AtW ตอนที่ 7 การสั่งสอนของผู้เป็นพ่อ
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
ปราสาทเบ็นเน็ตต์จัดอาหารเย็นได้ตรงเวลาเสมอ เนื่องจากอัศวินเบ็นเน็ตต์ยังคงอยู่ที่ปราสาท ดังนั้นการทานอาหารของบ้านนี้จะเริ่มต้นที่สองทุ่มของทุกๆ วัน มื้ออาหารเย็นนี้ยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อวาน มีเนื้อวัว โจ๊กและมันฝรั่งบดเช่นเคย
เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินที่ครอบครัวเบ็นเน็ตต์กำลังเผชิญอยู่ทำให้อาหารเหล่านี้ไม่ค่อยมีรสชาติอะไรนัก การใช้เครื่องเทศในการปรุงแต่งอาหาร เป็นเรื่องของพวกชนชั้นสูงและคนที่ร่ำรวยเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ใช้เครื่องเทศได้ เครื่องเทศต่างๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่หาได้จากป่าแห่งจันทราซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลและปกครองโดยเผ่าเอลฟ์นั่นเอง เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาจากต่างแดนจึงทำให้มันมีราคาที่สูงมาก และถ้าสินค้าเหล่านี้ผ่านพ่อค้าคนกลางราคาของมันจะพุ่งขึ้นสูงอีกหลายเท่า
มื้ออาหารค่ำก็ยังคงเป็นมื้ออาหารที่เงียบสงบอีกค่ำคืนหนึ่ง แม้จะเงียบสงบแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวเสมอ หลังจากที่ผ่านการออกกำลังกาย ฝึกฝนการต่อสู้ และผจญภัยมา อาเบลต้องการที่จะกลับไปที่ห้องของเขาเพื่ออาบน้ำชำระร้างร่างกายนั่นเอง อาเบลไม่ชอบน้ำที่แสนสกปรกพวกนี้ที่ต้องใช้เป็นประจำ อาเบลตัดสินใจที่จะหาน้ำสะอาดด้วยตัวเอง
ปราสาทเบ็นเน็ตต์อาศัยแหล่งน้ำจากน้ำบาดาล ปราสาทเบ็นเน็ตต์เองก็เหมือนกับปราสาทส่วนใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นในโลกใบนี้ ดูเหมือนว่าการสร้างปราสาทที่ในลักษณะนี้ทำให้ลำเลียงขนส่งทั้งน้ำและทรัพยากรต่างๆ เข้าสู่ปราสาทได้ยาก เนื่องจากปราสาทส่วนมากจะถูกสร้างเพื่อป้องกันผู้บุกรุก เพื่อป้องการผู้บุกรุกอย่างมีประสิทธิภาพพวกเขาจะต้องสร้างกำแพงล้อมรอบอย่างแน่นหนาทำให้ไม่มีระบบชลประทานที่ดีนั่นเอง
ปราสาทเบ็นเน็ตต์สามารถจัดหาน้ำใช้อย่างเพียงพอสำหรับคนหลายร้อยคน มีผู้อาศัยอยู่ในปราสาทแห่งนี้รวมทหารยามและเหล่าบริวารรับใช้มีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้นด้วยเหตุนี้เองทำให้ปราสาทแห่งนี้จึงไม่มีปัญหาเรื่องการจัดหาน้ำ
เพื่อที่จะสร้างระบบชลประทานเป็นของตัวเอง อาเบลตัดสินใจที่จะตามหาช่างไม้ของปราสาทเบ็นเน็ตต์ เขาสั่งให้ช่างไม้สร้างกังหันน้ำขึ้นมา กังหันน้ำอันนี้จะเป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนระบบชลประทานใต้ดิน หากเชื่อมต่อระบบน้ำกับท่อบางส่วนจะทำให้น้ำบาดาลสามารถไหลขึ้นมาสู่ปราสาทที่อยู่สูงได้เอง จากนั้นอาเบลจะใช้ไม้ไผ่รนไฟสร้างเป็นท่อน้ำเพื่อจ่ายน้ำที่สูบขึ้นมาได้ให้ไหลเข้ามาสู่ห้องน้ำของอาเบลและห้องน้ำของคนอื่นๆ ได้ การใช้ไม้ไผ่แทนโลหะสัมฤทธิ์เป็นทางเลือกที่ดีกว่า ในปราสาทเบ็นเน็ตต์ไม่มีเหมืองแร่เป็นของตัวเอง และก็ไม่มีช่างตีเหล็กอีกเช่นกัน การใช้ไม้ไผ่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
