เรื่องที่หลิงฮันจะเข้าไปยังส่วนลึกของสนามรบสองดินแดนนั้น ทั้งโสมเม่ากับเจ้ากระต่ายต่างก็เห็นด้วย พวกเขาตั้งใจจะให้หลิงฮันแก้แค้นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนนั้นให้กับพวกมัน
ที่สนามรบสองดินแดนแห่งนี้จะเกิดการปะทะกันระหว่างจอมยุทธกับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพระดับภูผาวารีกับสุริยันจันทราเป็นส่วนใหญ่ โดยปกติแล้วตัวตนระดับดาราจะไม่ปรากฏให้เห็น แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาปรากฏตัว ระดับของสงครามปะทะก็จะรุนแรงขึ้นไปอีกขั้น
ถึงแม้จะมีการปะทะกันระหว่างสองภพอยู่เรื่อยๆแต่ในหลายปีมานี้ก็ยังไม่มีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นเลยสักครั้ง เรียกได้ว่าสถานะในตอนนี้สามารถควบคุมได้อยู่
ในขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์จากดินแดนใต้พิภพหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างไม่กล้าบุกรุกไปยังส่วนลึกของดินแต่ละฝ่ายทั้งสิ้นเนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จะส่งผลให้พลังต่อสู่ของพวกเขาลดลงมหาศาล
แม้พลังบ่มเพาะจะเท่าเดิม แต่หากใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไม่ได้ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก
อย่างเช่นหลิงฮันในตอนนี้ ด้วยระดับพลังของเขาทำให้สามารถทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้อย่างจำกัดแต่ก็มีพลังต่อสู้ถึงหกดาว
เมื่อพบศัตรูที่มีระดับพลังสูงกว่าเขาและเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มากกว่า เขาก็สามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้ เนื่องจากอีกฝ่ายจะไม่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้เต็มที่
สมมุติหากจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงบุกรุกไปยังโลกใต้พิภพ พลังของจอมยุทธที่ว่าอาจจะลดลงไปเป็นระดับดาราขั้นกลางหรืออาจจะขั้นต้นเลยก็เป็นได้
ด้วยเหตุนั้นแล้วตัวตนระดับสูงของแต่ละดินแดนจึงพยายามไม่บุกรุกกันและกัน
แต่สำหรับหลิงฮันเขาตระหนักถึงพลังต่อสู้ของตนเองดี แถมตอนนี้ระดับพลังของเขาก็ยังต่ำอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพย่อมยังไม่ส่งผลต่อเขามากเท่าไหร่ ต่อให้เขาเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพเขาก็ยังไม่เสียเปรียบมาก
ยิ่งกว่าเขาก็ดูดซับพลังจากแก่นพลังของจ้าวอสูรเอาไว้ด้วย แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยงพลังแต่จ้าวอสูรก็ถือว่าตัวตนที่ทรงพลังที่สุดของดินแดนใต้พิภพ เมื่อใดที่เขาโคจรปราณอสูรเขาจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ
นี่นับว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก
หลิงฮันเดินลึกเข้าไปในสนามรบสองดินแดนและพยายามปรับตัวให้เข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน
ไม่ว่าจะของดินแดนไหนความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขายังน้อยนิดเนื่องจากระดับพลังที่ยังต่ำอยู่ และนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของเขา
ผ่านไปสิบวันหลิงฮันก็ปรับตัวได้สำเร็จ ตอนนี้เขาเป็นราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
ณ ที่แห่งนี้ที่ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมีชีวิตจากดินแดนใต้พิภพต่างก็ต้องได้รับผลกระทบจนพลังต่อสู้ลดลง แต่หลิงฮันไม่ได้รับผลกระทบที่ว่าแม้แต่น้อย เขาสามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วแต่ก็หาศิลาวิญญาณปฐพีไม่พบเสียที เฒ่าโสมกับเจ้ากระต่ายรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
“เห้อ!” จู่ๆเฒ่าโสมก็อุทานออกมา มันเช็ดเหงื่อที่หน้าผากราวกับรู้สึกเหน็ดเหนื่อย “นี่ข้าก็ยุ่งมากหลายวันแล้ว ข้าว่าข้าขอกลับไปดูสตรีเหล่านั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า!”
“พวกเรายังไม่ได้แก้แค้นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนนั้นเลยนะ!” เจ้ากระต่ายไม่สบอารมณ์ มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่เย็นชาออกมาพร้อมกับดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
หลิงฮันนั่งและกำลังวางแผนจะกินอาหาร แม้แต่ในสถานที่เช่นนี้เขาก็ไม่สามารถแก้นิสัยนี้ได้
เขาจุดไฟและนำเนื้อสัตว์อสูรออกมาใส่หม้อจากนั้นค่อยสมุนไพรลงไป กลิ่นหอมลอยฟุ้งออกมาจนเขารู้สึกเศร้าใจ ที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรให้ล่า แล้วเขาจะกินเนื้ออะไรในอนาคต?
