บนแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีศาสตร์ความเชี่ยวชาญอยู่หลายแขนง
ศาสตร์ที่พบเจอได้ง่ายที่สุดแต่มีสถานะสูงส่งที่สุดคือศาสตร์แห่งการปรุงยา
นอกจากนั้นก็ยังมีศาสตร์ที่เรียกว่าผู้ใช้รูปแบบอาคมอยู่ รูปแบบอาคมขนาดใหญ่ที่ใช้ป้องกันเมืองจักรพรรดิก็เป็นผลงานของปรมาจารย์รูปแบบอาคม ในดวงดาวแห่งนี้พวกเขาเป็นตัวตนที่มีสถานะสูงส่ง แม้จะเป็นจักรพรรดิหรือจักรพรรดิรีของจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสามก็ต้องให้เกียร์ติพวกเขา
ส่วนศาสตร์อื่นๆที่หาได้ยากยิ่งก็คือ นักทำนายอนาคต นักพยากรณ์ดารา และ… นักเชิดหุ่น!
หุ่นเชิดคือวัตถุไร้ชีวิตที่ถูกทำให้มีชีวิต นักเชิดหุ่นเองก็สามารถพบได้ในเมืองจักรพรรดิ เพียงแต่ว่าพวกเขามีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ดังนั้นเมื่อเห็นทั้งสามคนกำลังขี่สัตว์หุ่นเชิดอยู่ หยางเทียนเฉิงจึงตกตะลึงเป็นเรื่องธรรมดา
สถานที่รกร้างเช่นเกาะนี้ การจะมีนักเชิดหุ่นปรากฏตัวถือว่าแปลกประหลาดเกินไป
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะมีแขกมาที่เกาะนี้!” ชายหนุ่มที่ขี่เสือพูดเปิด “ข้าสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว ตอนแรกนึกว่าเครื่องตรวจจับมีปัญหา แต่ที่แท้ก็มีแขกมานี่เอง”
หยางเทียนเฉิงในฐานะผู้นำกลุ่ม เขาเป็นคนกล่าวตอบกลับไป “พวกเราพบเจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้เรือล่มจึงลอยมาติดที่นี่ เจ้าช่วยบอกได้รึไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน?”
“ที่นี่คือเกาะแก่นโลกา” ชายหนุ่มที่ขี่เสือหัวเราะและชี้ไปยังขอบหลุม “พวกเราเรียกสิ่งนี้ว่าหลุมแก่นกลาง มีคำกล่าวว่ามันคือเส้นทางที่นำไปสู่แกนโลก โอ้จริงสิ ข้าคือโกวชิ่วเหวิน สองคนนี้คือศิษย์น้องของข้า หนิงไถ่ ต๋งหยู่หลง”
“ยินดีที่ได้พบ!” หนิงไถ่และต๋งหยู่หลงกล่าวทักทาย
หลิงฮันและคนอื่นๆแนะนำชื่อตนเองทีละคน
“เรือของพวกท่านถูกสัตว์อสูรจู่โจมจนพังทลายและพูดพัดจนมาถึงที่นี่สินะ” โกวชิ่วเหวินพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “เกาะแห่งนี้คือเกาะที่แยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยว ผู้คนที่นี่ไม่มีความคิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก พวกเราต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
“ขอเชิญทุกคนไปพักที่หมู่บ้านของพวกเขาก่อน แล้วค่อยดูว่าพวกเขาจะช่วยสร้างเรือให้พวกท่านเพื่อส่งพวกท่านกลับไปได้หรือไม่” หนิงไถ่เอ่ยแทรกง
“เพียงแต่ว่าพวกเรานั้นชื่นชอบความสงบสุข โปรดเก็บสถานที่ของเกาะนี้ไว้เป็นความลับห้ามแพร่งพรายโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นชีวิตอันแสนสงบสุขของพวกเราคงถูกทำลาย” ต๋งหยู่หลงกล่าว
หยางเทียนเฉิงและคนอื่นๆพยักหน้า
“พวกเรายังมีพวกพ้องอีกสามคน…” หยางเทียนเฉิงนั้นถึงแม้เขาจะไม่ชอบหลัวอู้กับฟานหยง แต่ในฐานะกัปตันเรือ เขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทั้งสองคน
“ข้ารู้แล้ว พวกเราให้ศิษย์น้องอีกสองคนมุ่งหน้าไปหาพวกเขาเพื่อรับไปยังหมู่บ้านแล้ว” โกวชิ่วเหวินหัวเราะ
หยางเทียนเฉิงพยักหน้า
“เชิญมากับพวกเรา” โกวชิ่วเหวินควบคุมเสือและเคลื่อนที่ไปยังเชิงเขาอย่างไม่รีบร้อน
ทุกคนเดินตามไปอย่างใกล้ชิด หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่งโมงพวกเขาก็เดินผ่านชั้นป่าทึบและมีหมู่บ้านปรากฏอยู่เบื้องหน้า เชิงเขาที่นี่สูงชัน มันถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาและมีทางคับแคบๆเพียงทางเดียว
ที่ทางเข้าไม่มีทหารยืนคุ้มกัน แต่มีเพียงรูปปั้นหินสองรูปตั้งอยู่ ตัวหนึ่งคือแมงมุมแปดขา และอีกตัวคือนกที่มีปีกขนาดใหญ่ กรงเล็บของมันมีขนาดใหญ่และหนากว่าแขนของมนุษย์เสียอีก
พวกเขาเดินเข้าไปยังหมู่บ้าน เมื่อเข้าไปแล้วพวกเขาก็พบเจอกับทิวทัศน์อันงดงามที่เฉิดฉายอยู่
สถานที่แห่งนี้ถูกล้อมไปเป็นแปลงสวนโดยมีหมู่บ้านขนาดใหญ่เป็นศูนย์กลาง มีทั้งสะพานเล็กๆ แม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและผู้คน มันคือภาพที่เห็นแล้วดูสงบสุขและงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ทิวทัศน์เช่นนี้ทำให้ผู้คนที่เห็นลืมภาพการต่อสู้อันโหดเหี้ยมและนองเลือดไปเสียสนิท ความรู้สึกที่เหลืออยู่คือความผ่อนคลาย
“เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!” หยางเทียนเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง “พวกเจ้าทั้งสาม เมื่อใดที่ข้าต้องการละทางโลกข้าจะสามารถมาที่นี่ได้รึไม่?”
