เจ้าเด็กนี้ล้อเล่นรึไง?
หานซินเหยียนอดคิดเช่นนี้ไม่ได้ รุ่นเยาว์ตรงหน้านางดูมั่นใจในตัวเองเกินไป คนเช่นนี้หากไม่ใช่คนที่มีศักยะภาพพอจริงๆก็ต้องเป็นคนบ้า
“งั้นก็ประลองหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด!” นางกล่าว
ครั้งนี้นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและไม่กล้าดูถูกหลิงฮันอีก
“เม็ดยาที่ข้าจะหลอมคือ… เม็ดยาเก้าจักรพรรดิโลกา” เม็ดยาที่ว่าเป็นเม็ดยาระดับแปดเช่นกัน แต่ประสิทธิภาพของมันกับความยากในการหลอมนั้นไม่สามารถเทียบกับเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งได้แม้แต่นิดเดียว เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า ดังนั้นต่อให้นางเลือกหลอมเม็ดยาชนิดใดก็ไม่สามารถเหนือกว่าเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง
ตราบใดที่หลิงฮันหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสำเร็จ ไม่ว่าเม็ดยาจะมีคุณภาพกี่ดาว ผู้ชนะก็ยังคงเป็นหลิงฮัน แต่ในทางกลับกัน ถ้าหลิงฮันทำเตาหลอมระเบิดหลิงฮันก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“โปรดชี้แนะด้วย!”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มจัดเรียงวัตถุดิบ เมื่อหลิงฮันนำผลราชาพิรุณสีชาดออกมา ดวงตาอันงดงามของหานซินเหยียนก็แทบถลน นางมั่นใจแล้วว่าหลิงฮันไม่ได้ล้อเล่น
เจ้าหนูนี่หลอมเม็ดยาโบราณชนิดนี้จนเชี่ยวชาญและสำเร็จจริงๆ?
นางรู้สึกว่าเรื่องแบบนั้นมันไร้สาระสิ้นดี แต่ลึกๆในใจของนางก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าหลิงฮันอาจจะหลอมได้สำเร็จจริงๆ…
หานซินเหยียนชะงักทันที เมื่อครู่นางเผลอคาดเดาไปว่าตัวเองจะแพ้งั้นรึ?
นักปรุงยาคนอื่นแยกย้ายกันไปยืนที่ประตูและวางข่ายอาคมป้องกัน พวกเขาไม่ต้องการให้มีเสียงเล็ดรอดเข้ามารบกวนทั้งสองคน
ในตอนนี้คังซิวหยวนกับหยุนหย่งหวังทำได้เพียงเชื่อในตัวหลิงฮัน ถึงแม้พวกเขาจะทำได้เชื่อไม่ลงก็ตามว่าในเวลาเพียงครึ่งปีผู้อาวุโสของพวกเขาจะพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับได้
‘พรึบ’ เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นมา ทั้งปรุงยาทั้งสองเริ่มลงมือหลอมเม็ดยาของตนเอง
หลิงฮีนที่เริ่มลงมือหลอมเม็ดยา เขาได้เข้าสู่โลกส่วนตัวและลืมทุกสิ่งรอบข้าง
ตั้งแต่เขาหลอมเม็ดยามา เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเป็นเม็ดยาที่หลอมได้ยากที่สุดและเป็นขีดจำกัดของเขาในตอนนี้ เพราะงั้นเขาจึงต้องระมัดระวังให้มาก หากเผลอแม้แต่นิดเดียวการหลอมเม็ดยาจะล้มเหลวทันที
เม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดใช้เวลาหลอมราวๆหนึ่งเดือน การหลอมเม็ดยาระดับนี้ไม่เพียงต้องมีความอดทน แต่จำเป็นต้องมีปราณก่อเกิดที่แข็งแกร่งค่อยสนับสนุนด้วย
หากหยุดมือแม้แต่วินาทีเดียวเตาหลอมจะระเบิด