“ใส่ไข่ลงไปด้วย ข้าได้ยินมาว่าไข่ช่วยฟื้นฟูกำลังได้ดี” เจ้ากระต่ายหยิบไข่ด้วยอุ้งเท้าสองข้างและโยนลงในหม้อ
“นายท่านโสมก็ชอบไข่!” โสมเฒ่ารีบกล่าว
หลิงฮันต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ต้องหยุดชะชัก “มีศัตรู!”
สายตาของเขามองไปยังเนินเขาที่ไม่ไกลเท่าไหร่ ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตร่างบางอยู่อยู่ เขาพาดมือเอาไว้ด้านหลังและปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกมา เสื้อผ้าของพลิ้วไหวเล็กน้อย
สิ่งมีชีวิตใต้พิภพ!
เขาสามารถแยะได้ด้วยตาเปล่าเนื่องจากกลิ่นอายของพวกมันนั้นต่างจากมนุษย์ กลิ่นอายของพวกมันทั้งชั่วร้ายและมืดมน
แต่ที่ทำให้หลิงฮันประหลาดใจก็คือนอกจากกลิ่นอายแล้ว สิ่งมีชีวิตตนนั้นไม่มีส่วนใดที่แตกต่างกับมนุษย์แม้แต่นิดเดียว
เขาเป็นชายหนุ่มที่ในช่วงอายุยี่สิบปีและมีรูปลักษณ์หล่อเหลา
“หมอนั่นไง!” เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าชี้ไปยังทิศทางเดียวกัน “ฮันน้อย เป็นไอ้บัดซบนั่น!”
ที่เจ้ากระต่ายกับโศมเฒ่าบอกว่าถูกสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไล่ล่าก่อนหน้านี้หมายถึงหมอนี่งั้นรึ?
“จัดการมันเลย!”
“วันนี้นายท่านโสมจะเปิดเตาปิ้งเนื้อสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ!”
ทั้งเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แต่พวกมันทั้งสองก็ไม่ได้ผลีผลามลงมือแส่หาความตาย
ชายหนุ่มใต้พิภพกระโดดลงมาด้านหน้าหลิงฮันและปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังระดับสุริยันจันทราออกมา แต่ความรู้สึกที่สัมผัสระดับพลังของอีกฝ่ายทำให้หลิงฮันรู้สึกว่าแตกต่างกับตัวเขาอย่างสิ้นเชิง
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือพลังแห่งการสร้าง ส่วนดินแดนใต้พิภพคือพลังแห่งการทำลาย ทั้งสองเป็นเหมือนสวรรค์และปฐพีที่ตรงข้ามกัน
“ไสหัวไป!” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะตายด้วยเงื้อมมือข้า”
ฮ่าๆ ช่างโอหังนัก!
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “แต่บางทีเจ้าอาจจะมีคุณสมบัติที่จะตายด้วยเงื้อมมือข้า!”
แววตาของชายหนุ่มกลายเป็นครมกริบ ‘ครืนน’ แววตาสองข้างของเขาร้อนระอุราวกับเปลวเพลิง
หลิงฮันรับรู้ได้ทันทีว่าชายตรงหน้าคือราชาเหมือนกับเขา สิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่มีศักยภาพระดับราชา
เป็นคู่ต่อสู้ที่ดี
“ข้าคือองค์ชายมังกรทมิฬ อ้าวซื่อหยุน เจ้าเป็นใคร?” ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวอย่างไม่แยแส ด้านหลังของเขาปรากฏเงาของมังกรทมิฬแท้จริง กรงเล็บและเขี้ยวของมันทำให้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรง
แปลกมาก!
หลิงฮันกล่าวในใจ ไม่คาดคิดว่าดินแดนใต้พิภพก็มีมังกรจริงเช่นกัน แถมแซ่อ้าวงั้นรึ? เหตุใดแซ่ของอีกฝ่ายถึงได้เหมือนกับตระกูลมังกรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย?
ทั้งสองดินแดนเป็นเหมือนน้ำกับไฟ เป็นไปได้ด้วยรึที่สองตระกูลจากสองดินแดนจะแต่งงานกัน?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “หลิงฮัน!”
“หากเจ้ารับสามกระบวนท่าจากข้าได้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” อ้าวซื่อหยุนกล่าวอย่างเย็นชา