“อ้ากกก”
เสียงร้องครวญครางทุกข์ทรมานดังขึ้น มีผู้รับเคราะห์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านี้คือเหล่าคนไม่ได้ถูกคุ้มกันโดยแสงจากจี้หยก
ถึงว่าทำไมนิกายสวรรค์เยือกแข็งถึงไม่ใส่ใจพวกฉวยโอกาสเหล่านี้
นิกายสวรรค์เยือกแข็งโหดเหี้ยมเกินไปรึเปล่า? พวกเขารู้ทั้งรู้ก็ยังปล่อยให้พวกเขาวิ่งเข้าสู่ความตาย
หลิงฮันส่ายหัว นี่ไม่เกี่ยวกับโหดเหี้ยมหรือไม่โหดเหี้ยมแต่เป็นนิกายสวรรค์เยือกแข็งแยแสหรือไม่ต่างหาก พวกเขาเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล พวกเขาจำเป็นต้องใส่ใจความเห็นของคนอื่นด้วยรึไง?
ข่านัย ไม่มีทางอยู่แล้ว!
หลิงฮันไม่รู้สึกสงสารพวกเขาแม้แต่น้อย การจะสำรวจโบราณสถานย่อมเต็มไปด้วยภัยอันตราย ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของตัวเอง ถ้าพวกเขาไม่ฉลาดหรือกล้าหาญพอ พวกเขาจะมาที่โบราณสถานตั้งแต่แรกเพื่ออะไร? แต่ที่หลิงฮันติดใจก็คืออะไรเป็นสิ่งที่ทำการสังหารผู้คนเหล่านั้น เขารู้เพียงว่ามันเป็นหมอกสีดำสนิท แต่หมอกสีดำนั่นคืออะไร?
เขาใช้หอคอยทมิฬสื่อสารกับเซียนหวู่เชียงและไต่ถาม
“ร่างของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ถูกฝังไว้ที่นี่อาจจะบ่มเพาะทักษะลึกลับบางอย่าง” เซียนหวู่เชียงกล่าว “เพราะงั้นสภาพแวดล้อมโดยรอบถึงได้รับผลกระทบเช่นนี้ ในเมื่อเซียนสามวิถีไม่สามารถกำจัดหมอกเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์ ข้าสามารถบอกได้ว่านั่นเป็นเพราะระดับพลังของเขาต่ำกว่าเจ้าของร่างที่ตายไปแล้วหลายขุม”
หลิงฮันพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อใดที่จอมยุทธผู้หนึ่งตกตายและอีกคนมีชีวิตอยู่ ถ้าหากว่าฝ่ายที่มีชีวิตอยู่ไม่สามารถทำลายพลังที่หลงเหลืออยู่ของฝ่าที่ตายได้อย่างสมบูรณ์ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสองมีความสามารถที่แตกต่างหันแค่ไหน
คำกล่าวที่ว่าพลังของจอมยุทธระดับพระเจ้าแต่ละระดับนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถูกยืนยันแล้ว ปรมาจารย์สามวิถีลบล้างหมอกสีดำได้แค่บางส่วน ไม่เพียงเท่านั้น แต่เขายังสามารถทำมันได้เพียงแค่ในรอบร้อยปีที่หมอกจะเกิดการอ่อนแอลง มีเพียงในช่วงเวลาเช่นนี้เท่านั้นเขาถึงจะเปิดเส้นทางให้คนอื่นเข้าไปเขตแดนลี้ลับได้
แต่แน่นอนว่าปรมาจารย์สามวิถีก็ไม่ใช่ตัวตนที่จะดูถูกได้ง่ายๆ อย่างไรเขาก็เป็นถึงจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดตัวตนเช่นนี้ก็ยังควรค่าแก่การเคารพ
ทุกคนเดินอย่างเนิบๆในขณะที่หมอกสีดำค่อยๆถูกทำให้หายไปอย่างช้าๆ ปรมาจารย์สามวิถีไม่สามารถกำจัดหมอกให้เร็วกว่านี้ได้
ครึ่งวันผ่านไปในที่สุดพวกเขาก็เดินถึงตีนเขา
ปรมาจารย์สามวิถีปลดปล่อยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานและเปิดรอยแยกขึ้นบนท้องฟ้า เส้นทางที่ดำปรากฏออกมาจากรอยแยก ทุกคนสามารถมองเห็นดินแดนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง บนภูเขาที่เชียงชอุ่มและน้ำที่ใสไร้มลพิษ ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือมีแม่น้ำไหลลงมาจากท้องฟ้าด้วย ไม่มีใครสามารถมองต้นแม่น้ำได้ น้ำในแม่น้ำแห่งนั้นน่าสยดสยองยิ่ง มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุด
แม้จะมีเส้นทางกั้นระหว่างพวกเขากับดินแดนแห่งนั้น หลิงฮันก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและน่าขนหัวลุก
“พวกเจ้าเข้าไปได้แล้ว!” เซียนสามวิถีกล่าว น้ำเสียงของเขาปรากฏร่องรอยความเหน็ดเหนื่อย
เขาที่เป็นจอมยุทธระดับวานีนิรันดร์ยังมีท่าทีอ่อนแรงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าการกำกัดหมอกสีดำเพื่อเปิดเส้นทางนั้นยากลำบากขนาดไหน
แต่ละคนเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางเขตแดนลี้ลับ
พรึบ พรึบ พรึบ!
