมีอยู่ อาเบลได้จินตนาการเอาไว้ว่าเส้นลมปราณเมอร์ริเดียนนั้นได้กลายเป็นเหล็กอันแข็งแกร่งที่พร้อมสำหรับการตีเหล็กแล้ว อาเบลใช้สติที่คงเหลืออยู่สั่งค้อนแห่งจิตสำนึกของตัวเองให้ตีเมอร์ริเดียนที่เป็นเหมือนเหล็กทั้ง 5 เส้นนี้ การใช้ค้อนแห่งจิตสำนึกตีเหล็กแต่ละครั้งทำให้เมอร์ริเดียนที่อาเบลมีนั้นเต็มไปด้วยพลังลมปราณอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เมอร์ริเดียนที่อาเบลมีนั้นสามารถจุพลังลมปราณได้มากกว่าตอนแรกแล้ว
อาเบลไม่ได้สนใจเมอร์ริเดียนทั้งหมดของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่อาเบลกลับที่จะเพ่งสมาธิเพื่อทำให้เมอร์ริเดียนเส้นที่สองอาเบลนั้นสามารถจุพลังลมปราณได้มากขึ้น หลังจากที่อาเบลได้พัฒนาเมอร์ริเดียนทั้งหมดที่มีอยู่ทั้ง 5 เส้นได้ เมอร์ริเดียนเส้นแรกของอาเบลนั้นก็ถูกเติมเต็มพลังลมปราณด้วยน้ำยาเดินลมปราณระดับสุดยอด 6 ขวดอีกครั้ง
ในตอนนี้อาเบลก็ยังคงเพ่งสมาธิของตัวเองต่อ การบีบอัดที่มีในตัวอาเบลนั้นกำลังเริ่มขึ้นอีกครั้งเพราะน้ำยาเดินลมปราณนั่นเอง ตอนนี้อาเบลไม่รู้สึกถึงความสมดุลที่มีในร่างกายของเขาอีกต่อไปแล้ว
ในขณะนั้นเองอาเบลไม่รู้สึกความรู้สึกที่ควรจะมีในร่างกายของตัวเองอีกต่อไปราวกับว่าตอนนี้อาเบลกำลังจะจางหายไป นี่อาจะเป็นเพราะพลังแห่งความมุ่งมั่นของอาเบลที่กำลังเพ่งสมาธิอยู่กับเมอร์ริเดียนของตัวเขาเอง พลังแห่งความมุ่งมั่นได้เปลี่ยนเมอร์ริเดียนที่อาเบลมีอยู่ให้เป็นเหล็กในสายตาของอาเบลไปแล้ว นอกจากนี้เองอาเบลก็ไม่ได้ใช้ค้อนแห่งจิตสำนึกตีเหล็กอันนี้เข้าจริงๆ อาเบลเพียงแต่พยายามที่จะทำให้เมอร์ริเดียนทั้ง 5 เส้นที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณนั้นเชื่อมต่อเข้าหากัน
ถ้าหากมีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ กับอาเบลในตอนนี้แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะต้องรู้ได้ว่าตอนนี้อาเบลกำลังเข้าสู่สถานะแห่งการตระหนักรู้ไปแล้ว การที่จะเข้าสู่สถานะแห่งการตระหนักรู้นั้นจะทำให้ผู้คนที่เข้าสู่สถานะนี้ใช้สัญชาตญาณของร่างกายโดยตรงโดยที่จะไม่กังวลและไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ มันเป็นความสามารถที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาตินั่นเอง
หลังจากที่ร่างกายของอาเบลได้บีบอัดมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วร่างกายของอาเบลก็ได้กำเนิดพลังแปลกๆ กลับสู่ร่างกายของอาเบลอีกครั้ง พลังงานนี้เรียกได้ว่าเป็นพลังที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง เมื่ออัศวินฝึกหัดได้กลายเป็นอัศวินอย่างเป็นทางการแล้วร่างกายของพวกเขาเหล่านั้นก็จะต้องผ่านการพัฒนาเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะสามารถรองรับพลังที่เพิ่มมากขึ้นได้นั่นเอง
ในกระบวนการพัฒนานั้นเองไม่เพียงแต่พลังที่จะเพิ่มมากขึ้นแล้วร่างกายของอาเบลเองก็ยังสามารถเพิ่มพลังแห่งความมุ่งมั่นที่อาเบลมีอยู่นั้นด้วยเช่นกัน ในตอนที่อาเบลได้ใช้ค้อนแห่งจิตสำนึกของตัวเองตีเมอร์ริเดียนของตัวเองที่เป็นเหมือนเหล็กกล้าร่างกายของอาเบลในตอนนั้นก็ได้พัฒนาตัวเองขึ้นในทุกๆ ด้าน ซึ่งตอนนั้นอาเบลไม่ได้รู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาได้เลย ในตอนนั้นอาเบลแค่ตกอยู่ในสถานะแห่งการตระหนักรู้ก็เท่านั้นเอง
