หนังศีรษะของทุกคนกลายเป็นด้านชาด้วยความตกตะลึง ทั้งที่เซี่ยอู๋เฉียนกำลังดิ้นรน แต่หลิงฮันกลับรวดเร็วขึ้น!
“หึ่ม!” เซี่ยอู๋เฉียนกำหมัดและปลดปล่อยจิตสังหารที่เดือดพล่าน
“ชายคนนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หากการเป็นสหายกับเขาได้คงเป็นเรื่องดีมิใช่น้อย” ซูจิงพูดพึมพัม แน่นอนว่าเขาเห็นเซี่ยอู๋เฉียนปลดปล่อยจิตสังหารใส่หลิงฮัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
เขาอยู่ยงคงกระพันและมีภูมิหลังที่เหนือกว่าผู้ใด แล้วทำไมเขาจะต้องกลัวด้วย?
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของพี่ชายซูมานาน เส้าซือซือรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ!” เส้าซือซือกล่าวด้วยรอยยิ้มที่งดงาม
แม้ว่าซูจิงจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองเหมือนกัน แต่เขาก็รีบผสานมือและพูดว่า “ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของน้องสาวซือซือมานานแล้วเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยเจอเจ้า”
“ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้น พวกเราทุกคนจะได้เจอกันอีกครั้งที่นิกายสวรรค์เยือกแข็งและกลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน” ตู่อันกล่าวขณะกวาดสายตามองหลิงฮัน “ในตอนนั้น ชายคนนี้จะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนกันเชียว”
ซูจิงและเส้าซือซือพยักหน้าและแสดงให้เห็นถึงสีหน้าที่คาดหวัง
ความสำเร็จของหลิงฮันในตอนนี้ยังห่างจากพวกเขามาก แต่เมื่อใดที่พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน พลังต่อสู้ของหลิงฮันจะมากกว่าพวกเขาทันที และถึงแม้พวกเขาจะเหนือกว่า แต่พวกเขายังไม่มีวิธีจัดการกับกายหยาบที่ยืดหยุ่นของหลิงฮันได้
“ไม่มีทาง เว้นแต่จะฆ่าเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มิฉะนั้นจะเป็นข้าเองที่ถูกฆ่าตาย!” หลังจากคิดไปซักพัก ซุจิงก็ส่ายหัวแล้วคิดมาการป้องกันของหลิงฮันนั้นไม่มีทางทำลายได้
“มันก็แค่มดปลวกจากโลกใบเล็ก ทำไมถึงให้คุณค่าไว้สูงขนาดนั้น!” เซี่ยอู๋เฉียนกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เส้าซือซือ ซูจิง ตู่อันหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจคำพูดของเซี่ยอู๋เฉียน
อีกฝ่ายเกลียดชังหลิงฮันเข้ากระดูกไปแล้ว พวกเขาพูดอะไรคงไม่ฟัง แล้วจะสนใจไปทำไม
ในทางตรงกันข้าม หลิงฮันยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ความแข็งแกร่งของรูปปั้นได้บรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลายสี่ดาวแล้ว ตราบใดที่พวกมันโจมตีโดนหลิงฮัน เขาก็จะได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับสาหัส ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าลดฝีเท้าและเคลื่อนที่ให้เร็วที่สุดเพื่อลดความเสียหายที่จะได้รับ
แต่ถึงกระนั้นร่างกายของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยแผลอยู่ดี
ถ้าเป็นคนอื่นหลังจากที่ถูกรูปปั้นหินพวกนั้นกระหน่ำต่อย พวกเขาคงลงไปนอนกองกับพื้นไปแล้ว แต่หลิงฮันแทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
นี่ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่อีกรึ? ไม่ใช่หุ่นเชิดที่ทำมาจากแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?
ด่านที่เก้า!
ด่านนี้น่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น พลังทำลายล้างของรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว เมื่อมีหมัดต่อยมาที่ร่างกายของหลิงฮัน มันกลายเป็นหลุมเลือดอยู่บนตัว แม้แต่กระดูกก็ยังส่งเสียงแตกหัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเซี่ยอู๋เฉียนเปลี่ยนไปทันที ถึงแม้เขาจะมีพลังต่อสู้มากกว่ารูปปั้นหินพวกนั้น แต่ถ้าเขาโดนหมัดนั้นเข้าล่ะก็ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ นอกจากหลิงฮันแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่มีพลังโจมตีมากกว่าพลังป้องกัน
“ตอนนี้ ข้าสามารถจัดการรูปปั้นหินพวกนี้ได้ด้วยความแข็งแกร่งของข้า แต่ด่านถัดไป…” พวกเขาไม่อยากจะพูดถึงอีกต่อไป
ด่านถัดไป แค่รูปปั้นหินตัวเดียวก็มีความแข็งแกร่งและพลังต่อสู้ในระดับเดียวกับพวกเขา ในขณะที่พวกมันแห่กันเข้ามาโจมตีหลายพันหลายหมื่นตัวพร้อมกัน พวกเขาจะทำอะไรได้?
