“เจ้าช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ” ภายในหอคอยทมิฬ สุ่ยเยี่ยนยวี่ ส่ายหัวและถอนหายใจ
หลัวยวี่และหลัวอู้คือเสาหลักของตระกูลหลัว จั่วเซียว ฟานหยงและเหลี่ยวหยิงเองก็เป็นคนที่มีอายุมาแล้วหลายพันปี แต่พวกเขาก็ยังตกหลุมพรางหลิงฮัน
ที่เขากล่าวไปว่าเพื่อให้คนร้ายปรากฏตัว ที่จริงเขาก็แค่ต้องการให้คนเหล่านี้เข้าห้ำกั่นใส่กันเอง โดยที่เขาเป็นผู้ชม
“แล้วเจ้าชอบที่ข้าทำเช่นนี้รึไม่?” หลิงฮันยิ้ม โชคไม่ดีที่พวกเขาอยู่ภายในหมอกดำทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกหอคอยทมิฬ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“ไม่!” สุ่ยเยี่ยนยวี่รีบตอบ นางกลัวว่าหลิงฮันทำเรื่องเจ้าเล่ห์กับนาง ซึ่งนางไม่ชอบแม้แต่น้อย
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ใช่ว่าสตรีนั้นชื่นชอบบุรุษชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์รึไง่?”
“ใช่ที่ไหน!” สุ่ยเยี่ยนยวี่เค้นเสียง นางไม่มีทางชอบคนเลวและเจ้าเล่ห์แน่นอน ไม่เช่นนั้นนางจะหนีจากจ้าวหลุนทำไม?
“เกือบจะได้เวลาออกไปแล้ว” หลิงฮันกล่าว เขารู้สึกได้ว่าดวงตะวันกำลังจะสาดแสงลงมาอีกครั้ง
‘พรึบ’ ทั้งสองคนออกจากหอคอยทมิฬ ด้วยการที่มีหมอกหนาทึบทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบว่าพวกเขาหายตัวไปชั่วขณะและจู่ๆก็กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
แสงจากดวงตะวันหวนคืนกลับมา
“อะไรกัน!”
ทุกคนตกตะลึงทันทีเนื่องจากมีร่างอีกเจ็ดร่างนอนแน่นิ่งเรียงกันอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ
ร่างทุกร่างตายด้วยสาเหตุเดียวกันคือถูกแทงด้วยดาบอันเฉียบคม
ใครเป็นคนลงมือกันแน่?
สายตาทุกคู่อดหันมองมายังหลิงฮันไม่ได้ เขาเป็นคนแนะนำให้กลับเข้ามาในหมอกอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด
“หลิงฮัน คราวนี้เจ้ายังมีอะไรจะกล่าวอีกรึไม่?” หลัวยวี่ตะโกนขึ้นมา
“ข้าไม่มีอะไรกับตัวโง่งมเช่นเจ้า” หลิงฮันยิ้ม “แต่แผนการของข้าก็ได้ผลไม่ใช่รึไง? เพราะคนร้ายก็ปรากฏตัวอีกครั้งตามคาด แต่แค่พวกเจ้าไม่สามัคคีร่วมมือกันก็เท่านั้นเอง ไม่เช่นนั้นทั้งๆที่มีจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดมากมายขนาดนี้อยู่บนเรือจะไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้อย่างไร?”
“ไร้สาระ เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของเจ้า!” หลัวยวี่ชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน
หลิงฮันส่ายหัว “เมื่อครู่นี่ทุกคนต่างก็รุมโจมตีใส่ข้า ข้าจะไปมีเวลาสังหารคนถึงเจ็ดคนได้อย่างไร?”
