AtW ตอนที่ 8 การตัดสินใจอันน่าตกใจ!
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
อาจเป็นเพราะประสบการณ์การเป็นเทรนเนอร์ในยิมทำให้อาเบลเรียนรู้วิถีการต่อสู้แบบอัศวินได้อย่างรวดเร็ว เดิมทีอาเบลมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีอยู่แล้ว สิ่งที่เขาขาดคือความแข็งแกร่งและประสบการณ์นั่นเอง อาเบลจะมีทั้งสองสิ่งอย่างแน่นอนถ้าหากเขายังคงฝึกฝนและเติบโตต่อไป
ครอบครัวตระกูลเบ็นเน็ตต์สอนให้อาเบลใช้อาวุธหลากหลายประเภท ทั้งการยิงธนู การใช้หอก การใช้ดาบโล่ หรือเกราะหนัก หลังจากที่อาเบลฝึกฝนแบบไม่หยุดพักเป็นเวลากว่าครึ่งปี ทำให้อาเบลได้เรียนรู้สิ่งที่ควรเรียนทั้งหมดแล้ว มันคงจะไม่ยุติธรรมสำหรับซัคเท่าไร อาเบลมีวิญญาณที่มีอายุ ประสบการณ์ และความรู้ที่มากกว่าซัคมากเกินไป อาเบลไม่แน่ใจว่าในตอนนี้พ่อของเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขามั่นใจว่าในไม่ช้าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา อาเบลยังคงไม่ได้กินน้ำยาเดิมลมปราณระดับสุดยอดแต่อย่างใด เขาตัดสินใจที่จะฝึกฝนเรียนรู้วิถีแห่งอัศวินจากพ่อของเขาให้เชี่ยวชาญมากกว่านี้และค่อยใช้น้ำยาเดินลมปราณเพิ่มเสริมพลังหลังจากที่เรียนรู้เทคนิคทั้งหมดเป็นอย่างดีแล้ว ถึงจะไม่ได้กินน้ำยาเดินลมปราณอาเบลก็สามารถพัฒนาตัวเองเป็นอัศวินฝึกหัดระดับสองได้แล้ว อาเบลใช้เพียงความหมั่นเพียรในการฝึกฝนแต่เพียงเท่านั้น
ในค่ำคืนหนึ่ง อาเบลรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติบางอย่างในขณะที่เขานั่งกินข้าวอยู่นั่นเอง เขาสังเกตเห็นว่าตาของนอร่าผู้เป็นแม่กำลังบวมแดงอยู่ นอกจากนี้เขาสังเกตเห็นใบหน้าของผู้เป็นพ่อกำลังแสดงสีหน้าอะไรบางอย่างซึ่งดูไม่เหมือนทุกวันอยู่
“อาเบลลูกพ่อ” อัศวินเบ็นเน็ตต์ยืนขึ้นพูดในตอนที่อาเบลกำลังจะจับส้อม “ลูกเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มากเลยนะ พ่อไม่เคยเห็นเด็กคนไหนมีความสามารถเท่าลูกมาก่อนในชีวิตนี้ ดูเหมือนแสงศักดิ์สิทธิ์จะให้ทั้งความกล้าและปัญญากับลูก แต่ครอบครัวเบ็นเน็ตต์ของเราไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำให้ลูกแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ นี่อาจจะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัวเรา ถ้าหากใครรู้เข้ามันคงจะสร้างความอับอายให้กับตระกูลเราเป็นอย่างแน่นอน”
อัศวินเบ็นเน็ตต์หันไปมองผู้เป็นภรรยาก่อนที่จะกลับมามองลูกชายทั้งสองคน เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังมากขึ้น “พ่อทำข้อตกลงกับอัศวินเพื่อนพ่อไว้แล้ว เขามีชื่อว่ามาแชล เพื่อนของพ่อคนนี้จะรับหน้าที่ดูแลฝึกสอนลูกต่อเอง ถ้าหากอาเบลสามารถทำตามที่เพื่อนพ่อคนนี้หวังไว้ได้ ลูกก็จะได้รับตราสัญลักษณ์ยูนิคอร์นซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลแฮรี่ไป”
