“ทำไมข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟัง?” จักรพรรดินีแห่งดารากล่าวอย่างหยิ่งยโส
เพี๊ยะ!
เสียงตีดังขึ้นอีกครั้ง
หลิงฮันสะบัดมือและกล่าว “ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเลยนะ!”
การตีเมื่อครู่ทำให้ความรู้สึกปวดแสบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของนาง ความรู้สึกประหลาดที่ผุดขึ้นมาของนางยิ่งชัดเจนขึ้นราวกับจะปะทุออกมา นางไม่กล้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่เช่นนั้นหากนางถูกกระตุ้นจนเกิดเรื่องไม่ขาดฝัน ในอนาคตนางจะต้องถูกจับมาอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกแน่
“เมื่อพลังบ่มเพาะของร่างนี้บรรลุระดับสวรรค์ เจตจำนงของข้าจะค่อยๆตื่นขึ้นและผสานเข้ากับนาง” จักรพรรดินีกล่าว “ทักษะลับของเผ่าเก้าอสรพิษเป็นเช่นนี้ทั้งหมด ถ้าข้ามีพลังระดับภูผาวารี ร่างแยกก็จะมีปลุกพลังได้เพียงภูผาวารี แต่ถ้าข้ามีพลังระดับวารีนิรันดร์ ร่างแยกของข้าก็จะปลุกพลังได้ถึงระดับวารีนิรันดร์”
หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะถาม “งั้นก็หมายถึงนางไม่รู้ถึงตัวตนความเป็นมาของท่าน?”
“นางไม่รู้” จักรพรรดินี้แห่งดารากล่าว
สีหน้าของหลิงฮันมืดมนกว่าเดิม “หมายความว่านางจะหายไปเมื่อเจตจำนงของท่าถูกปลุกขึ้นมาอย่างสมบูรณ์?”
“นิสัยที่แตกต่างกันของร่างแยกทั้งเก้าต่างก็แยกออกมาจากตัวข้า” จักรพรรดินีแห่งดารากล่าวในเชิงปลอบใจ “หรือก็คือพวกนางเป็นส่วนหนึ่งของข้า ข้ายังสามารถสร้างร่างแยกได้อีกเมื่อบรรลุะดับวารีนิรันดร์”
หลิงฮันโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามีความรู้สึกผูกพันธุ์กับราชินีที่เก้าที่แสนไร้เดียงสา
แต่ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขาทำให้สีหน้าเขาดูแปลกประหลาดไปจากเดิม
“มีอะไรงั้นรึ?” จักรพรรดินีแห่งดาราถาม
หลิงฮันลังเลอยู่สักพักก่อนจะกล่าว “ไม่ใช่ว่าถ้าข้าแต่งงานกับท่าน ข้าจะได้ภรรยาเพิ่มมาอีกเก้าคนโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเลยไม่ใช่รึไงกัน? นี่มันบ้าไปแล้ว! ข้าจะเผด็จศึกพวกท่านทุกคนพร้อมกันอย่างไรดี?”
“จะ เจ้าคนโรคจิต!” จักรพรรดินีแห่งดาราคำรามด้วยความโกรธและทุบร่างหลิงฮันจนลอยกระเด็น
แน่นอนว่าหลิงฮันจงใจให้นางทำเช่นนี้ เขารังแกนางมานานพอสมควรแล้ว หากให้นางระบายอารมณ์เมื่อออกจากหอคอยทมิฬ ความโกรธของนางอาจจะลดลงบ้าง
เขาเดินกลับมาและกล่าว “เอ่อ ภรรยาข้า…”
“ใครเป็นภรรยาเจ้า?” จักรพรรดิแห่งดารากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ นางเพียงแค่ให้โอกาสเขาเท่านั้น สำหรับตอนนี้หลิงฮันยังไม่มีสิทธิ์สู่ขอนางแต่งงาน
หลิงฮันยักไหล่และกล่าว “งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไรดี? ยอดรัก? สุดที่รัก?”
จักรพรรดินีแห่งดาราจ้องมองไปที่เขาด้วยความมึนงง ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหลิงฮันจะเป็นคนจริงจัง แต่ใครจะไปนึกว่าที่แท้เขากลับกลายเป็นคนทะเล้นเช่นนี้? นางส่ายหัวในขณะที่คิดว่านางตัดสินใจผิดพลาดไปรึเปล่า
“เรียกข้าว่าองค์จักรพรรดินี!” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำ
“…”
หลิงฮันพยักหน้า “ก็ได้!”