ในระหว่างที่พลังที่อาเบลมีอยู่นั้นกำลังเพิ่มมากขึ้นร่างกายของอาเบลเองก็ยังซ่อมแซมตัวเองจากอาการบาดเจ็บอีกด้วย
ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่จะรู้ได้เลยว่าการฝึกฝนที่กินเวลาไปกว่า 6 ปีนั้นจะสามารถเพิ่มพลังลมปราณได้มากน้อยแค่ไหนกัน แต่สำหรับอาเบลที่ตกอยู่ในสภาวะแห่งการตระหนักรู้นั้นสามารถใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นในการเลื่อนระดับของตัวเองจนสำเร็จได้
ในเวลานี้เองเป็นเวลาที่อาเบลได้ตกอยู่ในสถานะแห่งการตระหนักรู้ได้นานที่สุดเท่าที่อาเบลเคยทำได้แล้ว พลังแห่งความมุ่งมั่นของอาเบลได้กลายเป็นดังค้อนทองคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าพลังลมปราณที่มีอยู่ในเมอร์ริเดียนเองก็ถูกเติมเต็มไปให้เต็มเปี่ยมอีกครั้งหนึ่ง ผลของการใช้น้ำยาเดินลมปราณทั้ง 6 ขวดได้หมดลงแล้ว ตอนนี้เมอร์ริเดียนที่อาเบลมีอยู่นั้นได้กลายเป็นเหมือนกับหินคริสตัลที่ใหญ่เท่ากับกำปั้นของตัวอาเบลแล้ว ร่างกายของอาเบลที่ถูกพัฒนาด้วยพลังนั้นได้เปล่งประกายด้วยสีทองอ่อนๆ ไปทั่วทั้งตัว ถ้าหากใครได้เห็นอาเบลในสภาพนี้แล้วละก็คนๆ นั้นจะต้องคิดว่าร่างกายของอาเบลนั้นจะต้องเป็นหยกที่บริสุทธิ์อย่างแน่นอน
หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการทุกอย่างแล้วอาเบลก็ได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ ทันที ในระหว่างที่อาเบลกำลังตกอยู่ในการพัฒนาตัวเองนั้นอาเบลคิดเอาไว้ว่าตัวเขานั้นอาจจะไม่ผ่านกระบวนการพัฒนาตัวเองก็เป็นได้ แต่ในตอนนี้อาเบลผ่านมาได้แล้วนั่นเอง อาจจะเป็นเพราะความโชคดีหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่อาเบลก็รู้สึกดีที่ตอนนี้ตัวเขานั้นยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
หลังจากที่อาเบลลืมตาตื่นขึ้น สิ่งแรกที่อาเบลต้องการอยากทำนั้นก็คือการไปหาพ่อของอาเบลอย่างอัศวินเบ็นเน็ตต์และพ่อบุญธรรมอย่างอัศวินมาแชลเพื่อที่จะถามอะไรให้มากกว่านี้ ตอนนี้อาเบลได้เพิ่งดื่มน้ำยาเดินพลังลมปราณทั้งหมด 6 ขวดไปแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบนร่างกายของอาเบลเลย
เมื่ออาเบลได้ยืนขึ้นอาเบลก็ได้พบว่าผิวหนังของเขากำลังถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกหนาสีดำอะไรบางอย่าง เปลือกหนาสีดำที่เกิดขึ้นนี้เกิดมาจากการที่ร่างกายของอาเบลนั้นได้เพิ่มพลังอย่างกระทันหัน เนื่องจากในตอนนี้ยังไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ กับอาเบล อาเบลเลยเดินออกจากเต็นท์ก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดทันที
หลังจากที่ยืนขึ้นอาเบลก็ได้ยืดร่างกายของตัวเอง หลังจากการยืดร่างกายแล้วยังมีเปลือกแข็งสีดำตหลุดออกมาจากผิวหนังของอาเบลอย่างต่อเนื่อง เมื่ออาเบลได้สลัดเปลือกสีดำทั้งหมดออกจากร่างกาย ร่างกายของอาเบลก็ได้กลับมาเป็นสีขาวดังเดิมแล้ว