หลิงฮันลืมทุกสิ่งรอบข้างและเพ่งสมาธิไปกับการหลอมเม็ดยา ที่จริงเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเป็นเม็ดยาที่ตัวเขาในระดับพลังนี้ต้องการมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงจริงจังเป็นพิเศษ
ในช่วงเดือนที่ทั้งสองหลอมเม็ดยาอยู่นี้ คนที่ไม่ใช่นักปรุงยาต่างก็เดินออกและกลับเข้ามาในห้องโถงแห่งนี้หลายครั้ง นอกจากนักปรุงยาแล้วใครบ้างจะมีความอดทนขนาดนั้น? ในขณะเดียวกันนักปรุงยาส่วนใหญ่ได้เลือกที่จะเฝ้ามองการประลองของนักปรุงยาระดับแปดทั้งสอง การเฝ้ามองครั้งนี้จะช่วยเหลือพวกเขาได้มากทีเดียว
และเมื่อวันสุดท้ายมาถึง คนทั่วทั้งเมืองก็แออัดแย่งกันมาดูผลลัพธ์ของการประลอง
“เปิดฝาเตา!” หลิงฮันกับหานซินเหยียนแทบจะเปิดฝาเตาหลอมพร้อมกัน ‘พรึบ’ ฝาเตาถูกเปิดออกมาทันที ครั้งนี้หลิงฮันไม่ปกปิดอีกต่อไป เขาใช้ทักษะสามเปลวเพลิงชี้นำที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด
“อะไรกัน!” ทั้งคังซิวหยวนและหยุนหย่งหวังตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ปากของพวกเขากว้างพอจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้เลย
‘สามเปลวเพลิงชี้นำ… นั่นมันสามเปลวเพลิงชี้นำไม่ผิดแน่!’
ทั้งสองคนอุทานในใจ แต่สามเปลวเพลิงชี้นำสมควรเป็นทักษะประจำตัวของท่านอาจารย์เพียงคนเดียวและสอนให้กับพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น พวกเขาเองก็ไม่ได้สืบทอดทักษะนี้ใครผู้ใดในทวีปฮงเทียนเลย เหตุใดหลิงฮันถึงได้ใช้ทักษะนี้ได้?
หรือเขาเองก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์?
‘ฟุบ’ เม็ดยาลอยออกมาจากเตาหลอม พวกมันส่องแสงสว่างเรือนราวและล่องลอยอยู่กลางอากาศ
‘นั่นคือเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง’
‘หลอมสำเร็จจริงๆ!’
หานซินเหยียนชำเลืองมองและกล่าวในใจ ด้วยสายตาของนางแค่มองผลราชาพิรุณสีชาดและวัตถุดิบอื่นๆก็เดาได้แล้วว่าเม็ดยาที่หลิงฮันหลอมขึ้นมาคือเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งแน่นอน
ตอนนี้ผลการประลองเป็นที่ประจักษ์แล้ว
นางพ่ายแพ้ หลิงฮันคือผู้ชนะ!
“ข้าแพ้แล้ว!” นางยอมรับอย่างไร้ข้อกังขา
ทุกคนอึ้งจนพูดไม่ถูก ใครจะไปคาดคิดว่าหลิงฮันจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับแปดแล้วจริงๆ แถมยังเอาชนะอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างหานซินเหยียนได้!
เหล่าคนของตำหนักเป่าหลินแน่นิ่งราวกับกลายเป็นหิน
หานซินเหยียนเป็นนักปรุงยาอายุน้อย อนาคตภายภาคหน้าของนางนั้นไร้ขีดจำกัด นางเกิดมาเพื่อปรุงยาและเป็นหนึ่งในนักปรุงยาที่อัจฉริยะที่สุดของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์
แต่ตอนนี้… นางกลับแพ้ให้กลับนักปรุงยาที่อายุน้อยกว่า
เป็นไปไม่ได้! เรื่องเช่นนี้มันเหลือเชื่อเกินไป!