‘ข้าอาจจะเรียกเจ้าว่าองค์จักรพรรดินีในตอนนี้ แต่ในอนาคตเจ้าจะต้องเรียกข้าว่าท่านสามี!’
“งั้นก็ เอ่อ องค์จักรพรรดินี…”
“ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน มีความจำเป็นต้องเรียกข้าเช่นนั้น?”
“ท่านนี่ไม่น่ารักเอาเสียเลย!” หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “แล้วเผ่าสวรรค์บรรพกาลคืออะไร? พวกเขาดูเหมือนจะทรงพลังอย่างมาก”
“เรื่องนี้ข้ารู้!” เซียนหวู่เซียงกล่าว เขาเริ่มทำให้ตนเองเป็นจุดใจอีกครั้ง เขาเป็นถึงเซียนแท้ๆแต่ทั้งสองคนกลับไม่แยแสและเลือกที่จะเมินเฉยเขาอย่างไม่เห็นค่า นี่พวกเขารู้รึเปล่าว่าการจะได้รับคำชี้แนะจากเขานั้นเป็นโอกาสที่หาได้ยากขนาดไหนถึงได้ไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้?
จักรพรรดินีแห่งดาราชำเลืองไปยังก้อนแสง ดูเหมือนสิ่งนี้จะเป็นเซียนที่รู้ดีไปเสียทุกอย่างและนางคงไม่สามารถปิดบังความลับนี้เอาไว้ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางเป็นฝ่ายเล่าเองเลยดีกว่า “เผ่าสวรรค์บรรพกาลเป็นชื่อเรียกรวมของเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง พวกเขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อยุคสมัยบรรพกาล ซึ่งเผ่าสวรรค์บรรพกาลทุกคนต่างก็ครอบครองความสามารถที่อัศจรรย์”
“เจ้าหนู เจ้าเองก็อาจจะมาจากเผ่าสวรรค์บรรพกาลก็เป็นได้” เซียนหวู่เวียงกล่าวแทรก กายหยาบของหลิงฮันนั้นทรงพลังเป็นอย่างมากและเขารู้สึกว่าการจะมีกายหยาบเช่นนี้ได้ต้องเป็นเผ่าสวรรค์บรรพกาลเท่านั้น
จักรพรรดินีแห่งดาราพยักหน้าเห็นด้วย
แต่ในขณะเดียวกันหลิงฮันส่ายหัวปฏิเสธ เขามาจากตระกูลธรรมดาทั่วไป จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาเป็นหนึ่งในเผ่าสวรรค์บรรพกาล? เหตุผลเดียวที่กายหยาบและจิตวิญญาณของเขาไร้เทียมคือคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์
แม้หลิงฮันจะไม่เคยเห็นเผ่าสวรรค์บรรพกาลคนอื่น แต่จากที่เห็นจักรพรรดนีแห่งดาราแล้วก็รับรู้ได้ว่าพวกเขามีความสามารถที่เหลือเชื่อขนาดไหน เผ่าเก้าอสรพิษสามารถแยกร่างออกมาเก้าร่างได้ ซึ่งหมายถึงพวกเขาจะมีชีวิตสำรองเพิ่มขึ้นเก้าชีวิต ด้วยความสามารถนี้ก็เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์เกินบรรยายแล้ว
“เวลาจะหมดแล้ว ข้าคงต้องไปก่อน” จู่ๆจักรพรรดินีก็กล่าวขึ้นมา
หลิงฮันชะงักก่อนจะกล่าว “งั้นข้าจะพาท่านออกไปเอง”
จักรพรรดินีแห่งดาราสามารถรับรู้สถานการณ์ของหูเฟยหยินได้ แต่นั่นก็เป็นจักรพรรดินีฝ่ายเดียว ในขณะที่หูเฟยหยินนั้นไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่จักรพรรดินีเป็นคนคำควบคุมร่างของนางและสังหารสัตว์อสูร แต่หูเฟยหยินกลับคิดว่าเป็นหลิงฮันที่สังหารสัตว์อสูร
จักรพรรดินีแห่งดาราพยักหน้า ทั้งสองคนออกจากหอคอยทมิฬด้วยกัน
“ที่ข้าเป็นอากาศธาตุรึไง?” เซียนหวู่เซียงพึมพำด้วยท่าทีหม่นหมอง ทำไมพวกเขาถึงได้เมินเขาทั้งคู่เลย?
