หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่เดินออกมาไกล หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ เขาก็ยกมือขึ้นและพาจักรพรรดิพิรุณกับคนอื่นๆออกมาจากหอคอยทมิฬ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พาออกมาทุกคน ผู้ติดตามอย่างชางเย่และชูหวู่ที่ยังคงฝึกฝนอยู่ในหอคอยทมิฬ ระดับบ่มเพาะพลังของพวกเขายังต่ำเกินไป ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าที่จะให้พวกเขาอยู่ฝึกฝนต่อ
มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่หลิงฮันพาออกมา นั่นคือ เฟิงโป๋วหยุน จักรพรรดิพิรุณ มู่หลงชิง เฮ่อเหลียนเทียนหยุนและติ่งผิง ส่วนจักรพรรดิจอมอสูรนั้นอยู่ในร่างหุ่นเชิดหมาป่า ดังนั้นจึงไม่ถูกนับว่าเป็นคน นอกจากนี้อีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพอีกด้วย
“ที่นี่คือดาวที่เป็นสุสานอย่างนั้นรึ?” จักรพรรดิพิรุณและคนอื่นดูแปลกใจ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ และดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากดาวเหอหนิงมากเท่าไหร่นัก ที่ต่างกันคือที่นี่มีพลังปราณที่เบาบางมาก
“ใช่แล้ว!” หลิงฮันพยักหน้า “นี่เป็นด้านในของสุสานยักษ์ มันใหญ่มโหฬารมาก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็แยกย้ายออกไปสำรวจกันเถอะ!” แววตาของจักรพรรดิพิรุณเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
“ข้าเห็นด้วย!” เฟิงโป๋วหยุนและมู่หลงชิงพยักหน้า
“แต่ข้าว่าพวกเราอยู่ด้วยกันมันน่าจะปลอดภัยกว่า!” หลิงฮันรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ทั้งยังมีจอมยุทธมากมายหลายคนแห่กันมาที่นี่ แม้ว่าจักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆจะทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าแล้ว และมีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ยังมีจอมยุทธหลายคนที่เดินทางมาที่นี่สามารถเอาชนะพวกเขาได้
“น้องสี่ พวกเราจะดูแลกันเอง และการติดตามผู้อื่นไม่ใช่วิถีของพวกเรา!” เฟิงโป๋วหยุนหัวเราะ
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงฮันก็พยักหน้าเห็นด้วย
พี่ชายทั้งสามคนของเขาเป็นยอดอัจฉริยะ โดยเฉพาะจักรพรรดิพิรุณที่มีพรสวรรค์ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา แล้วคนอย่างพวกเขาจะอยู่ภายใต้อาณัติของผู้อื่นได้อย่างไร? พวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าย่อมมีวิธีการเป็นของตัวเอง
“ตกลง เช่นนั้นพวกเราจะมาเจอกันอีกครั้งที่ทางออก” หลิงฮันกล่าว
“น้องสี่ระวังตัวด้วย!” เฟิงโป๋วหยุนกล่าว จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็แยกจากไปด้วยความรวดเร็ว
“หืม พวกเขาไปกันแล้ว?” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนดูมึนงง “ในเมื่อพวกเขาแยกตัวออกไป เช่นนั้นข้าคงต้องปลีกตัวออกไปด้วย เจ้าหนูหลิง แล้วพบกันใหม่ภายหลัง”
เขามุ่งหน้าไปในทิศทางที่แตกต่างจากคนอื่นและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์-” ติงผิงเองก็อยากออกไปยืนหยัดด้วยตัวเอง
หลิงฮันช่วยไม่ได้ที่จะมองตาขาวใส่ แล้วพูดว่า “อะไร อย่าแรกเจ้าจะต้องทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าเสียก่อน แล้วข้าถึงจะอนุญาตให้เจ้าออกไปยืนหยัดด้วยตัวเอง”
“ขอรับ!” ติงผิงพยักหน้า
จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนตัดสินใจเลือกทิศทางที่จะเดินหน้าต่อ แต่ที่แห่งนี้เป็นที่ราบ มันไม่มีจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดอยู่รอบตัวพวกเขาเพื่อนำทาง
ที่นี่แห้งแล้งมาก บนที่ราบไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏตัวออกมาให้เห็นแม้แต่ตัวเดียว อย่าว่าแต่ต้นไม้เลย แม้แต่หญ้าก็ยังไม่ขึ้น
มันแปลกประหลาดมาก ถึงแม้จะมีพลังปราณเบาบาง แต่มีพลังชีวิตที่หนาแน่น ทั้งที่พืชควรเจริญเติบโตและสัตว์ควรแข็งแกร่ง แต่กระทั่งหญ้าก็ยังไม่เห็น มันกลายเป็นดินแดนที่แห้งแล้งแบบนี้ได้อย่างไร?
พวกเขาเดินทางต่อไป หนึ่งวันต่อมา
“หืม!”
