“โอ้!” หลิงฮันชะงัก เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ!
การเปิดสวรรค์ขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะได้รับวาสนาพลังต่อสู้สามดาวซึ่งจะช่วยให้บรรลุขีดจำกัดพลังต่อสู้ของระดับพลังมนุษย์
“ที่ชายชราผู้นี้บอกเจ้าเรื่องนี้ก็เป็นเพราะข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ปรารถนารีบเร่งบ่มเพาะพลัง ถ้าเจ้าต้องการเป็นราชันที่แท้จริงเจ้าต้องขัดเกลาทุกๆขั้นพลังให้ถึงขีดจำกัด ไม่เช่นนั้นถ้าหากใครก็คนที่มีรากฐานระดับพลังมั่นคงกว่าเจ้า เขาก็จะเหนือกว่าเจ้าไปโดยปริยาย”
“หากไม่ใช่รากฐานพลังที่แข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และทักษะลับ เจ้าไปต่อกรกับทายาทของตัวตนระดับวารีนิรันดร์หรือระดับสร้างสรรพสิ่งได้อย่างไร?”
หลิงฮันพยักหน้า จากความรู้ในตอนนี้ หากต้องการจะเหนือกว่าทายาทของตัวตนระดับสูงสิ่งที่เขาทำได้คือขัดเกลาขั้นพลังของแต่ละระดับให้ถึงจุดสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
“ข้าขอบคุณท่านจริงๆที่ชี้แนะข้า!” หลิงฮันกล่าวจากใจ ไม่เช่นเขาคงทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราทันทีที่เขาบรรลุภูผาวารี่ขั้นสูงสุดเป็นแน่ หากทำเช่นนั้นเขาก็จะเป็นได้แค่อัจฉริยะหกดาว ต่อให้ในอนาคตเขาขัดเกลาพลังต่อสู้เท่าไหร่ เขาก็เป็นได้มากที่สุดอัจฉริยะเก้าดาว ไม่มีทางสัมผัสถึงสิบดาวแน่นอน
“เชิญเจ้าไปได้แล้ว!” เฒ่าหม่าพยักหน้าราวกับว่าเขาได้พูดเรื่องที่ต้องการหมดแล้วและไม่สนใจที่จะพูดคุยต่อ
“เช่นนั้นอีกไม่นานข้าจะมาเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสอีกครั้ง” หลิงฮันคารวะและหันหลังกลับ
เฒ่าหม่าได้บอกความลับที่ส่งผลต่อจิตใจของเขามากจนไม่อาจอธิบายได้ ข้อมูลเกี่ยวกับอัจฉริยะหกดาวและสิบดาวเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เกินไป
เพียงแต่หากเป็นอัจฉณิยะคนอื่นหลายคน แม้จะรู้เรื่องนี้หรือไม่ก็ไม่ต่างกัน เพราะการจะขัดเกลาระดับพลังแต่ละขั้นให้ถึงจุดสุดยอดได้นั้นยากเย็นแสนเข็น ต่อให้สามารถบ่มเพาะสร้างภูผาวารีห้าสายหรือสุริยันจันทราห้าดวงได้ก็ใช้ว่าจะสามารถกลายเป็นอัจฉริยะสิบดาวได้
อัจฉริยะสิบดาวจำเป็นต้องขัดเกลาขั้นพลังของทุกระดับพลังได้ถึงจุดสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ถ้าขัดเกลาเพียงแค่เกือมสมบูรณ์แบบก็จะเป็นได้เพียงอัจฉริยะเก้าดาว
หลิงฮันเชื่อว่าจักรพรรดิพิรุณมีศักยภาพพอจะกลายเป็นอัจฉริยะเก้าดาว เฟิงโปหยุนอาจจะแปดดาว ส่วนมู่หลงชิงนั้นอาจจะไม่สามารถบ่มเพาะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าหรือสุริยันจันทราดวงที่ห้าได้ เนื่องจากเขาขัดเกลาพลังระดับทลายมิติเพียงสิบเจ็ดดาวเท่านั้น ดังนั้นขีดจำกัดความสำเร็จของเขาจึงหยุดอยู่ที่อัจฉริยะสี่ดาว
ความแตกต่างของอัจฉริยะแต่ละคนนั้น ไม่ได้เริ่มวัดจากระดับพลังพระเจ้า แต่เป็นระดับพลังทั้งหมดตั้งแต่แรก
หลังจากรอมาสามวัน หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ได้ขึ้นเรือและออกเดินทาง
เรือเหาะดวงดาวไม่ได้แค่มีขนาดใหญ่ธรรมดา แต่มีขนาดใหญ่มาก!