“ผู้อาวุโส ข้ามีคำถาม!”
“ข้าด้วย!”
ชางเย่และคนอื่นๆเดินเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นเองความภาคภูมิใจของเซียนหวู่เซียงก็กลับมาและช่วยชี้แนะพวกเขา
หลังจากออกจากหอคอยทมิฬจักรพรรดินีแห่งดาราก็หลับตาลงก่อนจะเปิดตาอีกครั้ง การกระทำเช่นนี้แม้จะใช้เวลาเพียงพริบตาแต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก บรรยากาศยิ่งยโสรอบกายของนางหายไปและกลายเป็นสตรีที่ไร้เดียงดาแทน
“หือ? ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่?” หูเฟยหยินถามด้วยสีหน้ามึนงง นางกัดนิ้วและใช้มืออีกข้างเกาหัวแสดงออกถึงความสับสนอย่างมากที่สุด
“รอข้าอยู่ที่นี่ก่อน” หลิงฮันกล่าว เมื่ออีกฝ่ายหยักหน้าเขาก็เดินไปหาสุ่ยเยี่ยนยวี่ เมื่อพบนางแล้วเขาก็พานางกลับมาด้วย
สุ่ยเยี่ยนยวี่อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกหวาดกลัวต่อหูเฟยหยินผุดขึ้นมาครู่หนึ่ง “ทำไมออร่าของนางถึงได้น่ากลัวเพียงนั้น?” นางกระซิบถามหลิงฮัน
“ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง” หลิงฮันส่ายหัว เขายิ้มไปยังราชินีที่เก้าและกล่าว “ราชินีที่เก้า ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่สนุกๆ”
“ได้เลย! ไปกันเลย!” หูเฟยหยินปรบมือด้วยความตื่นเต้น ด้วยนิสัยไร้เดียงสาของนาง นางไม่เคยคิดถึงเลยว่าจะมีใครแอบล่อนางไปขายรึไม่
หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์โอบคลุมสตรีทั้งสองเอาไว้และพาพวกเขาไปยังต้นสังสารวัฏในหอคอยทมิฬ
“นี่คือต้นสังสารวัฏ” หลิงฮันกล่าวกับหูเฟยหยิน “ตั้งแต่วันนี้เจ้าจะต้องมาบ่มเพาะพลังที่นี่ทุกคืน หากทำเช่นนี้ระดับพลังของเจ้าจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว”
“ข้าต้องบ่มเพาะพลังอีกแล้ว?!” สีหน้าบูดบึ้งปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของหูเฟยหยิน “ข้าเกลียดการบ่มเพาะพลัง! มันทั้งเหนื่อยและน่าเบื่อ!”
หลิงฮันเผลอคิดขึ้นมาว่าหูเฟยหยินนั้นเป็นนิสัยที่แยกออกมาจากจักรพรรดินีแห่งดารา นางคือความไร้เดียงสาที่จักรพรรดินีในตอนนี้ไม่มีเพราะแยกออกมาแล้ว
เช่นนั้นหากตอนที่นางผสานร่างแยกทั้งเก้ากลับสู่ร่างต้น นิสัยของจักรพรรดินีจะเป็นอย่างไรกัน?
“ห้ามอิดออดนะตกลงไหม?” หลิงฮันลูบหัวหูเฟยหยิน “เจ้าต้องตั้งใจบ่มเพาะพลังให้ดี”
หูเฟยหยินพแงแก้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพียงแต่นางก็ไม่ได้รังเกียจที่หลิงฮันลูบหัวนาง ในขณะเดียวกันสุ่ยเยี่ยนยวี่แสดงออกถึงสีหน้าที่ตกตะลึง อีกฝ่ายคือราชินีที่เก้านะ! จักรพรรดินีกล่าวว่าให้มองราชินีทั้งเก้าเหมือนกับที่มองนาง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหลิงฮันไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ลูบหัวนาง?!
สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่รับรู้แม้แต่น้อยเลยว่าหลิงฮันนั้น แม้แต่ตีบั้นท้ายของจักรพรรดินีเขาก็ทำมาแล้ว