หลิงฮันที่เดินนำหน้ารู้สึกตกตะลึง เขาเห็นกลุ่มคนจำนวนมากอยู่ด้านหน้าที่ยืนเป็นแถวเหมือนกับกองทัพ จากการคาดคะเนของเขาน่าจะมีประมาณหลายหมื่นคน
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” ติงผิงรีบถาม
หลิงฮันเริ่มใช้เนตรแห่งสัจธรรม หลังจากนั้นไม่นานก็เผยให้เห็นสีหน้าของความประหลาดใจบนใบหน้าของเขา เพราะกลุ่มคนที่เขาเห็นไม่ใช่คน แต่เป็นรูปปั้นหิน เขารีบพูดว่า “รีบไปเร็วเข้า!”
“ขอรับ!” ติงพิงรีบพยักหน้า แต่เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติ เขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าหลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ได้อย่างไร? ทันใดนั้นเองเขาก็ถูกหลิงฮันเตะที่ก้น ตุบ และกระเด็นไปอยู่ที่ด้านหน้ารูปปั้นหินพวกนั้น
“อาจารย์-!” ติงผิงกรีดร้อง
สุ่ยเยี่ยนยวี่อดที่จะหันไปมองหลิงฮันไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ เขาสมควรได้รับการยกย่อง แต่หลิงฮันมักจะปฏิบัติเช่นนี้กับเขา อย่างไรก็ตามถ้านางไม่รีบฝึกฝนให้หนัก อาจถูกติงผิงแซงหน้าก็เป็นได้
หลิงฮันหัวเราะและคว้าร่างของสุ่ยเยี่ยนวี่ ขณะเคลื่อนที่ไปที่รูปปั้นหิน เขาพูดว่า “ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ ข้าแค่ทดสอบปฏิกิริยาตอบโต้ของติงผิงเท่านั้น และผลลัพธ์ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก!”
ปัง!
ติงผิงกระแทกกับพื้น โดยที่หัวลงพื้นก่อน ทำให้หัวของเขาปักอยู่ในดิน เมื่อเขาดึงหัวออกมาก็พบว่าตัวเองตกลงอยู่ด้านหน้ากองทัพรูปปั้นหิน นี่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากและรีบล่าถอยไปด้านหลังทันทีด้วยความหวาดกลัว
ในเวลานั้น หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็มาถึง พร้อมกับจักรพรรดิจอมอสูรที่อยู่ด้านหลัง
หลิงฮันมองไปที่รูปปั้นหินด้วยความตกตะลึงและพูดว่า “กองทัพรูปปั้นหินพวกนี้อย่างน้อยน่าจะมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านตัว!”
“รูปปั้นหินพวกนี้เป็นศพหรือไม่?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถามด้วยความสงสัย แม้จะมีรูปปั้นหินนับล้านตัว
“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้ตายไปแล้ว” หลิงฮันส่ายหัว “อนิจจา ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหนและมีอายุขัยมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความตายได้”
ถึงแม้จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งจะมีอายุขัยที่น่าทึ่ง แต่ก็มีอายุขัยไม่เกินสี่พันล้านปี แม้จะฟังดูมากจนน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้เป็นอมตะ และมีวันที่จะต้องดับสูญ
“หืม ตรงนั้นมีแผ่นศิลา” พวกเขาเดินไปทางซ้ายและเห็นแผ่นศิลาสูงสามฟุตตั้งอยู่ด้านหน้ารูปปั้นหินพร้อมกับตัวอักษรที่อ่านได้อย่างชัดเจน
“ผู้ที่มีความมั่นใจและไร้เทียมทานจะสามารถผ่านไปได้!” หลิงฮันอ่าน
“พวกเราจะเดินอ้อมหรือเดินผ่านไปเลย?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
หลิงฮันดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขายิ้มกริ่มและพูดว่า “เดินผ่านไปเลย!”
ระหว่างที่เดินผ่านรูปปั้นหินพวกนั้นขยับแขนขาและโจมตีคนที่เดินผ่าน
“หุ่นเชิด!” หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ประหลาดใจแค่เล็กน้อย แต่ตอนนี้พวกเขาคุ้นชิดกับการต่อสู้กับหุ่นเชิดแล้ว
อย่างไรก็ตามที่เกาะแก่นโลกาหุ่นเชิดส่วนใหญ่เป็นแค่ระดับภูผาวารีขั้นต้น แต่หุ่นเชิดพวกนี้เป็นระดับภูผาวารีขั้นสูง พลังต่อสู้ของพวกมันค่อนข้างน่าทึ่งทีเดียว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ และเขาบดขยี้พวกมันจนแหลกไปทีละตัวทีละตัว
เมื่อทั้งสามคนกับหมาป่าหนึ่งตัวผ่านต่อสู้กับหุ่นเชิดไปได้สักพัก ในตอนนั้นเองพวกเขาก็เห็นใบหน้าของสุ่ยเยี่ยนยวี่กระตุก หลิงฮันจึงหันหลังกลับไปมองและก็เห็นเซี่ยอู๋เฉียนพร้อมกับกลุ่มของเขากำลังมุ่งหน้ามาหาอย่างช้าๆ
“โอ้ว พวกเราถูกลิขิตให้เจอกันอีกแล้ว!” เซี่ยอู๋เฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม แต่เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเจอแค่หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีจอมยุทธระดับทลายมิติและหุ่นเชิดหมาป่าอยู่ด้วย?