อาเบลรู้จักดีว่าอัศวินมาแชลเป็นใคร อัศวินมาแชลเป็นเพื่อนคนสนิทของพ่อเขานั่นเอง พวกเขาทั้งสองคนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอย่างยาวนาน พวกเขาปราบเหล่าออร์คมาแล้วอย่างมากมาย ในเวลาที่สิ้นหวังพวกเขาคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
ครอบครัวของอัศวินมาแชลไม่เหมือนกับครอบครัวอัศวินเบ็นเน็ตต์ พวกเขาไม่มีบุตรสืบสกุลนั่นเอง ภรรยาคนเดียวของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไป อัศวินมาแชลไม่ได้แต่งงานใหม่หลังจากนั้น ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาครอบครัวมาแชลจึงไม่มีบุตรชายไว้สืบสกุลและสืบทอดตำแหน่งในฐานะอัศวินต่อ เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทพร้อมกับภรรยาที่ถูกฝังไว้ที่นั่น
นี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ง่ายสำหรับอัศวินเบ็นเน็ตต์เลย การที่เขาจะส่งอาเบลให้ไปอยู่กับครอบครัวเพื่อนรักของเขาก็ทำให้ผู้เป็นพ่อคนนี้ลำบากใจอยู่เหมือนกัน เท่ากับว่าในตอนนี้ครอบครัวเบ็นเน็ตต์กำลังจะตัดขาดความสัมพันธ์ทางครอบครัวกับอาเบล อาเบลภายใต้ตระกูลแฮรี่จะสวมชุดเกราะ ถือธงที่ไม่ใช่ของครอบครัวเบ็นเน็ตต์อีกต่อไป
การมีบุตรชายคนรองที่มากด้วยความสามารถทำให้อัศวินเบ็นเน็ตต์หนักใจเป็นอย่างมาก เขาพยายามคิดทางเลือกมากมายก่อนที่จะเลือกใช้ทางเลือกนี้นั่นเอง แน่นอนว่าเขาต้องบอกผู้เป็นภรรยาก่อนแล้ว ถึงครอบครัวเบ็นเน็ตต์จะตัดสินใจได้แล้วแต่ก็เป็นเวลานานกว่าที่พวกเขาจะสามารถติดต่อคีธได้ นอกจากนี้แล้วคีธยังมีอาชีพเป็นพ่อค้า แน่นอนว่าเขาย่อมมีเงิน แต่เงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเลี้ยงดูคนคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นเพื่อเป็นอัศวินได้ นอกจากนี้คีธยังต้องอยู่กับท่านดยุคโครอลร์ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ยากต่อการติดต่อ
เซทเบ็นเน็ตต์ คือชื่อที่แท้จริงของอัศวันเบ็นเน็ตต์ แต่โดยทั่วไปแล้วเขามักจะถูกเรียกว่าเบ็นเน็ตต์อยู่เสมอ กว่าสองศตวรรษที่ผ่านมาบรรพบุรุษของตระกูลเบ็นเน็ตต์ได้กลายเป็นขุนนางเพราะการมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนั้น ชื่อเดิมของตระกูลเบ็นเน็ตต์คือ “ลอร์ดเบ็นเน็ตต์อันทรงเกียรติ” แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียง “อัศวินเบ็นเน็ตต์” เท่านั้น
