เศษซากเรือที่ลอยอยู่สองชิ้นเป็นเหมือนกับเรือเล็กสองลำที่กำลังลำเลียงผู้รอดชีวิตลอยอยู่ในทะเล
พวกเขากำลังพยายามกลับไปในเส้นทางเดินเรือของตระกูลหยาง มันน่าจะใช้เวลาไม่เกินสามวันที่พวกเขาจะได้พบเรือของตระกูลหยางและขอความช่วยเหลือ
แต่น่าเสียดายที่ระหว่างทางพวกเขาเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่และพัดพวกเขาจนเวียนหัวและสูญเสียทิศทางไป
เมื่อพายุสงบลง หยางเทียนเฉิงก็หยิบเข็มทิศออกมาและพบว่าพวกเขาออกจากเส้นทางไปมาก
ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพายเรือสุดแรงเกิดเพื่อให้กลับไปยังเส้นทางเดิมให้เร็วที่สุด
โชคดีที่พวกเขาทุกคนเป็นจอมยุทธจึงไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและน้ำ
ในไม่ช้ายามราตรีก็มาถึง ทุกคนล้มตัวนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่มีใครกล้าทำตัวผ่อนคลายจนเกินไป เพราะทุกคนต่างก็เป็นคนแปลกหน้า ใครจะเชื่อคนอื่นได้?
ในรุ่งเช้า เมื่อดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุโผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าในระดับเดียวกับน้ำทะเล มันเป็นทัศนียภาพที่งดงามหาที่เปรียบมิได้
“หืม ดูเหมือนจะมีเรืออยู่ตรงนั้น!”
มีจุดสีดำอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่ามีบางอย่างกำลังลอยอยู่ในทะเล
“ระวังตัวไว้ให้ดี บางทีมันอาจเป็นเรือโจรสลัด!” หยางเทียนเฉิงกล่าวเตือน ตอนนี้พวกเขาออกจากเส้นทางเดินเรือของตระกูลหยางไปมาก ตามทฤษฎีแล้วเรือของตระกูลหยางจะไม่ปรากฏที่นี่ ดังนั้นโอกาสที่เรือที่เขาเห็นจะเป็นเรือโจรสลัดจึงมีความเป็นไปได้สูงมาก
“ไม่ใช่!” หลิงฮันใช้เนตรแห่งสัจธรรมและส่ายหน้า “มันไม่ใช่เรือ แต่เป็นเกาะ!”
เหตุผลที่มันดูคล้ายกับเรือ เพราะเกาะอยู่ไกลจากพวกเขามาก
“เกาะ!”
แววตาของทุกคนดูเปล่งประกาย ถ้าพวกเขาไปถึงเกาะ พวกเขาก็จะสามารถซ่อมแซมเรือได้ หรืออย่างน้อยพวกเขาก็สามารถทำไม้พายขึ้นมาได้สองสามอัน ซึ่งดีกว่าตอนนี้
พวกเขาพายกันมาเป็นเวลานาน เกาะที่พวกเขาเห็นตรงหน้าก็เริ่มมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการพิสูจน์ว่ามันเป็นเกาะจริง ทั้งยังมีขนาดใหญ่มาก
เรื่องนี้ทำให้หลายคนตกตะลึง หลิงฮันมองเห็นไกลขนาดนั้นได้อย่างไร?
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงเกาะ
“กระจายกำลังออกไปให้ทั่วและรวบรวมของที่ใช้ได้มาไว้ที่นี่” หยางเทียนเฉิงกล่าว และเก็บซากเรือสองชิ้นในแหวนมิติ เพื่อไม่ให้ใครขโมยมันและพายออกไปตามลำพัง โดยที่ทิ้งคนอื่นไว้บนเกาะ
เขาเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดและยังเป็นกัปตันเรือ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คำพูดของเขาจะมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ
หลัวอู่และฟานหยงมองหน้ากัน หลังจากที่ทั้งสองคน “แบ่งปันความสุขและความฉิบหาย” ร่วมกัน พวกเขาจึงได้ก่อตั้งพันธมิตรขึ้น ตอนนี้ทุกคนต้องกระจายกำลังออกไปทั่วเกาะ แต่แน่นอนว่าเป้าหมายของพวกเขาคือหลิงฮัน
แต่น่าเสียดายที่หยางเทียนเฉิงไปกับหลิงฮันด้วย ดังนั้นแผนการที่จะตามหลิงฮันไปและฆ่านั้นเลยล้มเหลว
ในความเป็นจริง หลิงฮันรู้สึกเศร้าใจมากที่ไม่ได้ใช้ตาข่ายผนึกสีชาด หากใช้มันเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวจอมยุทธที่แข็งแกร่งกว่า จากนั้นเขาก็จะใช้ทักษะจิตเจ็ดสังหารเพื่อทำให้อีกฝ่ายชะงักแล้วพาเข้าไปในหอคอยทมิฬ
เกาะแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกไปทางทิศตะวันออก กลุ่มสองไปทางทิศตะวันตก
ป่าทึบบนเกาะนั้นหนาแน่นมาก ต้นไม้อย่างน้อยมีความสูงหนึ่งร้อยเมตรและมีใบหน้าขนาดใหญ่ ดังนั้นเมื่อเดินอยู่ใต้ต้นไม้จึงแทบจะไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดให้เห็นเรื่อง บรรยากาศของที่นี่จึงมืดครึ้มเป็นพิเศษ
กลุ่มของหลิงฮันมีทั้งหมดหกคน นอกจากเขากับสุ่ยเยี่ยนยวี่แล้ว ยังมีหยางเทียนเฉิง หยินหยวนเซียง ฟู่เทียนและจินจื้อฮุย
เห็นได้ชัดว่าหยางเทียนเฉิงจงใจแยกหลิงฮันออกจากศัตรูของเขา
“พี่ชายจิน ท่านถือดาบทั้งวันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยหรือ?” หลังจากที่พวกเขาออกสำรวจ หลิงฮันก็พูดกับชายหนุ่มที่ถือดาบด้วยรอยยิ้ม
จินจื้อฮุยส่ายหัวและพูดว่า “เมื่อใดที่เจ้าเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของดาบ เจ้าก็จะกลายเป็นนักดาบที่ไร้พ่าย!”
