ในท้องฟ้าเป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธจะสามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้ เพราะบนท้องฟ้าไม่มีพลังปราณแห่งสวรรค์และปฐพี หากจะฝึกฝนบ่มเพาะพลังทำได้แค่พึ่งพาผลึกก่อเกิดเพื่อดึงพลังปราณกับเม็ดยาที่มีพลังปราณอัดแน่น
แต่หลิงฮันเป็นข้อยกเว้น
ที่นี่มีผู้คนมากเกินไป ถ้ามีใครสักคนหายตัวไปคงไม่มีใครสังเกตเห็น ดังนั้นหลิงฮันเลยสามารถเข้าออกหอคอยทมิฬและฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎได้ตลอดเวลา แล้วนี่คือสิ่งที่พวกจักรพรรดิพิรุณกำลังทำอยู่
พวกเขาดึงพลังจากผลึกก่อเกิดและกินเม็ดยาเพื่อเร่งการฝึกฝน เพราะการมีอยู่ของต้นสังสารวัฎทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่ก้าวหน้าเร็วเกินไปจากการใช้เม็ดยา
ในขณะที่หลิงฮันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปรุงยา เพราะเขาต้องหาเงินเพื่อนำมาซื้อแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์เพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์
หาไร้ซึ่งเงินทองดูเหมือนจะเป็นปัญหาสำหรับการยกระดับดาบอสูรนิรันดร์
ถึงแม้เขาจะไม่ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง แต่เขาก็เป็นคนที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วที่สุด
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาน่าจะทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นกลาง
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบๆ และความโกลาหลที่ทางเข้าก็เริ่มหายไป และทางเข้าปากเหวก็ปรากฏออกมาให้เห็น
แม้มันจะดูเป็นแค่ช่องแคบจากระยะไกล แต่จริงๆแล้วมันกว้างมากจนน่าทึ่งเหมือนกับเป็นมหาสมุทร ซึ่งเรือเหินดาราสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็เล็กกว่าสุสานแห่งนี้มาก
พวกเขาทำการทดลองหลายอย่างและพยายามใช้เรือไร้คนขับผ่านเข้าไปก่อน หลังจากทดลองอยู่หลายครั้งพวกเขาก็มั่นใจว่าสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย
ทันใดนั้นเอง ก็มีเรือเหินดาราลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังทางเข้า
เมื่อมีเรือเหินดาราลำแรกนำล่องเข้าไปแล้ว เรือเหินดาราที่เหลือก็แห่เข้าไปเหมือนกับมดไต่แก้วชา
ทุกคนเต็มไปด้วยความหวัง
ดาวที่เป็นสุสานเท่ากับว่ามีศพของจอมยุทธนับไม่ถ้วนถูกฝั่งอยู่?
แต่หลิงฮันคิดต่างจากคนอื่น แล้วจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งล่ะ? มิใช่ว่ามีชีวิตนิรันดร์หรอกหรือ? แล้วตัวตนเหล่านั้นจะตายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นปฐพีได้อย่างไร?
ระหว่างที่คิด เรือเหินดาราก็เข้าสู่ทางเข้าแล้ว ด้านในมืดมิดมาก มีเพียงแค่แสงสว่างที่สร้างขึ้นมาจากเรือเหินดาราเท่านั้นที่ส่องแสงอยู่บริเวณใกล้เคียง ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่อ่อนนุ่ม นั่นคือมือของสุ่ยเยี่ยนยวี่
หลิงฮันจับมือของนางเอาไว้และพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าอยู่ที่นี่แล้ว!”
สุ่ยเยี่ยนยวี่พยักหน้า นางปลีกตัวออกมาจากการฝึกฝน ต่อหน้ามหาสุสานที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีขนาดเล็กมาก
เรีอเหินดารายังคงเดินทางต่อไป หลังจากผ่านไปครึ่งวันก็มีทวีปหนึ่งปรากฏอยู่ด้านหน้า
มีทวีปหนึ่งอยู่ในมหาสุสาน นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก แต่ในเมื่อมันเป็นสุสานของจอมยุทธ แล้วเรื่องนี้จะแปลกอะไร?
เรือเหินดาราเริ่มลงจอดอย่างเป็นระเบียบ และสามารถมองเห็นได้ว่ามีหลายคนที่ต้องการขึ้นฝั่งและสำรวจทวีปนี้ หลังจากมาถึงก็มีแสงสว่างอ่อนๆอยู่รอบๆ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“มันมีอากาศ!” หลิงฮันสูดลมหายใจ แม้เขาจะไม่ต้องหายใจได้ก็ตาม แต่มันจะทำให้คนรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น
“ระวังตัวด้วย!” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าวเตือนหลิงฮัน เพราะพวกเขาเพิ่งเดินทางมากับเรือเหินดาราที่บนธงปักคำว่า จ้าว เอาไว้
แน่นอนว่ามันเป็นเรือเหินดาราของแม่ทัพจ้าวจะต้องมีจ้าวหลุนเดินทางมาด้วยพร้อมกับชายร่างสูงที่มีหน้ามีหน้าน่าเคารพนับถือ
หืม ไม่ใช่ว่าแม่ทัพจ้าวบาดเจ็บสาหัสหรอกรึ ทำไมเขาถึงหายเร็วขนาดนี้?