อาเบลอยากจะรู้ว่าตอนนี้ตัวอาเบลนั้นรวดเร็วมากขึ้นแค่ไหนแล้ว อาเบลพยายามที่จะพุ่งตัวเองไปที่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักอาเบลก็ได้ถึงต้นไม้ต้นหนึ่ง
“ตู้ม!” ขณะที่อาเบลวิ่งชนต้นไม้ต้นไม้ที่อาเบลได้วิ่งชนนั้นสูงกว่า 10 เมตรด้วยกันกำลังล้มลงสู่พื้นแล้ว
เมฆาสีขาวถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับไหลทันทีจากเสียงชนต้นไม้ในครั้งนี้ เมื่อมันเห็นเจ้าของของมันอย่างอาเบลนั้นยืนอยู่ใกล้ๆ มันก็ยืนขึ้นอย่างมีความสุขทันที แผลบนร่างบกายของเมฆาสีขาวนั้นใกล้ที่จะหายดีแล้ว ในขณะที่มันกำลังตื่นขึ้นอาเบลก็ได้ใช้มือของตัวเองลูบไปที่หัวของเมฆาสีขาวอย่างนุ่มนวล
อาเบลรู้สึกถึงความขบขันมากเมื่อมองไปที่เมฆาสีขาวในตอนนี้ มันตลกมากสำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ทำตัวขี้อ้อนขนาดนี้
ในเวลานี้เมฆาสีขาวได้จ้องมองไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่กำลังล้มอยู่บนพื้น ตาของมันเปล่งประกายสดใสในขณะที่มองต้นไม้ต้นนี้ อาเบลเข้าใจได้ทันทีว่าเมฆาสีขาวจะถามอาเบลว่าต้นไม้ต้นนี้กินได้ไหม
อาเบลพยักหน้าออกมาพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยในขณะที่มองเมฆาสีขาวกำลังกินกิ่งไม้ต้นไม้ต้นนั้นอย่างมีความสุข ไม่นานนักต้นไม้ต้นนั้นก็ได้เหลือแต่เพียงลำต้นเท่านั้น
ตอนนี้อาเบลรู้แล้วว่าพลังแห่งความมุ่งมั่นที่ตัวอาเบลมีนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นขนาดไหน อาเบลสามารถที่จะใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นของตัวเองสื่อสารกับเมฆาสีขาวโดยตรงได้แล้วนั่นเอง แม้ว่าอาเบลจะไม่รู้ว่าพลังแห่งความมุ่งมั่นของเขามีค่าแค่ไหน แต่เขาก็มั่นใจว่าตอนนี้อาเบลจะสามารถวาดรูนทั้ง 3 แบบในเวลาเดียวกันได้แล้ว
หลังจากนั้นอาเบลก็ได้เคลื่อนไหวต่อไปอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ร่างกายของอาเบลได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว สิ่งรแกที่อาเบลสังเกตได้นั่นก็คืออาเบลสามารถใช้ธนูแฮรี่ได้ง่ายขึ้นแล้วนั่นเอง ตอนนี้อาเบลแทบที่จะไม่ต้องใช้ความพยายามในการง้างธนูแฮรี่อีกต่อไป สิ่งที่สองที่อาเบลสังเกตเห็นนั้นคือดาบเวทย์น้ำแข็งที่อาเบลถืออยู่นั้นเบาลงไปกว่าเดิมมาก การที่อาเบลถือดาบเวทย์เล่มนี้อยู่ในมืออาเบลรู้สึกว่าดาบเล่มนี้ได้เบาเหมือนกับไม้จิ้มฟันไปแล้ว สิ่งแรกที่อาเบลตัดสินใจทำเมื่อกลับไปปราสาทก็คือการทำดาบให้หนักกว่านี้นั่นเอง สำหรับอัศวินแล้วการฝึกฝนตัวเองด้วยดาบที่หนักนั้นจะได้ผลดีกว่า
อาเบลไม่สามารถที่จะใช้การฝึกไทเก็กเพื่อเก็บซ่อนพลังของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว
พลังในโลกใบนี้นั้นแตกต่างจากพลังในโลกใบเดิมที่อาเบลจากมามาก หากในโลกใบนี้ไม่ได้ระเบิดพลังออกมาให้มากพอนั้นแน่นอนว่าจะไม่สามารถใช้พลังจัดการกับเหล่าศัตรูในฐานะของอัศวินได้เลย การที่อาเบลเคยใช้กระบวนท่าไทเก็กเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงของอัศวินฝึกหัดเอาไว้ทำให้การที่อาเบลจะใช้พลังที่แท้จริงนั้นเป็นไปได้ยากดว้ย อาเบลต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ในตอนนั้นได้