ทายาทของตระกูลเบ็นเน็ตต์อาศัยอยู่ในเมืองเบกอง เป็นเมืองที่อยู่ในการครอบครองของดยุคคาร์เมล การมีลูกชายคนรองที่มีความฝันอยากเป็นอัศวินและทางครอบครัวไม่สามารถที่จะส่งเสริมและสนับสนุนได้ อาเบลจะต้องถูกส่งตัวไปรับใช้ดยุคคาร์เมลในฐานะที่เป็นอัศวินปกติธรรมดา นั่นหมายความว่าอาเบลจะต้องกลายเป็นอัศวินที่รับหน้าที่คอยคุ้มกันดูแลรักษาความปลอดภัยทั่วไป ถ้าเป็นอย่างนั้นอาเบลจะต้องสูญเสียอิสระภาพของเขาทั้งหมดไป แน่นอนว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ อัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่อยากให้บุตรชายคนที่สองของเขาต้องมีชะตากรรมที่น่าเศร้าแบบนั้น
มีอีกสาเหตุหนึ่งที่อัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่อยากให้อาเบลสูญเสียสถานนะในฐานะขุนนางไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อัศวินเบ็นเน็ตต์ตัดสินใจได้ตั้งแต่อาเบลจะเกิดมา ในฐานะที่อาเบลเกิดมาในครอบครัวอัศวินเบ็นเน็ตต์ เขาจะต้องได้รับตำแหน่งในฐานะอัศวินเบ็นเน็ตต์ให้สมเกียรติของครอบครัว
มาแชลแฮรี่เป็นคนที่ต่างจากอัศวินเบ็นเน็ตต์ ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงมากในเมืองเบกอง ผลงานของตระกูลมาแชลในสงครามทำให้เขาได้รางวัลในฐานะอัศวินอันทรงเกียรติไป ปราสาทเพื่อนคนนี้อยู่ห่างเพียง 300 ไมล์กับปราสาทเบ็นเน็ตต์ ดูเหมือนว่าปราสาทแห่งนี้จะพึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ปราสาททั้งหลังถูกสร้างด้วยอิฐและหินก้อนใหม่ทั้งหมด
ครอบครัวแฮรี่เองก็มีประวัติที่ดีมาอย่างยาวนาน มีอัศวินหลายคนจากครอบครัวของพวกเขาที่เลื่อนเป็นอัศวินขั้นสูงได้ ถึงแม้ว่าทั้งสองครอบครัวจะมีความเชื่อทางปรัชญาแตกต่างกัน แต่ทั้งสองครอบครัวก็ยังให้ความเคารพซึ่งกันและกันจากความสำเร็จของทั้งคู่ในอดีต
มาแชลแฮรี่ต้องการที่จะรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมมาโดยตลอด เขาเองเคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่การจะหาใครสักคนที่ตรงกับเงื่อนไขของมาแชลเป็นสิ่งที่หายากเป็นอย่างมาก มาแชลไม่ได้แค่จะมองหาเด็กธรรมเพื่อที่เขาจะมาดูแล เขากำลังมองหาคนที่มีความสามารถพอที่จะแบกรับชื่อเสียงครอบครัวของเขาต่อไปได้
เด็กที่จะเป็นลูกบุญธรรมของเขาจะต้องสืบเชื้อสายขุนนางของตระกูลต่อไปนั่นเอง แน่นอนว่าเด็กที่มาจากครอบครัวขุนนางส่วนใหญ่ได้มีครอบครัวและแผนการในชีวิตล่วงหน้าเป็นของตนเองอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าครอบครัวของขุนนางอื่นจะมีลูกชายถึงสามคน แน่นอนว่าลูกชายคนโตจะต้องเป็นคนที่รับสืบทอดทุกอย่างไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตัดขาดกับลูกชายที่เหลือ พวกเขามักจะอ้างว่าเด็กพวกนั้นสูญหายไปหรือได้ตายจากโรคภัยไข้เจ็บไปแล้ว ไม่ว่าเด็กพวกนั้นจะมีชีวิตเป็นอย่างไรแต่พวกเขาทั้งหมดจะมีแผนทางออกสำรองอยู่แล้ว