“ไม่ต้องหาข้อแก้ตัว!” ฟานหยงเค้นเสียง
“ถูกแล้ว เจ้าพูดอะไรไร้สาระ!” หลัวยวี่เองก็ปฏิเสธทันทีเนื่อจากการโจมตีใส่ศิษย์สำนักเดียวกันนั้นผิดกฎของสำนักนภาสีชาด
หยางเทียนเฉิงขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขาก็รู้ว่าการต่อสู้เมื่อครู่นั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนแต่มุ่งเป้าไปยังหลิงฮัน ซึ่งหากจะบอกว่าในสถานการณ์เช่นนั้นหลิงฮันยังสามารถสังหารคนอื่นได้ถึงเจ็ดคนก็นับว่าเหลือเชื่อเกินไป
แต่ในขณะเดียวกันหลิงฮันก็ยังเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดเหมือนกันเพราะเขาเป็นคนที่แนะนำให้กลับเข้าไปยังหมอกดำ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็กลับไปยังหมอกดำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเราจะต้องมัดตัวเขาเอาไว้!” หลัวยวี่ชี้ไปยังหลิงฮัน
“ความคิดดี!” ฟานหยงปรบมือเห็นด้วย
“เหอๆ หลิงฮัน เจ้าบอกเองสินะว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์? ถ้าเจ้าถูกมัดเอาไว้ตอนอยู่ในหมอกแล้วไม่มีใครตาย นั่นก็ถือว่าเจ้าไม่ใช่คนร้าย” หลัวอกล่าวตาม
หลิงฮันเค้นเสียง “พวกเจ้าบ้ารึเปล่า? หากทำเช่นนั้นข้าก็กลายเป็นเป้านิ่งไม่ใช่รึไงกัน!”
“พี่ชายหยาง ท่านเป็นผู้นำของเรือลำนี้ ท่านมีความเห็นอย่างไร?” หลัวยวี่โยนปัญหานี้ไปให้หยางเทียนเฉิง
หยางเทียนเฉิงครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะกล่าวออกไป “หลิงฮัน เจ้ามาตรงนี้ ข้าจะคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าเอง!”
ที่เขาพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาเห็นด้วยกับหลัวยวี่และคนอื่นๆที่ว่าจะกลับไปยังหมอกโดยมัดตัวหลิงฮันเอาไว้
หลิงฮันคิดนิดหน่อยและกล่าวออกไป “ก็ได้ ข้าเชื่อใจพี่ชายหยาง!”
เขาพยักหน้าให้กับสุ่ยเยี่ยนยวี่ พวกเขาเดินไปยืนด้านข้างหยางเทียนเฉิง
หยางเทียนเฉิงนำโซ่สองอันออกมา “โซ่นี่สร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่และมีรูปแบบอักขระสลักเอาไว้ถึงสามอักขระ ถ้าถูกโซ่นี่รัดเอาไว้ แม้จะเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถแก้ให้หลุดได้”
ทุกคนพยักหน้า อุปกรณ์เช่นนี้มีไว้ใช้ผนึกจอมยุทธระดับสูงโดยเฉพาะ นี่เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่เท่านั้น ถ้าเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก เจ็ด หรือแปดล่ะก็ แม้แต่ตัวตนระดับสุริยันจันทราก็ต้องถูกกักขัง
รูปแบบอักขระสามรูปแบบจะทำการผนึกพลังของจอมยุทธอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อใดที่ถูกมัดต่อให้ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์
‘ฮึ่ม คราวนี้แหละเจ้าจบสิ้นแล้ว!’
หลัวยวี่และคนอื่นๆคิดในใจ พวกเขาไม่สนใจอยู่แล้วว่าหลิงฮันจะเป็นคนร้ายหรือไม่ พวกเขาแค่ต้องการหาโอกาสในการสังหารหลิงฮันเท่านั้น
หยางเทียนเฉิงมัดหลิงฮันต่อหน้าทุกคนและกล่าว “สบายใจได้ ข้ารับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้แน่นอน!”