อุปกรณ์เหาะเหินฟ้านั้นสามารถสร้างให้มีขนาดเล็กเช่นอุปกรณ์บินแหวกเมฆา ภาหนะประเภทนี้สามารถบรรจุคนได้เพียงสองคน แต่เรือเหาะดวงดาวนั้นมีขนาดใหญ่อย่างน้อยก็เกือบจะเท่าเมืองครึ่งเมือง หากไม่สร้างให้มีขนาดใหญ่เช่นนี้ก็จะสลักรูปแบบอาคมขนาดใหญ่ลงไปไม่ได้ หากไม่ใช่รูปแบบอาคมขนาดใหญ่มหึมาแล้วจะสามารถป้องกันภัยพิบัติของอวกาศอย่างอุกกาบาตได้อย่างไร?
เมื่อรูปแบบอาคมถูกกระตุ้นใช้งาน ต่อให้เป็นการโจมตีของตัวตนระดับดาราก็สามารถต้านเอาไว้ได้หลายชั่วครู่เพื่อสร้างเวลาหลบหนี
ต่อให้เรือมีขนาดใหญ่มหึมาก็ยังอัดแน่นไปด้วยผู้คน
ในไม่ช้าเรือเหาะก็ออกตัวบินขึ้นสูงอวกาศ
แน่นอนว่าเรือเหาะแต่ละลำมีคุณภาพที่แตกต่างกัน เรือสำหรับขนส่งนั้นประสิทธิภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อย่างเช่นเรือเหาะดาราก่อนนี้ใช้เวลาเพียงห้าวันในการไปและกลับ แต่เรือเหาะที่หลิงฮันนั่งนั้นแม้จะบินมาแล้วห้าวันก็ยังไม่ถึงสุสานขนาดใหญ่เสียที
ใช้เวลาอีกสองวันพวกเขาถึงจะมาถึงด้านหน้าสุสาน ซึ่งในตอนนี้บริเวณข้างๆเรือเหาะของพวกเขาอัดแน่นไปด้วยเรือเหาะดารา
หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ออกมายืนดูที่ดาดฟ้าเรือ เรือเหาะดาราลำนี้ถูกปกคลุมไปด้วยโล่ที่เกิดจากรูปแบบอาคมทำให้เรือลำนี้อ่อนแอต่อแรงโน้มถ่วงและไม่มีอากาศ
แต่โชคที่หลังจากบรรลุระดับพระเจ้าแล้วการหายใจก็ไม่จำเป็น
ด้านหน้าพวกเขามีดาวดวงครึ่งดวงปรากฏอยู่
ดวงดาวปกตินั้นจะมีรูปทรงเป็นวงกลม แต่สิ่งที่ปรากฏด้านหน้าพวกเขานั้นเป็นเหมือนกับดวงดาวที่ถูกผ่าจนเหลือครึ่งเดียว ซึ่งดูแล้วเหมือนสุสานมาก ต่อหน้าสุสานขนาดใหญ่นี้แล้ว เรือเหาะดาราแต่ละลำนั้นมีขนาดเล็กจนดูราวกับมดอย่างไม่อาจเทียบขนาดความใหญ่ได้เลย
“นั่นไม่ใช่แสงแต่เป็นพลังชีวิต!”
ใครบางคนอุทาน
ผู้คนที่อยู่บนเรือต่างตกตะลึง พลังชีวิตนั้นมีค่ามากขนาดไหนน่ะรึ? คนเราจะมีชีวิตได้นานขนาดไหน ไม่ใช่ว่าสิ่งที่กำหนดคือพลังชีวิตหรอกรึ? พลังชีวิตนั้นเป็นสิ่งเฉพาะของตนเอง ต่อให้คนอื่นมาดูดซับพลังชีวิตไปก็ช่วยแค่เพิ่มพูนพลังบ่มเพาะเท่านั้น ไม่ใช่ช่วยเพิ่มพลังชีวิตของคนที่ดูดซับไปแต่อย่างใด
เมื่อพลังชีวิตหมดสิ้นก็ต้องพบกับความตาย นี่คือสามัญสำนึกทั่วไป
ตอนนี้เมื่อมีสุสานขนาดใหญ่ปลดปล่อยพลังชีวิตที่อันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏออกมา จะไม่ให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างได้อย่างไร?