อาเบลเป็นอัจฉริยะ เขาเป็นเหมือนกับความภาคภูมิใจของครอบครัวอัศวินเบ็นเน็ตต์ อัศวินเบ็นเน็ตต์รู้ดีว่าอาเบลมีความสามารถมากขนาดไหน เขาจะไม่ยอมให้ความสามารถของอาเบลจะต้องเสียเปล่า การตัดสินใจที่จะส่งอาเบลออกไปรับใช้บ้านเมืองแบบนี้นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของตระกูลเบ็นเน็ตต์
เหตุผลทั้งหมดก็เพราะว่าครอบครัวเบ็นเน็ตต์มีทุนทรัพย์ไม่เพียงพอนั่นเอง บรรยากาศที่ดูน่ากลัวกำลังครอบงำช่วงเวลาอาหารมื้อค่ำนี้ ซัคยังคงใช้มีดหั่นเนื้อของเขาต่อไป มีเสียงส้อมกระทบกับจานดังขึ้น ถึงแม้ว่าการกระทำนี้จะผิดมารยาทบนโต๊ะอาหารของอัศวินเบ็นเน็ตต์ โดยปกติแล้วซัคจะต้องได้รับการลงโทษในทันทีแต่วันนี้ดูเหมือนว่าอัศวินเบ็นเน็ตต์จะไม่ว่าอะไรเขา อัศวินเบ็นเน็ตต์ยังคงกินอาหารของเขาต่อด้วยด้วยความเงียบ
นอร่าเป็นคนเดียวที่ไม่ได้พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ของเธอไว้ เธอแทบจะไม่ได้กินอะไรเลยในอาหารมื้อค่ำนี้ เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการร้องไห้สะอึกสะอื้นและเช็ดน้ำตาอยู่
หลังจากจบมื้อค่ำ อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้เรียกอาเบลมาคุยเป็นการส่วนตัว
สถานที่ที่เบ็นเน็ตต์เรียกอาเบลไปพบนั่นคือสถานที่ที่เก็บเอกสารสำคัญของครอบครัวเบ็นเน็ตต์ไว้นั่นเอง ห้องนี้ถูกปิดล็อกไว้อย่างแน่นหนา สมาชิกทุกคนภายในครอบครัวไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่ห้องห้องนี้เว้นเพียงแต่อัศวินเบ็นเน็ตต์คนเดียวเท่านั้น นี้เป็นครั้งแรกที่อาเบลได้รับอนุญาตให้เข้าห้องนี้ได้ อาเบลรีบสอดส่องสายตาไปทั่วห้อง
เพียงแค่มองแวบแรกอาเบลรู้ได้ทันทีว่าห้องห้องนี้เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่มาก อีกด้านหนึ่งของห้องมีกำแพงสีขาวที่เต็มไปด้วยรูปบรรพบุรุษทั้งหลายของตระกูลเบ็นเน็ตต์ ส่วนอีกด้านหนึ่งเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ มีหนังสือหลากหลายขนาดมาก แต่หนังสือเหล่านี้ล้วนมีแต่สีแดงและสีดำเท่านั้น
ในใจกลางของห้องเองมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่อยู่ จากที่อาเบลสังเกตเห็นโต๊ะตัวนี้มีผิวที่เรียบเนียนมาก มีเอกสารบางอย่างถูกวางไว้บนโต๊ะนั่นเอง ดูเหมือนเป็นเอกสารสำหรับเซ็นชื่ออะไรสักอย่าง ทั้งหมดนี้คือคอร์ของอัศวินผู้ทรงเกียรติเบ็นเน็ตต์ คำสั่งการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคำสั่งที่เล็กเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็จะเริ่มมาจากห้องนี้