หลังจากที่ทบทวนความคิดอย่างละเอียดรอบครอบแล้ว อาเบลคิดว่าการใช้ไม้ไผ่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากใช้ไม้ไผ่ที่ผ่านการรนไฟมันจะเพิ่มความแข็งให้กับไม้ไผ่นั่นเอง การเพิ่มความแข็งนี้จะทำให้ไม้ไผ่เหมาะที่จะใช้สำหรับงานก่อสร้างอีกมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือราคาของมันที่ถูกมากนั่นเอง
หลังจากที่เตรียมพร้อมท่อเสร็จแล้ว อาเบลใช้ช่างไม้สร้างอ่างอาบน้ำอ่างใหญ่ อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งชักโครกพร้อมที่นั่ง ทั้งหมดนี้อาเบลใช้ไม้ทำทั้งหมด ดูเหมือนห้องน้ำของอาเบลจะเริ่มดูทันสมัยขึ้นมาแล้ว
ในโลกใบนี้ไม้เป็นสิ่งที่มีมูลค่าถูกที่สุดแล้ว หากใครก็ตามที่มีขวานอยู่เขาคนนั้นก็สามารถหาไม้ได้แล้ว ตระกูลเบ็นเน็ตต์เองเป็นเจ้าของต้นไม้ภายใต้รัศมีหนึ่งร้อยไมล์จากปราสาท แน่นอนว่างานช่างตัดไม้กับช่างไม้เป็นเพียงแค่อาชีพเสริมเท่านั้น พวกช่างไม้มีอาชีพเดิมเป็นเกษตรกร การหารายได้จากการตัดไม้ไม่ได้มีรายได้ที่ดีเท่าไรนัก
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่เป็นเหมือนกับนวัตกรรมใหม่ในโลกใบนี้ ดูเหมือนว่าห้องทุกห้องในปราสาทจะมีระบบชลประทานที่ทันสมัยขึ้นเป็นอย่างมาก ช่างไม้เหล่านี้ได้ค่าจ้างมูลค่ามหาศาลมา อาเบลไม่ได้อนุญาตให้พวกช่างไม้นำความลับนี้ไปเผยแพร่ให้กับใคร นี้ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ประเมินมูลค่าไม่ได้
ในฐานะที่อาเบลได้เติบโตมาภายใต้ความยุติธรรมในครอบครัวอัศวินเบ็นเน็ตต์ทำให้เขารู้ดีว่าระบบชลประทานนี้สามารถสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนขนาดไหน หากชนชั้นสูงบางคนรู้เรื่องนี้เข้าเขาคงจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างแน่นอน พวกนั้นอาจจะยอมฆ่าทุกคนที่ล่วงรู้ทั้งหมดก็เป็นได้ เพื่อที่จะได้ครอบครองความรู้หรือทรัพย์สินทางปัญญาอันนั้นไว้เพียงผู้เดียว ในฐานะที่เป็นคนในครอบครัวอัศวินเบ็นเน็ตต์ทำให้พวกอาเบลคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว
นี้เป็นเหตุผลที่อาเบลไม่ยอมสร้างสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ในภายหลัง หากไม่มีสถานะและอำนาจอันแข็งแกร่งที่เพียงพอแล้ว ความคิดสร้างสรรค์ที่เขาได้สร้างอาจจะเป็นภัยมาทำร้ายตัวอาเบลและครอบครัวของเขาเอง เป็นเวลากว่าหลายพันปีแล้วในโลกแห่งนี้ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม มันยังเป็นความแตกต่างกับโลกที่อาเบลเคยอยู่นั่นเอง ที่นั่นมีความมั่นคงและความปลอดภัยที่มากพอ ถ้าหากยังไม่มีการคุ้มครองหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมรูปแบบนี้ โลกใบนี้ก็คงจะยัง “ไม่เปลี่ยนแปลง” ไปตลอด
