ว่าไงนะ!
ทุกคนที่วิ่งเข้ามา ในตอนแรกเห็นได้ชัดเจนว่าเม็ดยานั้นใส่อยู่ในขวด แต่ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่คือเศษฝุ่นเท่านั้น
“ไม่จริง!”
“เม็ดยาขวดอื่นก็ด้วย!”
พวกเขานำขวดเม็ดยาลงมาจากตู้และเปิดดูทีละขวดจนครบ เนื่องจากเวลาที่ผ่านมานานเกินไป เม็ดยาที่อยู่ในขวดจึงไม่สามารถคงสภาพเอาไว้ได้ เมื่อมองไปที่ขวดเม็ดยาที่เต็มไปด้วยเศษผง จิตใจของพวกเขาก็รู้สึกเจ็บปวด
เม็ดยาแต่ละขวดเป็นเม็ดยาระดับห้าเป็นอย่างน้อยทั้งนั้น พวกเขาสามารถขายเป็นเงินได้จำนวนมหาศาล พวกเขาถูกตบหน้าให้ตื่นาจกฝันที่จะกลายเป็นเศรษฐีเสียแล้ว
จบสิ้นแล้ว!
ทางด้านหลิงฮันเขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เวลาคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของทุกสรรพสิ่ง ต่อให้เป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมีวันเสื่อมโทรม แต่แน่นอนว่าหากเป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหรือสูงกว่า เม็ดยาอาจจะคงสภาพอยู่เหนือการเวลาได้ พวกมันจะกำเนิดความคิดและชีวิตของตัวเอง!
เม็ดยาที่ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เนื่องจากเมื่อใดที่เม็ดยาสร้างชีวิตของมันเองขึ้นมาแล้ว นอกจากประสิทธิภาพของพวกมันจะไม่ลดลง พวกมันยังจะสามารถดูดซับพลังจากสวรรค์และปฐพีมาเพิ่มประสิทธิ์ภาพของตัวเองให้มากขึ้นได้ด้วย
แต่เม็ดยาที่ว่าจำเป็นต้องมีระดับสูงว่าระดับสิบซึ่งต่อให้ใช้เวลานานแสนนานก็ใช่ว่าจะหลอมได้สำเร็จ
“จากที่ตรวจสอบเม็ดยาที่หลอมแล้ว นักปรุงยาเจ้าของห้องนี้สมควรเป็นนักปรุงยาที่ต่ำกว่าระดับเก้าเนื่องจากเม็ดยาที่เขาหลอมขึ้นมาเป็นเม็ดยาศักดิ์ศิทธิ์ระดับห้าถึงแปดทั้งสิ้น” หลิงฮันกล่าวกับตัวเอง “แต่สำหรับข้า เม็ดยาระดับประมาณนี้ล่ะกำลังพอดี”
“ตอนนี้จิตวิญญาณของข้าแข็งแกร่งพอให้หลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้แล้ว และเมื่อข้าทะลวงผ่านไปยังระดับสุริยันจันทราการหลอมเม็ดยาไปจนถึงเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
“นั่น… ตรงนั้นมีตำราเม็ดยา”
หลังจากค้นไปสักพักในที่สุดเขาก็เจอตำราเม็ดยา!
สูตรเม็ดยาที่ละเอียดจนต้องบันทึกเอาไว้ในตำราเล่มหนา ด้วยกาลเวลาที่ผ่านมานาน ตำราจึงเปราะบางมาก แค่สัมผัสเปิดตำราก็แทบจะสลายเป็นฝุ่นผง ดังนั้นหลิงฮันจึงนำตำราเข้าไปในหอคอยทมิฬก่อนเพื่อที่ตำราจะได้ไม่สลาย
หลิงฮันบันทึกตำราฉบับคัดลอกออกมาสองฉบับ เขาได้เก็บตำราต้นแบบกับฉบับคัดลอกฉลับหนึ่งไว้ที่ตนเองและกล่าว “หัวหน้าเมิ่ง จากข้อตกลงก่อนหน้านี้ตำราจะแบ่งกันโดยการคัดลอก ข้าได้คัดลอกมันเอาไว้แล้ว ท่านรับไปหนึ่งฉบับสิ”
“เจ้าคัดลอกมันตอนไหน?” เมิ่งเหว่ยยังคงกวาดตามองเม็ดยา นางไม่ยินยอมที่จะเชื่อว่าไม่มีเม็ดยาขวดใดเลยที่เหลือรอด
“อย่าไปใส่ใจแล้วรับไปเถอะ” หลิงฮันไม่สามารถบอกได้ว่าเขาแอบเข้าไปในหอคอยทมิฬและคัดลอกตำราเสร็จในพริบตาถึงสองฉบับ
เมิ่งเหว่ยเปรียบเทียบตำราฉบับคัดลอกสองฉบับอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพบว่าไม่มีอักษรตัวใดเลยที่แตกต่างกัน นางพยักหน้าและกล่าว “การที่ร่วมมือกับพ่อรูปหล่อเป็นความคิดที่ถูกจริงๆ! ไหนๆการร่วมมือของพวกเราก็สิ้นสุดแล้ว พวกเรามาทำเรื่องสนุกกันสักคืนดีกว่า ข้าอดทนมานานจนคันจะแย่แล้ว!”