ร่างของจอมยุทธแต่ละคนค่อยๆเรือนรานเมื่อเข้าไปยังเส้นทาง
โผล๊ะ!
ใครบางคนเดินตามเหล่าจอมยุทธเข้าไป แต่กลับถูกพลักกระเด็นออกมาจนร่างกลายเป็นเศษซาก
เขาคือจอมยุทธระดับสุริยันจันทราที่ปิดกั้นพลังบ่มเพาะของตนเองให้เหลือระดับภูผาวารีและพยายามจะแอบลอบเข้าไป
จอมยุทธที่เหนือกว่าระดับภูผาวารีไม่สามารถเข้าไปได้ คำเตือนนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อขู่
หลิงฮันเดินเข้าเส้นทางไปพร้อมกับสุ่ยเยี่ยนยวี่และคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เย็นยะเยือกเมื่อเดินผ่านทางเข้า
“น้องพี่ พวกเราแยกกันตรงนี้แล้วกัน” จักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆกล่าวพร้อมกับอำลาหลิงฮัน แต่ละคนมุ่งหน้าไปยังเส้นทางของตนเอง สุดท้ายคนที่เหลืออยู่ในกลุ่มก็มีแค่หลิงฮัน สุ่ยเยี่ยนยวี่และหูเฟยหยิน
“ไปกันเถอะ”
หลิงฮันคว้ามือสุ่ยเยี่ยนยวี่และเริ่มออกเดิน
“รอข้าด้วย!” หูเฟยหยินรีบเดินตามราวกับกลัวว่าหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่จะทิ้งนางไว้ด้านหลัง
หลังจากเดินไปได้สักพัก หลิงฮันก็สูดดมอากาศและอุทานออกมา “กลิ่นหอมมาก!”
“จะ เจ้า!” สุ่ยเยี่ยนยวี่ทุบเขาเบาๆเพราะนางคิดว่าหลิงฮันหยอกล้อนาง
‘ทำไมเจ้าถึงพูดอะไรเช่นในตอนนี้? เจ้าไม่เห็นรึไงว่าราชินีที่เก้าอยู่ที่นี่ด้วย? นางเป็นร่างแยกของจักรพรรดดินี!’
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ข้าไม่ได้พูดถึงกลิ่นหอมจากร่างกายเจ้า แต่เป็นกลิ่นหอมของดอกไม้บางชนิด!”
“จริงรึ?” ร่อยรอยความสงสัยปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของนาง ชายคนนี้มักจะแกล้งหยอกนางด้วยวิธีใหม่ๆอยู่เรื่อย
หูเฟยหยินรีบพยักหน้าและกล่าว “ข้าก็ได้กลิ่นเหมือนกัน!”
“ไปกันเถอะ!”