อัศวินเบ็นเน็ตต์เดินไปที่โต๊ะตัวนั้น เขาลากกล่องขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้โอ๊คติดตัวเขาไปด้วย มันเป็นกล่องแฟนซีที่มีส่วนประกอบเป็นหนังกวาง มีที่จับเป็นทองแดงสีแดงอยู่บนกล่อง เมื่ออัศวินเบ็นเน็ตต์เปิดกล่องๆ นี้เข้า อาเบลเห็นชุดเกราะทั้งชุดอยู่ด้านในของกล่องๆ นี้
มันคือชุดเกราะสไตล์ชาวฝรั่งเศส เป็นชุดเกราะที่ทำจากหนังสัตว์นั่นเอง เกราะตัวนี้เป็นชุดเกราะครึ่งตัว ด้านหน้าและด้านหลังตกแต่งด้วยโลหะที่มีแสงเป็นประกายแวววาว จากไหล่ไปถึงข้อมือถูกหุ้มไว้ด้วยแผ่นเหล็กมากมาย นี้คือชุดเกราะที่ไม่สามารถหาได้ทั่วไป มันคือชุดเกราะที่ผสมทั้งหนังสัตว์และแผ่นโลหะไว้ ชุดเกราะนี้ไม่เพียงแต่มีราคาที่ถูกกว่าเกราะเหล็กทั่วไป แต่มันยังมีความทนทานกว่ามาก ความทนทานและความยืดหยุ่นที่ได้มามาจากหนังสัตว์นั่นเอง
“พ่อได้เกราะตัวนี้มาตั้งแต่ตอนสู้กับพวกออร์ค หลังที่พ่อฆ่าวัวคลั่งนั่นได้ พ่อเอาหนังของมันไปสร้างชุดเกราะนี้นั่นเอง” อัศวินเบ็นเน็ตต์พูดพร้อมกับนำชุดเกราะชุดนี้ออกมาจากกล่อง ส่วนล่างของเกาะเป็นหนังคล้ายกับกางเกงยีนส์ ที่หัวเข่าถูกหุ้มไว้ด้วยแผ่นเหล็กอีกเช่นเคย
“รับดาบยาวเล่มนี้กับรองเท้าบูทและถุงมือไปด้วยลูก ถึงมันจะไม่มีค่าอะไรนักแต่ลูกก็สมควรแล้วที่จะได้มันไป”
ดวงตาของอาเบลเริ่มบวมขึ้น เขารู้ดีว่าชุดเกราะชุดนี้เป็นชุดเกราะสำรองของพ่อเขานั่นเอง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่อัศวินจะมีชุดเกราะเพียงชุดเดียว อัศวินทั้งหลายจึงต้องเตรียมชุดเกราะสำรองไว้ เผื่อวันใดพวกเขาจะเอาชุดเกราะที่มีอยู่เดิมไปซ่อมแซมบำรุง ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ไปอัศวินเบ็นเน็ตต์จะไม่มีชุดเกราะสำรองไว้ปกป้องตัวอีกต่อไปแล้ว
อาเบลไม่ลังเลที่จะรับชุดเกราะของผู้เป็นพ่อเอาไว้ เมื่ออาเบลรับกล่องไปเขารู้สึกว่าน้ำหนักของกล่องนี้เป็นเหมือนกับความรักของผู้เป็นพ่อคนนี้นั่นเอง ไม่มีของขวัญไหนจะมีค่าเท่านี้อีกแล้ว
หลังจากที่อาเบลได้รับชุดเกราะ เขาจึงกลับมาที่ห้องของเขานั่นเอง ในตอนนี้แม่ของอาเบลกำลังรออยู่ที่ห้องของเขาก่อนอยู่แล้ว แม่ของอาเบลก็เตรียมของขวัญไว้ให้เขาเช่นกัน ของขวัญของผู้เป็นแม่เรียบง่ายกว่าพ่อมาก มีทั้งแจ็คเก็ต เสื้อ ชุดสำหรับการฝึกฝน ชุดทางการ และผ้าเช็ดหน้าอีกหลายผืน ของขวัญทั้งหมดล้วนแต่เป็นเสื้อผ้า ไม่มีสิ่งอื่นใด
นอร่าไม่ได้ร้องไห้แล้วในเวลานี้ เธอจับมือของอาเบลไว้และพูดกับเขา เธอพูดอย่างช้าๆ
ในค่ำคืนนี้ยังเป็นคืนที่เงียบสงบเช่นเคย แต่ปราสาทเบ็นเน็ตต์ยังคงเปิดไฟตลอดทั้งคืน ดูเหมือนว่าสมาชิกครอบครัวเบ็นเน็ตต์ทั้งหมดจะไม่มีใครได้นอนหลับเลยในค่ำคืนนี้