นี่เขาเป็นพวกบ้าดาบ?
สุ่ยเยี่ยนยวี่ถอนหายใจและพูดว่า “จริงหรือไม่ที่…พี่ชายจินมาจากหมู่บ้านนักตีดาบ?”
ถ้าเป็นชายคนอื่นคงจะหันไปจ้องมองสุ่ยเยี่ยนยวี่ไปด้วยความตกตะลึงไปแล้ว แต่จินจื้อฮุยกลับไม่แสดงสีหน้าออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย และยังคงจับดาบแน่น ราวกับเป็นคนรักที่ไม่อาจปล่อยมือได้
“ใช่ ข้ามาจากหมู่บ้านนักตีดาบ” เขาพยักหน้าอย่างเฉยเมย
“อืม!” สุ่ยเยี่ยนยวี่พยักหน้า ทุกคนที่มาจากหมู่บ้านนักตีดาบจะมีแซ่ว่าจิน
“หมู่บ้านนักตีดาบคืออะไร?” หลิงฮันถาม
“หมู่บ้านนักตีดาบเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงด้านการตีดาบแห่งหนึ่งของที่นี่ พวกเขาจะใช้อาวุธดาบเท่านั้นและไม่ใช้อาวุธประเภทอื่น แล้วอาวุธที่พวกเขาสร้างขึ้นนั้นไม่เพียงแค่แหลมคมและทรงพลังเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถพิเศษด้วย” สุ่ยเยี่ยนยวี่อธิบาย “และนักดาบทุกคนล้วนแต่อยากได้ดาบของหมู่บ้านนักตีดาบกันทั้งนั้น”
มันดีขนาดนั้นเลย?
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “พี่ชายจิน ถ้าข้ามีวัตถุดิบสำหรับสร้างดาบ ข้าจะขอให้พี่ชายจินช่วยตีดาบให้ข้าได้หรือไม่?
หยางเทียนเฉิงอดส่ายหัวไม่ได้ แน่นอนเขารู้เรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านนักตีดาบดี และรู้แม้กระทั่งผู้คนในหมู่บ้านนี้เป็นพวกแปลกประหลาดและมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่พวกเขากลับไม่สนใจเงินทองหรืออำนาจอะไรทั้งสิ้น และสนใจแค่การตีดาบเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พวกเขาจะชื่นชอบการตีดาบ แต่การที่พวกเขาจะตีดาบขึ้นมานั้น มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพวกเขา แม้จะเสนอผลึกก่อเกิดให้มหาศาลก็ตาม
หลิงฮันจะต้องถูกจินจื้อฮุยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอย่างแน่นอน
“ตกลง!” จินจื้อฮุยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
พรวด!
หยางเทียนเฉิงแทบกระอัก ไม่ใช่ว่าหมู่บ้านนักดาบเป็นพวกแปลกประหลาดหรอกหรือ? และจะตีดาบเฉพาะเมื่ออย่างตีไม่ใช่หรือไง?
จินจื้อฮุยเกาหัวและพูดด้วยท่าทางเขินอายว่า “แต่ว่าข้ายังไม่เคยตีดาบมาก่อน”
พรวด!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงรับปากได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเขายังเป็นแค่มือใหม่เท่านั้น
หลิงฮันหัวเราะและตบไหล่อีกฝ่าย แล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอฝากพี่ชายจินด้วย ส่วนวัตถุดิบข้าจะหามาให้ทีหลัง”
“เจ้าไม่กลัวว่าจะเสียวัตถุดิบไปอย่างสูญเปล่าหรือ?” จินจื้อฮุยรู้สึกแปลกใจ เมื่อคนอื่นได้ยินที่เขาพูดเมื่อครู่ พวกเขาคงจะส่ายหัวปฏิเสธไปแล้ว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ประโยคที่พี่ชายจินพูดเมื่อครู่ว่า เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของดาบ นั่นก็ทำให้ข้ามั่นใจแล้วว่าพี่ชายจินจะสามารถตีดาบที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาได้!”
จินจื้อฮุยรู้สึกแปลกใจ แม้กระทั่งในหมู่บ้านนักตีดาบ เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ตีดาบเลย กระทั่งพ่อของเขาก็ยังไม่อนุญาต แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาที่อยากให้เขาตีดาบให้
กุญแจสำคัญคือ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของดาบ ที่เขาพูดเมื่อครู่ แต่ตอนนี้ประโยคดังกล่าวพูดออกมาจากปากของหลิงฮัน นี่ทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากขึ้น
“แน่นอน ข้าจะตีดาบที่ไม่เหมือนใครให้กับเจ้าในอนาคต!”เขากำหมัดแน่นด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่นิ่งเงียบมากและเปิดปากพูดแค่ไม่กี่คำเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเปิดปากพูดกับหลิงฮันไม่หยุดและยังคงพูดต่อไป
“น้องชายหลิง ข้าต้องการตีดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!” เขากล่าวเช่นนั้น