ถ้าต่อสู้กับพวกมันหนึ่งต่อหนึ่ง พวกเขายังพอมั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเป็นหนึ่งต่อสิบ ผลลัพธ์ของการต่อสู้จะเปลี่ยนไปทันที เหมือนกับเด็กที่ยืนเผชิญหน้ากับทหาร
แต่ยังไงจำนวนก็เป็นปัญหาอยู่ดี
“ถึงแม้พวกเราจะเป็นอัจฉริยะระดับหกดาว แต่พวกเราก็สามารถเผชิญหน้ากับด่านสุดท้ายได้!”
“มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่จะผ่านด่านสุดท้ายไปได้ด้วยกายหยาบที่อยู่ในระดับเลขหลักเดียว?”
เส้าซือซือถอนหายใจและพูดว่า “พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องอัจฉริยะแปดดาวหรือเก้าดาวในเอกภพที่ห่างไกลหรือไม่?”
ซูจิงพยักหน้าและพูดว่า “มันมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นมากมาย แต่เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? ทุกระดับพลังถ้าฝึกฝนจนถึงจุดสมบูรณ์แบบจะทำให้มีพลังต่อสู้หกดาวเท่านั้น แต่ถ้าใช้ทักษะลับด้วยอาจทำให้มีพลังต่อสู้สูงถึงเจ็ดดาว แต่ถ้าเป็นแปดดาว…มันยากเกินที่จะจินตนาการออก!”
“อย่าลืม ในเอกภพของพวกเรา แค่อัจฉริยะระดับห้าดาวก็ถูกเรียกว่าตำนานแล้ว” เส้าซือซือแสดงรอยยิ้มที่ลึกล้ำ “เนื่องจากพวกเราก็ก้าวข้ามคำว่าตำนานนั้นมาแล้ว มันจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าอัจฉริยะระดับห้าดาวไม่ใช่ตำนานอะไรอีกต่อไป ดังนั้นการที่จะมีอัจฉริยะแปดดาวหรือเก้าดาวคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“นี่มัน!” ทั้งซูจิงและตู่อันรู้สึกตกใจ ทั้งที่พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
“มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ?” หัวใจของตู่อันเริ่มสั่นไหว
“ไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนั้นเป็นแค่ตำนานหรอกรึ?” ช่วยไม่ได้ที่ซูจิงจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ในท้ายที่สุดเซี่ยอู๋เฉียนก็ตัดสินใจยอมแพ้ เขาเคลื่อนที่ไปอยู่ด้านข้างและพูดว่า “หึ่ม หรือพวกเจ้ากำลังพูดถึงภูผาวารีสายที่ห้า? เรื่องแบบนั้นไร้สาระสิ้นดี กฎเหล็กของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และกฎของศาสตร์วรยุทธมันจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้อย่างไร?”
เส้าซือซือเห็นด้วยกับเขาและพูดว่า “มันเป็นความจริง ถึงแม้ข้าจะเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดและได้ผ่านการเปิดสวรรค์มาแล้ว ทุกระดับพลังขัดเกลาจนถึงระดับสมบูรณ์แบบ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างภูผาวารีสายที่ห้า”
ซูจิงและตู่อันพยักหน้า หลังจากที่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็เคยลองสร้างภูผาวารีสายที่ห้าขึ้นมาแล้ว แต่เหมือนจะไม่มีหวังเลยแม้แต่นิดเดียว
ประเด็นคือมันเป็นเพียงแค่ตำนาน พวกเขาจึงไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจ บางทีมันอาจไม่มีทางที่จะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้เลยก็เป็นได้
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าเชื่อว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างภูผาวารีสายที่ห้า!” เส้าซือซือกล่าวด้วยแววตาที่เปล่งประกายแห่งปัญญา “ถ้าไม่เช่นนั้น หุ่นเชิดรูปปั้นหินพวกนี้คงไม่แข็งแกร่งขนาดนี้!”
“ใช่แล้ว ถ้าสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ก็ไม่จำเป็นต้องทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราเพื่อผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้” ซูจิงพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าเองก็คิดเหมือนกัน ข้าจะต้องสร้างภูผาวารีสายที่ห้าให้จงได้ หากไม่สำเร็จ ข้าก็จะไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราเป็นอันขาด!” ตู่อันกล่าวด้วยความมั่นใจ
“พูดได้ดี!” เส้าซือซือและซูจิงพยักหน้าเห็นด้วย การฝึกฝนวรยุทธมันเป็นเรื่องยากมากที่จะพบเห็นคนที่เห็นพ้องด้วยเหมือนกัน ข้าไม่ได้ตัวคนเดียว!
เซี่ยอู๋เฉียนแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่เขาเองก็ยอมรับว่าคงมีแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีที่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้เท่านั้นถึงจะผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้ ตัวอย่างเช่นหลิงฮัน เขาจะต้องใช้ไพ่ลับอะไรบางอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นร่างกายของเขาจะมีความผิดปกติและยืนหยุ่นแบบนั้นได้อย่างไร?
เขาจ้องมองหลิงฮันด้วยความอิจฉา และหลิงฮันได้ผ่านด่านที่เก้าไปแล้วอย่างรวดเร็ว และเขากำลังเข้าสู่ด่านสุดท้ายของค่ายอาคมรูปปั้นหิน