โกวชิ่วเหวินยิ้ม “ถ้าพี่ชายหยางตัดสินใจละทางโลกแล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ? แต่โปรดจำเอาไว้ให้ดีว่าหลังจากมาที่นี่ท่านจะต้องลืมสถานะจอมยุทธของท่านไปเสีย ที่นี่ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธระดับดาราหรือระดับทลายมิติ หากอยู่ที่นี่ก็ถือว่าเป็นชาวสวนและครอบครัวเดียวกัน”
ทุกคนพยักหน้า ทุกสถานที่ล้วนมีกฎเป็นของตนเอง
ในที่ดินเพาะปลูกจะสามารถมองเห็นคนบางคนที่กำลังเลี้ยงสัตว์ บางคนก็ปลูกผัก พวกเขาแม้จะดูยุ่งๆแต่ก็ดูผ่อนคลาย
พวกเขาเดินผ่านที่ดินเพาะปลูกและเข้าไปยังหมู่บ้าน ที่นั่นมีผู้คนเดินผ่านไปมาบ้างเป็นระยะ ผู้คนส่วนใหญ่นั้นตอนนี้อาศัยอยู่ในบ้านตนเอง บ้างก็กำลังรดน้ำต้นไม้ บ้างก็กำลังอาบแดด บ้างก็กำลังจุดควัน พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างเงียบสงบ
“ผู้คนที่นี่รักความสงบ ดังนั้นช่วยอย่าไปรบกวนคนอื่นด้วย เมื่อทุกคนมาอยู่ที่นี่ พวกเขาทุกคนล้วนแต่ละทิ้งสถานะเดิมของตนเองไปแล้ว” โกวชิ่วเหวินเอ่ยเตือน
หลังจากเดินไปสักพักพวกเขาก็มาถึงใจกลางของหมู่บ้าน ที่นี่มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เรียกได้ว่ามันแทบจะมีขนาดเกือบจะหนึ่งในสามของทั้งหมู่บ้าน
เมื่อเปิดประตูก็พบเจอกับลานกว้างที่ถูกปูด้วยก้อนอิฐสีฟ้า มันดูแล้วเหมือนกับที่ที่ใช้สำหรับฝึกฝนวรยุทธ แต่กลับไม่มีใครกำลังฝึกอยู่แม้แต่คนเดียว
“ทุกคน ข้าขอให้พวกท่านพักที่นี่กันไปก่อน อาจารย์ของข้ามักจะชอบทำเรื่องแปลกๆ บางทีเขาก็จะไม่ว่างหลายวัน ข้าอาจจะต้องให้พวกท่านรอไปก่อน” โกวชิ่วเหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษ
ทุกคนไม่ขัดข้อง ถ้าพวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือพวกเขาก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันกว่าจะลอยแพกลับไปยังเส้นทางเดินเรือของตระกูลหยางได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดมากแม้แต่น้อยเลยว่าจะต้องที่นี่เพียงไม่กี่วัน
โกวชิ่วเหวินพาพวกเขาไปยังฝั่งซ้ายของคฤหาสน์ ที่นี่มีลานบ้านขนาดย่อมเยอะมากซึ่งเพียงพอสำหรับทุกคน หลังจากได้ที่พักแล้ว หลัวอู้ ฟานหยงและเหลี่ยวหยิงก็ถูกชายหนุ่มอีกสองคนนำทางมา
สองคนที่นำทางมาคือศิษย์น้องของโกวชิ่วเหวิน คนหนึ่งชื่อซุ่ยเต๋อ อีกคนชื่อปู้เชิงหยุน
หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่อาศัยอยู่ในบ้านพักเดียวกัน อย่างไรพวกเขาก็อยู่ในหอคอยทมิฬอยู่แล้วจึงไม่ต้องสนใจสภาพแวดล้อมด้านนอก
ณ ตอนนี้ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นมืดค่ำแล้ว
“แปลกมาก!” หลิงฮันกล่าว