“อาเบลกับซัคมาหาพ่อหน่อย” อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้ออกคำสั่งกับลูกของเขาที่กำลังจะเดินกลับห้อง “ตอนนี้ลูกเป็นอัศวินฝึกหัดระดับหนึ่งแล้ว พ่อมีอะไรจะสอนลูก”
หลังจากที่อาเบลเดินมาถึงห้องฝึกฝน เขาเห็นเหล่าบริวารทำหุ่นไม้สำหรับการฝึกให้เขาแล้ว มีดาบไม้แขวนอยู่บนกำแพง อัศวินเบ็นเน็ตต์คว้ามันก่อนที่จะโยนไปให้อาเบล
“พ่อเคยได้ยินมาว่าลูกเคยทำอะไรไว้” อัศวินเบ็นเน็ตต์พูดในขณะที่จ้องไปที่อาเบล “ลูกสามารถฆ่าเสือดำด้วยความสามารถของอัศวินฝึกหัด นั้นทำให้พ่อประหลาดใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าลูกจะได้รับความช่วยเหลือของนอร์แมนแต่มันก็ยังน่าตักใจอยู่ดี”
“ตลอดชีวิตของพ่อ พ่อเคยเจออัศวินมีพรสวรรค์มาแล้วมากมาย พวกเขาล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าพ่อ เร็วกว่าพ่อ แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีใครอยู่ถึงอายุเท่าพ่อเลย รู้ไหมทำไม?”
อาเบลรู้สึกประหลาดใจที่อัศวินเบ็นเน็ตต์เล่าเรื่องนี้ให้กับเขาฟัง ตลอดเวลาที่เขาเคยอาศัยอยู่ในโลกใบเก่า เขาไม่ค่อยได้ยินคำพูดจากคนเป็นพ่อมากนัก
“พ่อสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะอะไรอย่างงั้นหรอ? มันเป็นเพราะเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับอัศวินนั่นคือดาบนั่นเอง เพลงดาบที่รวดเร็วยังสามารถเปลี่ยนเป็นเกราะที่แข็งแกร่งได้อีกด้วย หากอัศวินคนไหนมีความเร็วที่มากพอ แม้ทหารที่ขี่ม้าศึกก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้นั่นเอง โลกนี้ล้วนมีเหล่าอัจฉริยะอยู่มากมายเต็มไปหมด วินาทีที่ตัดสินแพ้ชนะผู้ที่เร็วกว่าก็จะสามารถคว้าชัยชนะไปได้นั่นเอง แน่นอนว่าพ่อไม่ใช่คนที่เร็วที่สุด แต่พ่อเป็นทายาทของตระกูลเบ็นเน็ตต์ บรรพบุรุษของเราได้ทิ้งวิชาการฝึกฝนเอาไว้ ด้วยสิ่งนั้นนี่เองทำให้พ่อสามารถกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดภายในหมู่คนที่รวดเร็วที่สุดได้ และแน่นอนว่าพ่อก็เป็นคนที่เร็วที่สุดในหมู่คนที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน”
อัศวินเบ็นเน็ตต์เบิกตากว้างก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังอีกว่า “สิ่งที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ให้กับเราเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว พวกเขาส่งสิ่งนี้มายังรุ่นต่อรุ่นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอนาคตอันใกล้พ่อจะส่งมรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษนี้ให้กับลูกทั้งสองคน จำไว้ว่าไม่มีสิ่งใดที่มีค่าทั้งทองคำใด อาวุธและเกราะแข็งแกร่งใด จะมีค่าเท่ากับมรดกของพ่อไปได้! มรดกที่พ่อจะยกให้ลูกทั้งสองคนเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดแล้ว!”