ถ้าได้บ่มเพาะพลังบนสุสานขนขาดใหญ่นี่ล่ะก็ การพัฒนาคงจะราบรื่นมากเป็นแน่
ทั้งที่เป็นสุสาน สิ่งที่มันควรปลดปล่อยออกมาคือกลิ่นอายแห่งความตายแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นพลังชีวิตแทนเสียนี่ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
ที่มันถูกเรียกว่าเป็นสุสานก็เพราะมีออท่นหลุมฝังศพตั้งอยู่นั่นเอง
สุสานที่น่าตกตะลึงขนาดนี้ แน่นอนว่าแท่นหลุมฝังศพก็ไม่แพ้กัน
แม้หินที่ทำเป็นแท่นฝังศพจะดูธรรมดา แต่หินแต่ละก้อนมีขนาดใหญ่และสูงยิ่งกว่าภูเขาเสียอีก
ไม่มีใครมองเห็นสัญลักษณ์พิเศษใดๆบนก้อนหิน แต่ว่ามีอักษะสองตัวถูกสลักเอาไว้บนแท่นหิน แต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ชัด
สุสานแห่งนี้สมควรเป็นดวงดาวทั่วไป แต่มันถูกสร้างให้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่เพื่อฝังศพใครบางคนแทน
“อะไรกัน ทำไมข้าถึงจำอักษรสองตัวนั้นไม่ได้?” ใครบางคนอุทาน
คนคนนั้นมองเห็นอักษรสองตัวบนแท่นหลุ่มศพ ถึงแม้อักษรจะเรือนราง แต่การที่เขามองไปยังอักษรแล้วนึกไม่ออกว่าอ่านว่าอะไรนั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
“ข้าก็จำไม่ได้เหมือนกัน!”
“ดูเหมือนจะมีพลังงานลึกลับบางอย่างบังคับให้พวกเราลืมอักษรสองตัวนั้น”
ทุกคนทั้งตกตะลึงและตื่นเต้น แท่นหลุมศพยังน่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้วในหลุมฝังศพจะมีสมบัติมากมายขนาดไหน?
แท่นหลุมศพมีขนาดใหญ่น่าอัศจรรย์และปลดปล่อยพลังงานชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา หน้าสุสานที่ประตูทางเข้าอยู่แต่มันถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังปราณที่แสนปั่นป่วนราวกับเป็นจุดกำเนิดของสวรรค์และปฐพี ไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุผ่านไปได้
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมแม้แต่จักรพรรดินีแห่งดาราหรือขนาดนิกายสวรรค์เยือกแข็งยังตื่นตัว ที่แท้สุสานแห่งนี้ก็ลึกลับและน่าตกตะลึงเช่นนี้นี่เอง
ใครบางคนพยายามคุมเรือเหาะไปยังสุสานขนาดใหญ่ แต่นอกจากประตูทางเข้าด้านหน้าแล้ว หากนำเรือเหาะไปแล่นไปยังจุดอื่นเรือเหาะก็จะระเบิดทันที
มีปรมาจารย์ระดับดาราที่โหยหาต้องการสมบัติพยายามเข้าไปยังประตูทางเข้าสุสาน ซึ่งผลลัพธ์ก็คือร่างของเขาถูกระเบิดจนเหลือครึ่งเดียว โชคดีที่ปรมาจารย์คนอื่นไหวตัวทัน พวกเขากลายเป็นไร้คำพูดและคิดว่าคงไม่มีใครสามารถเข้าไปยังสุสานได้
บางทีหากเป็นปรมาจารย์สามวิถีอาจจะสามารถลองดูได้ แต่พวกเขาพำนักอยู่ในนิกายสวรรค์เยือกแข็งโดยที่ไม่เคยก้าวออกมาเลย
พลังปราณที่แสนปั่นป่วนที่ปคลุมประตูทางเข้าอยู่นั่นมีแรงกดดันหนักหน่วงราวกับดวงดาวทั้งดวง ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราก็ไม่สามารถต้านทานได้ ทันทีที่เดินเข้าไปด้าวแรกกระดูกก็สั่นสะท้าน หากเดินต่ออีกก้าวร่างก็จะถูกบดขยี้เป็นเศษซากทันที
แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรดี?
ทุกคนรู้ดีว่าสุสานขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นได้มากว่าจะฝังร่างของตัวตนระดับวารีนิรันดร์หรืออาจจะระดับสร้างสรรพสิ่งเอาไว้ ถ้าหากได้สมบัติของตัวตนระดับนั้นมาล่ะก็… เหอๆๆ!
แต่ถึงแม้ข้างในจะมีสมบัติกองเท่าภูเขาอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปข้างในได้
“ปราณแห่งความปั่นป่วนกำลังสลายตัว!” ปรมาจารย์คนหนึ่งกล่าว
เขาคือปรมาจารย์ระดับดาราจากดาวป้าหยาง (ดาวอำนาจเจิดจรัส) ที่มีชีวิตมาแล้วมากกว่าสามสิบล้านปี อายุขัยของเขาใกล้หมดสิ้นแล้ว ถ้าหากเขาหาโอกาสวาสนาให้ตนเองทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ไม่ได้ ชีวิตของเขาก็อยู่ไม่ห่างจากความตาย
ในขณะที่เขากล่าวออกมา ปราณปั่นป่วนก็กำลังค่อยๆสลายตัว ในไม่ช้าทางเข้าสุสานจะเปิดออก