หลิงฮันหันไปยังทิศทางหนึ่ง ตำแหน่งที่เขาอยู่เป็นแม่น้ำสีเหลืองที่เป็นจุดสังเกตขนาดใหญ่เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทาง
พวกเขาเดินตามกลิ่นจนผ่านไปชั่วครู่ก็มาถึงด้านหน้าเนินเขาขนาดเล็กลูกหนึ่ง บนยอดเขามีดอกไม้ส่องประกายสว่างไสวงอกอยู่ เป็นดอกไม้ดอกนั้นเองที่ส่งกลิ่นยั่วยวนหอมหวาน
ทั้งสามคนไม่ใช่กลุ่มแรกที่รับรู้ถึงกลิ่นหอมนี้ มีคนสองคนมาถึงก่อนหน้าพวกเขา เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เป็นพรรคพวกเดียวกัน
‘ดอกไม้ดอกนั้นคือสมุนไรศักดิ์สิทธิ์’
หลิงฮันไม่รู้จักดอกไม้ดอกนั้น ดูจากใบหน้าที่มึนงงของสุ่ยเยี่ยนยวี่กับหูเฟยหยิน ทั้งคู่ก็ไม่น่าจะรู้จักดอกไม้นี้เหมือนกัน ในขณะเดียวกันนอกจากดอกไม้แล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาชะงักก็คือกระดูกสีขาวที่กองไปทั่วรอบเนินเขา บ้างก็เป็นกระดูกของมนุษย์ บ้างก็เป็นของสัตว์อสูร
กองกระดูกเหล่านี้เป็นหลักฐานว่ามีคนมากมายสังเกตเห็นดอกไม้นี้ก่อนพวกเขา เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว
หลิงฮันไม่แน่ใจว่าดอกไม้นี้จะล้ำค่ามากแค่ไหน เพียงแต่ด้วยความจริงที่ว่าไม่ว่าจะทั้งมนุษย์หรือสัตว์อสูรจำนวนมากต่างก็พยายามครอบครองดอกไม้ดอกนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคิดว่ามันเป็นดอกไม้ที่ล้ำค่า ถ้าไม่อย่างนั้นคนมากมายจะต้องการมันไปทำไม?
‘เดี๋ยวก่อน หรือนี่จะเป็นกับดักที่ใช้ประโยชน์จากความคิดเช่นนั้น?’
‘เมื่อคนที่มาทีหลังเห็นคนจำนวนมากต้องการครอบครองดอกไม้ พวกเขาก็จะคิดไปเองว่าดอกไม้ดอกนี้เป็นสมบัติล้ำค่า’
“เป็นดอกไม้ที่สวยอะไรเยี่ยงนี้!” ความหลงไหลปรากฏขึ้นในดวงตาของสุ่ยเยี่ยนยวี่ ท่าทางของนางราวกับตกอยู่ในสภาวะมึนงง
นางยกขาและกำลังจะก้าวเดินไปทางเนินเขาลูกเล็ก
หลิงฮันรีบรั้งนางเอาไว้ด้วยสีหน้าตกตะลึง ดอกไม้ดอกนี้สามารถทำให้ผู้คนตกอยู่ในสภาวะมึนงงได้! เพียงแต่ว่าความรุนแรงของสภาวะมึนงงจะต่างกันไปในแต่ละคน ทั้งเขาและหูเฟยหยินไม่ได้รับผลกระทบจากดอกไม้
ในขณะเดียวกัน คนอีกสองคนก่อนหน้าพวกเขาได้เดินไปยังทิศทางของดอกไม้แล้ว แววตาของพวกเขาแวววาวและมีสีหน้าเร่าร้อนราวกับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังมองอยู่ไม่ใช่ดอกไม้แต่เป็นเก้าอี้บัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่ หากได้ครอบครองดอกไม้นั่นพวกเขาจะสามารถปกครองโลกและสยบได้แม้กระทั่งเทพเซียน
พรึบ!
เมื่อทั้งสองคนเข้าใกล้เนินเขาขนาดเล็ก กลุ่มก้อนเมฆสีดำก็พุ่งออกมาจากเนินเขาและโอบล้อมพวกเขาเอาไว้ จากนั้นเมฆสีดำก็สลายตัวอย่างรวดเร็วและย้อนกลับไปยังเนินเขาดังเดิม
ส่วนสองคนนั้นน่ะรึ?
พวกเขากลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว!
แกร่ก แกร่ก
โครงกระดูกร่วงสู่พื้นกลายเป็นของประดับชิ้นใหม่ให้กับเนินเขาขนาดเล็กเหมือนกับกระดูกชิ้นอื่นๆ
‘ที่แท้คนที่มาที่นี่ก็ตายเพราะอย่างนี้เอง!’