แม้อีกฝ่ายจะกล่าวเช่นนั้นแต่หลิงฮันก็ยังไม่ไว้วางใจ
พลังของหยางเทียนเฉิงนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่จอมยุทธคนอื่นในที่นี้ก็ไม่ได้อ่อนแอ พวกหลัวยวี่กับเหลี่ยวหยิงเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารี่ขั้นสูงสุด ถ้าหากพวกเขาทั้งห้าคนร่วมมือกัน หยางเทียนเฉิงจะหยุดพวกเขาได้?
ตราบใดที่พวกเขาถ่วงเวลาหยางเทียนเฉิงเอาไว้ได้ คนที่เหลือก็สามารถสังหารหลิงฮันได้อย่างไม่ยากเย็น
ที่หลิงฮันยอมรับขอเสนอเป็นเพราะเขามีหอคอยทมิฬ
“พวกเจ้ามาตรงนี้ซะ ยืนเรียงกันค่อยป้องกันทั้งสองคนเอาไว้ ต่อให้พวกเจ้าตายก็ห้ามขยับหลบให้สองคนนี้เป็นอะไรไป!” หยางเทียนเฉิงตะโกนออกมา
“ขอรับ!” ลูกเรือยี่สิบคนขานรับและรีบมายืนล้อมรอบหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่
‘เหอะ ลูกเรือแต่ละก็เป็นเพียงจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้น พวกเขาจะทำอะไรได้?’
หลัวยวี่และคนอื่นๆกล่าวในใจ ความห่างของขั้นพลังในระดับพลังบ่มเพาะระดับพระเจ้านั้นกว้างเกินไป แค่พลังต่างกันขั้นเล็กๆหนึ่งขั้นก็มีอำนาจเหนือล้นกว่าแล้ว ไม่ต้องกว่าถึงพวกเขาที่มีพลังสูงกว่าเหล่าลูกเรือสองสามขั้นเลย
ตัวเรือหันลำอีกครั้งและวกกลับไปยังหมอกดำ
ทุกคนกลายมาสงบนิ่งอีกครา
เรือค่อยๆเข้าไปยังเขตหมอกดำช้าๆ เมื่อแสงสุดท้ายของตะวันหายไปการปะทะก็เริ่มขึ้น
ปัง! ปัง! ปัง!
ทุกคนกระหน่ำโจมตีไม่ยั้ง คลื่นพลังและเงาของกระบี่และดาบสาส่องไปทั่ว
หยางเทียนเฉิงปล่อยพลังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการโจมตีจากทุกคน เขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดที่อยู่ในขั้นที่ไม่สามารถพัฒนาต่อได้แล้วจนกว่าจะทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทรา
หลังจากการขัดเกลาหลายพันปีพลังต่อสู้ของเขาก็บรรลุระดับสุดยอด หมัดของเขาทรงพลังไม่ต่างกับแร่โลหะในระดับเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังเป็นอัจฉริยะสองดาวอีกด้วย ดังนั้นพลังต่อสู้ของเขาจึงน่าสะพรึงกลัวมาก
แต่ปัญหาก็คือมีคนที่กระหน่ำโจมตีใส่เขาเยอะเกินไป แถมทุกคนก็ไม่ใช้ตั้งใจโจมตีโดยมีเขาเป็นเป้าหมาย พวกเขาต้องการโจมตีผ่านร่างของเขาไป
ดังนั้นความยากจึงเพิ่มขึ้นเนื่องจากเขาไม่สามารถปัดป้องการโจมตีได้ทุกครั้ง
“อ้ากกก” เสียงกรีดร้องของลูกเรือดังขึ้นพร้อมกับร่างของพวกเขาที่ล้มลงกับพื้นนอนแน่นิ่ง
“บังอาจ!” หยางเทียนเฉิงเกรี้ยวกราด ร่างของเขาส่องประกายเงาวับราวกับร่างกลายเป็นโลหะสีดำ ในที่สุดเขาก็จะลงมือใช้ทักษะเพื่อโจมตี