หานซินเหยียนมีนิสัยยิ่งยโสก็จริง แต่นางก็ไม่ใช่คนไม่รักษาสัญญา นางนำถ้วยชาออกมารินให้หลิงฮันและใช้นิ้วมือสลักอักษรขอโทษหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้าในใจ จิตใจของสตรีผู้นี้ซื่อตรงและมีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาที่สูงล้ำ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกเกิดความคิดอยากรับลูกศิษย์คนที่หก
เพียงแต่ว่าตอนนี้ทั้งสองคนมีสถานะนักปรุงยาอยู่ในระดับเดียวกันและยืนอยู่คนล่ะฝ่าย เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรับนางเป็นศิษย์ได้
เขาดื่มชาในถ้วยและกล่าว “การประลองเสร็จสิ้นแล้ว น้ำชานั้นข้าเองก็ดื่มหมดแล้วเช่นกัน เช่นนั้นคงต้องขอตัวก่อน!”
“รอก่อน!” หานซินเหยียนรีบเอ่ยขึ้น นางกัดริมฝีปากและกล่าว “ข้าต้องการประลองกับเจ้าอีก!”
“ฮ่าๆ ย่อมได้ แต่นั่ต้องรอให้ข้ามีเวลาเสียก่อน” หลิงฮันหัวเราะ เขาไม่ได้ต้องการหลบเลี่ยงการท้าประลองแต่เขาต้องฝึกฝนวรยุทธด้วย เขาไม่สามารถใช้เวลาไปกับการปรุงยาได้ตลอด
หลิงฮันเดินจากไปพร้อมกับพวกหยุนหย่งหวัง
ผู้ชมด้านนอกก็จากไปเช่นกัน แต่เมื่อทั้งสามคนกลับมายังตำหนักฮันหลิง พวกเขาพบว่าลูกค้าที่มาซื้อเม็ดยานั้นมีจำนวนมากกว่าตอนที่พวกเขาออกจากตำหนักไปอย่างน้อยห้าเท่า และนี่ก็เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
“ข้าขอเสียมารยาทถามผู้อาวุโส… เมื่อครู่ทักษะหลอมที่ท่านใช้คือสามเปลวเพลิงชี้นำใช่รึไม่?” หลังจากกลับมายังตำหนักฮันหลิง คังซิวหยวนก็อดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวและถามออกไป
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ผิด!” หลังจากเฝ้าดูมาครึ่งปี หลิงฮันได้พบว่าศิษย์ทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายนกอมตะเมฆา และดูเหมือนทั้งสองจะยังไม่ลืมความแค้นที่มีต่อห้านิกายโบราณด้วย
“ผู้อาวุโส ท่านไปเรียนรู้ทักษะที่ว่ามาจากไหนกัน?” หยุนหย่งหวังถาม
“ที่ไหนน่ะรึ?” หลิงฮันยิ้มก่อนจะกล่าว “นี่เป็นทักษะประจำตัวข้าเอง!”
‘ตุบ ตุบ’ หยุนหย่งหวังและคังซิวหยวนลุกขึ้นยืนพร้อมกับ สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความโกรธอย่างปิดไม่มิด
กล้าบอกว่าทักษะสามเปลวเพลิงชี้นำที่อาจารย์ของพวกเขาคิดค้นเป็นทักษะของตน? ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ไม่ว่าเจ้าจะช่วยเหลือตำหนักฮันหลิงมากมายขนาดไหนพวกข้าก็ไม่สามารถให้อภัยเจ้าได้
อาจารย์ที่พวกเขาเคารพเทิดทูนไม่อาจถูกดูหมิ่นเช่นนี้!
“ข้าคิดว่าผู้อาวุโสควรจะออกจากตำนักแห่งนี้ไปซะ!” หยุนหย่งหวังกล่าวอย่างเย็นชา