“ขอปฏิเสธ!” หลิงฮันหยิบตำราฉบับคัดลอกกลับมาหนึ่งฉลับโดยทิ้งตำราต้นฉบับกับฉบับคัดลอกอีกอันไว้ให้นาง เพราะอย่างไรตำราต้นฉบับก็จะสลายเป็นฝุ่นอยู่ดี
“อย่าบอกนะว่าเสน่ห์ของข้าจะลดลง?” ใบหน้าของเมิ่งเหว่ยประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้ หน้าอกของข้าไม่ใช่เล็กๆ เอวของข้าก็ไม่หนา ก้นของข้าก็ยังอวบแน่นเหมือนเดิม เหตุใดข้าถึงยั่วยวนพ่อรูปหล่อไม่ได้… หรือว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่ชอบสตรี”
“ข้าได้ยินนะ!” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“หัวหน้า! หัวหน้า!” จู่ๆใครบางคนก็อุทานขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก
“เจ้าจะตะโกนเสียงดังไปทำไม ท้องฟ้าไม่ได้ถล่มเสียหน่อย ต่อให้มันถล่มจริงๆ พวกเราก็ยังมีพ่อรูปหล่อคอยค้ำจุนไว้ให้อยู่ไม่ใช่รึไง?” เมิ่งเหว่ยกล่าว
“มีเม็ดยาขวดหนึ่งที่ไม่เสื่อสลาย!” ชายคนนั้นกล่าว
“ว่าไงนะ!”
เมิ่งเหว่ยรีบกระโดดลกเต้นพุ่งไปดู
หลิงฮันเองก็รู้สึกสนใจและเดินตามไป
เม็ดยาทั้งหมดเสื่อมสลายกลายเป็นผงหมดแล้ว แต่ยังมีเม็ดยาขวดหนึ่งที่ไม่เป็นเช่นนั้น สามารถคาดเดาได้ว่าเม็ดยาขวดนี้จะต้องยอดเยี่ยมมากถึงสามารถคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานานขนาดนี้
“เม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง?” เมิ่งเหว่ยยกขวดเม็ดยาขึ้นมาอ่านฉลาก “มันเป็นเม็ดยาแบบใดกัน?”
ทุกคนส่ายหัวตามๆกัน ไม่มีใครเลยได้ยินชื่อเม็ดยาชนิดนี้มาก่อน
“โอ้ มันคือเม็ดยาที่แสนอัศจรรย์สำหรับจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา มันสามารถช่วยย่นระยะเวลาการบ่มเพาะพลังขั้นย่อยของระดับสุริยันจันทราได้หลายหมื่นปี” เสียงหนึ่งดังขึ้นกล่าวอธิบาย
“ใครกัน!” ทุกคนรีบหันไปมองประตูทางเข้า
“จี้เจิ่งผิง” มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู แต่เนื่องจากความมืดของห้องและแสงที่ส่องมาจากด้านหลังของเขา ทำให้มองเห็นเป็นเพียงร่างเงาและรู้แต่ว่าเขาเป็นคนร่างผอม
คนคนนั้นหยุดนิ่งไปครู๋หนึ่งก่อนจะกล่าว “ส่งเม็ดยานั่นมาแล้วพวกเจ้าจะได้รับการไว้ชีวิต”
“แล้วถ้าไม่ล่ะ?” เมิ่งเหว่ยถาม
“ถ้าไม่งั้นรึ?” จี้เจิ่งผิงยิ้ม มือขวาของเขาถือบางอย่างขนาดเท่าไข่ไก่เอาไว้ “สิ่งนี้คือระเบิดพิษ เมื่อถูกโยนออกไปมันจะระเบิดทันทีและปลดปล่อยพิษที่รุนแรงออกมา ต่อให้เป็นมนุษย์หรือสัตวอสูรระดับสุริยันจันทราก็ตาม หากสูดดมเข้าไปเล็กน้อยเพียงครึ่งลมหายใจก็จะถูกพิษกัดกร่อนจนตาย”
เมิ่งเหว่ยและคนอื่นๆตะลึง พวกเขาไม่สงสัยว่าอีกฝ่ายจะโกหกเรื่องประสิทธิภาพของระเบิดพิษ แต่ปัญหาก็คือสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายคือระเบิดพิษจริงรึเปล่า
“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าคิดเล็กน้อย ถ้ายังไม่ยอมส่งเม็ดยานั่นมาข้าจะโยนระเบิดพิษเข้าไป” จี้เจิ่งผิงหัวเราะ “ข้าเกลียดการสังหารคนที่สุดเพราะงั้นอย่าให้ยังคับให้ข้าทำ!”
เมิ่งเหว่ยและคนอื่นๆไม่กล้าลงมือ พวกเขาเป็นคนที่ประสบอันตรายมามากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังปรารถนาที่จะมีชีวิต
หลิงฮันขมวดคิ้ว เขาบอกไม่ได้เหมือนกันว่าจี้เจิ่งผิงโกหกหรือว่าสิ่งนั่นเป็นระเบิดพิษจริงๆ ตัวเขาเองนั้นไม่หวาดกลัว แต่เมิ่งเหว่ยกับคนอื่นๆล่ะ?
ถ้าหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ล่ะก็… เขาแอบเคลื่อนไหวท่ามกลางความมืดและควบแน่นทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารา
ไม่จำเป็นต้องใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราเต็มกำลัง ด้วยพลังของเขาในตอนนี้แค่ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราธรรมดาก็สามารถสังหารจอมยุทธณะดับภูผาวารีขั้นสูงสุดได้
จี้เจิ่งผิงยิ้มอย่างพึงพอใจ การที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ทำให้เขารู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รับรู้ถึงภัยอันตราย หัวใจของเขาสั่นไหว รูขุมขนทั่วร่างปิดสนิม
ไม่ปลอดภัย!
ในตอนนี้เขาเลือกที่จะเลิกสนใจคนอื่นและกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว
‘ฉัวะ’ แสงอันเย็นยะเยือกพุ่งตรงออกไปอย่างรวดเร็ว ไหลซ้ายของเขาถูกยิงทะลุ แรงกระแทกที่รุนแรงส่งร่างของเขากระเด็นออกไป