ดูเหมือนว่าความน่าดึงดูดของมหาสุสานจะมากเกินไป แม้แต่แม่ทัพจ้าวที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บสาหัสก็อดใจไม่ไหวที่จะมาสำรวจที่นี่
หลิงฮันพยักหน้า เพราะจ้าวหลุนสามารถทำอะไรก็ได้ที่นี่ ถ้าทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เขาไม่เชื่อว่าแม่ทัพจ้าวจะทำตัวสุภาพกับเขา นั่นเป็นเพราะเขามีความขัดแย้งกับจ้าวหลุนและทำให้อีกฝ่ายขายหน้าหลายครั้ง มิหน่ำซ้ำจ้าวหลุนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า ถ้าเขาไม่โกรธแค้นอะไร คงเป็นเรื่องที่แปลกน่าดู
เรือเหินดาราหยุดและทุกคนก็เริ่มทยอยกันลงไป พวกเขาอดใจกันไม่ไหวแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนลงจากเรือไปแล้ว เรือเหินดาราก็มุ่งหน้ากับไปที่ดาวเหอหนิงทันที – โดยพวกเขาพูดติดตลกว่าบนดาวเหอหนิงมีผู้คนมากมายที่รอคิวเดินทางมาที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเดินทางกลับเพื่อให้ได้รับเงินจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้ขายตั๋วแบบไปกลับ แต่ขายแบบตั๋วเที่ยวเดียว ถ้าต้องการเดินทางกลับเหอหนิงจะต้องจ่ายอีกรอบ
ถึงแม้หลิงฮันจะพูดถกเถียงกับคนพวกนั้น แต่ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะพวกเขาเป็นญาติกันทั้งหมด
“พลังปราณของที่นี่เบาบางมาก มันไม่เหมาะให้จอมยุทธฝึกฝนบ่มเพาะพลังเลยแม้แต่น้อย” หลิงฮันคิดว่าที่นี่มันแปลก
“พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่ไหนกันดี?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
“ก่อนอื่นพวกเราต้องไปหาที่ลับตาคนก่อน ข้าต้องพาพี่ชายทั้งสามคนออกมา” หลิงฮันยังไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาที่นี่ แต่ทวีปแห่งนี้ก็ยังคงมีขนาดใหญ่เกินไปอยู่ดี
ทั้งสองคนเดินหาที่ลับตาคน และหลิงฮันพยายามหาโอกาสที่จะพาเฟิงโป๋วหยุนกับคนอื่นๆออกมา แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะมีคนเดินทาง
“หากพวกเจ้ามีธุระอะไรก็ปรากฏตัวออกมาซะ เลิกเดินตามข้าได้แล้ว!” หลิงฮันตะโกนอย่างไม่พอใจ
ด้านหลังพวกเขาเป็นชายสี่คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากที่ไหนและน่าจะมีอายุประมาณสามสิบปี ทั้งยังเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีทั้งสี่คน อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าจะไม่สามารถใช้ความเยาว์วัยตัดสินอายุได้อีกต่อไป
แต่ถ้าตัดสินใจจากพวกเขากลิ่นอายของพวกเราน่าจะอยู่ในช่วงบั้นท้ายของชีวิต พวกเขาน่าจะมีอายุมากกว่าสองแสนปี
“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าสามารถไปจากที่นี่ได้ ส่วนสาวสวยที่อยู่ข้างเจ้า หึหึ พวกข้าจะดูแลให้เอง!” ชายทั้งสี่คนหัวเราะด้วยความขบขัน
หลิงฮันส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็เจอแต่พวกขยะแบบนี้
“เจ้ายังไม่รีบย้ายก้นไปอีกงั้นรึ!”
“หึ่ม หลังจากที่ต้องทนอยู่ในเรือหลายวัน แล้วตอนนี้ข้าก็ได้เห็นสาวงามผู้นี้ แล้วข้าจะอดใจไหวได้อย่างไร!”
“เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า ถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”
ในมุมของชายทั้งสี่คน หลิงฮันเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้น ส่วนสาวงามที่อยู่ด้านข้างเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง ซึ่งพวกเขาสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
“หัวหน้า ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี่จะปฏิเสธความหวังดีของพวกเรา”
“ถ้างั้นฆ่ามันเลย ส่วนผู้หญิงห้ามฆ่าเด็ดขาด นางคนนี้ช่างงดงามซะเหลือเกิน!”
ชายทั้งสี่คนเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีหลิงฮันพร้อมกัน กฎของการต่อสู้อะไรพวกนั้น พวกเขาไม่สน และต้องการอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด
หลิงฮันถอนหายใจและเรียกดาบอสูรนิรันดร์ออกมา แล้วโจมตีใส่ชายทั้งสี่คน
“หืม!”
“อะไรกัน!”
“นี่มัน!”
ชายทั้งสี่คนส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าหลิงฮันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ และรู้สึกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
อย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนั้นก็เรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีกันตั้งสี่คน
“หึ่ม ทั้งที่พวกเจ้าแข็งแกร่งกว่า แต่ยังใช้จำนวนเข้าสู่ นี่พวกเจ้าไม่มีความไร้ยางอายเลยงั้นรึ?” เสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจดังขึ้น และมีชายหนุ่มผมเขียวปรากฏตัว พร้อมกับรุ่นเยาว์ที่มีมากกว่าสิบคนอยู่ด้านหลัง ซึ่งคนเหล่านั้นดูเหมือนจะเคารพนับถือชายหนุ่มผมเขียวเป็นอย่างมาก