“ซัคแสดงให้น้องชายของนายให้เห็นถึงการโจมตีที่แท้จริงเป็นอย่างไร” อัศวินเบ็นเน็ตต์ขว้างดาบไม้ไปทางซัค ซัคคว้าดาบไม้เล่มนี้เอาไว้ราวกับสัตว์ร้าย เขาชี้ดาบเล่มนี้ไปยังหุ่นไม้ด้านหน้าของเขา เขาสูดหายใจเบาๆ ในปากของเขา หลังจากนั้นเขาก็โจมตีในทันที
อาเบลแทบมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวนั้น หุ่นไม้กระเด็นลอยไปในอากาศ ถึงแม้ว่าหุ่นไม้กำลังลอยอยู่บนอากาศแต่ซัคก็ใช้ดาบของเขาแทงมันอีกสามจุด จุดที่แทงมีต้นขา เอว และลำคอ ซัคโจมตีได้อย่างแม่นยำ มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียนมาจากตำราอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ลูกต้องเร็วกว่านี้” อัศวินเบ็นเน็ตต์พูดขึ้น ผู้เป็นพ่อมันจะเข้มงวดกับลูกๆ เสมอ ซัคเข้าใจดีเขาจึงพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ลูกเห็นยังล่ะอาเบล? นี้คือการโจมตีพื้นฐานของอัศวิน เริ่มจากทำลายการป้องกันของศัตรูให้ได้ จากนั้นก็จบการต่อสู้อย่างรวดเร็วโดยแทงจุดสำคัญของพวกเขาในทันที ลำดับการโจมตีนี้ถูกปรับแต่งมากว่าเป็นพันปี ลูกต้องเคลื่อนไหวให้เหมือนกับในตำราอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงท่าทางใดๆ บรรพบุรุษของเราใช้เลือดมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อจะคิดค้นกระบวนท่าเหล่านี้”
อัศวินเบ็นเน็ตต์ยังพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าภาคภูมิใจต่อไปอีกว่า “มีหลายคนที่ถูกเรียกว่า “อัจฉริยะ” พวกเขาพยายามที่จะสร้างสรรค์วิชาการต่อสู้ต่างๆ ให้เหมือนกับเรา สุดท้ายแล้วไม่ใครที่สามารถทำสำเร็จได้ ฟังนะลูก สิ่งที่ลูกต้องทำก็คือจดจำการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไว้ ทำให้มันเข้าไปอยู่ในสัญชาตญาณของลูกซะ ใช้มันให้ได้ก่อนที่จะคิดเรื่องอื่นๆ “
อาเบลรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมากในตอนที่เขาจัดการกับเสือดำได้ แต่ตอนนี้เขามองดูซัคที่แสดงวิชาให้กับเขาได้เห็น ทำให้อาเบลรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น อาเบลอาจจะเป็นคนที่ฉลาดมีไหวพริบ แต่ความฉลาดและไหวพริบของเขาจะไร้ประโยชน์ทันทีที่เจอกับอัศวินที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก แม้แต่ต้องเจอกับซัคอาเบลก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้เลย
หลายวันต่อมาอาเบลก็ยังคงฝึกฝนการต่อสู้เป็นประจำ เขาฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ที่ได้รับจากพ่อในตอนกลางวัน และฝึกฝนเพิ่มกล้ามเนื้อด้วยชุดเกราะหนักในเวลากลางคืน ก่อนเข้านอนอาเบลจะฝึกการหายใจในแบบอัศวินเสมอ
ในคืนวันหนึ่งนี้เองมีเนื้อวัวมากขึ้นกว่าเดิมในมื้ออาหารค่ำนี้ ดูเหมือนว่าอาเบลจะได้เนื้อเท่ากับซัคแล้ว อัศวินเบ็นเน็ตต์เองไม่ได้พูดอะไร นี้คงเป็นการตัดสินใจของคนเป็นพ่อ