ต่อหน้าพลังของหลิงฮัน อ้าวซื่อหยุนทำได้เพียงล่าถอย
การปะทะกันของทั้งสองอ้าวซื่อหยุนเป็นฝ่ายรับการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว โขดหินบริเวณรอบๆพังทลายไปไม่รู้กี่ก้อน ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธหรือสิ่งมีชีวิตใต้พิภพระดับภูผาวารีที่อยู่ใกล้ๆต่างก็หวาดกลัวจนฉี่ราดและรีบเผ่นหนีไปให้ไกล
การต่อสู้ของทั้งสองก่อให้เกิดผลกระทบรอบด้านที่รุนแรง
ที่จริงไม่เพียงแต่ระดับภูผาวารีเท่านั้น แม้แต่เหล่าระดับสุริยันจันทราก็ยังหวาดหวั่นและกล้ามองการต่อสู้จากระยะที่ห่างไกลเท่านั้น
แม้แต่ตัวตนระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดก็ยังปาดเหงื่อ อัจฉริยะเช่นสองคนนี้บางทีคงใช้เวลาไม่ถึงหมื่นปีก็คงไล่ตามพวกเขาได้ทัน
“บัดซบ!” อ้าวซื่อหยุนคำราม เขาคิดมาตลอดว่าตนเองนั้นไร้เทียมทานที่สุดในดินแดนใต้พิภพ แต่การที่ต้องมาพ่ายแพ้ทุกๆด้านให้กับมนุษย์คนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
เป็นไปได้ด้วยรึที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีสัตว์ประหลาดเช่นนี้อยู่จริงๆ?
“ข้าไม่ยอมรับ! ไม่มีทาง!” เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดบวม
ในเมื่อพระเจ้าให้กำเนิดอัจฉริยะเช่นเขาแล้ว เหตุใดต้องส่งหลิงฮันเพิ่มมาด้วย?
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “เจ้าประเมินตัวเองสูงไป! สวรรค์และปฐพีนั้นกว้างใหญ่และไม่ขาดแคลนเหล่าอัจฉริยะ เจ้าไม่ควรมั่นใจในตัวเองมากเกินไป”
ยกตัวเขาง่ายๆ เขาเพิ่งจะเดินทางข้ามดวงดาวเพียงสองดวงยังพบเจออัจฉริยะมากมาย อย่างเช่นเหอเต๋ากับหวู่เหวินตง ถ้าเป็นในระดับพลังเดียวกันแล้ว ทั้งสองคนไม่ด้อยไปกว่าอ้าวซื่อหยุนแน่นอน
เขาเชื่อว่าดินแดนใต้พิภพไม่มีทางอ่อนแอไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้ว่าที่นั่นจะมีอัจฉริยะมากมายขนาดไหน?
“หลิงฮัน ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่เทียบกับอัจฉริยะของดินแดนข้าแล้วเจ้ายังห่างชั้น!” อ้าวซื่อหยุนรู้ว่าเขาไม่สามารถโค่นหลิงฮันได้ หากใช้ตราประทับหรือเม็ดยาในการเอาชนะมันก็ไม่นับว่าเป็นชัยชนะของตัวเขาเอง
อัจฉริยะเช่นเขาย่อมยอมรับชัยชนะด้วยวิธีเช่นนั้นไม่ได้ เขาจะใช้วิธีนั้นก็ต่อเมื่อต้องการเอชีวิตรอดเท่านั้น หากเป็นการประลองแพ้ก็คือแพ้
ที่เขากล่าวออกไปเช่นนั้นก็เพราะไม่ต้องการใช้หลิงฮันหยิ่งผยอง
“โอ้ งั้นรึ?” หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ดินแดนของข้ามีอัจฉริยะที่ชื่อฉื้อหวงจี่่ คนคนนั้นอายุเพียงสองร้อยปีก็บรรลุระดับสุริยันจันทราแล้ว เทียบกับเขาแล้วเจ้าก็เป็นเพียงหิ่งห้อยที่บินไล่ตามดวงจันทร์!” ฉื้อหวงจี่่พยายามตัดกำลังใจหลิงฮัน
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ ถ้าข้ายังเป็นเพียงหิ่งห้อย แล้วเจ้าล่ะ?
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้การที่สามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราในอายุสองร้อยปีนั้นนับว่ากลัวมาก!
คิดว่ามีจอมยุทธระดับสุริยันันทราจำนวนเท่าใดที่ทะลวงผ่านระดับดาราได้? อัตราส่วนนั้นคิดคร่าวๆคือประมาณหนึ่งในพัน
ความยากลำบากในการทะลวงผ่านเรียกได้ว่าราวกับไต่เต้าสวรรค์!
ฉื้อหวงจี่่ผู้นี้เขาสามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราด้วยอายุสองร้อยปี นั่นหมายความว่าหากเขาต้องการ ในอีกไม่กี่ร้อยปีเขาจะสามารถทะลวงผ่านระดับดารา!
ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ คนคนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวมาก
ตัวของหลิงฮันนั้นแม้จะบ่มเพาะพลังมาเพียงสามสิบปี แต่หลังจากทะลวงผ่านระดับพลังของพระเจ้าเขาก็พึ่งพำอำนาจของต้นสังสารวัฏในการบ่มเพาะ ภายใต้ต้นสังสารวัฏเขาสามารถทำความเข้าใจศาสตร์วรยุทธหนึ่งวันได้เท่ากับหนึ่งปี หากนับจริงๆเขาบ่มเพาะพลังเกินสองร้อยปีแล้ว
“บางที… ฉื้อหวงจี่่คนนั้นอาจจะครอบครองสมบัติคล้ายๆหอคอยทมิฬที่สามารถเร่งการไหลของกระแสเวลาได้” หลิงฮันคาดเขาเช่นนี้ก็เพราะหอคอยน้อยเคยบอกเขาว่าหากหอคอยทมิฬถูกซ่อมแซมแล้ว มันจะสามารถเร่งกระแสเวลาได้ ระยะเวลาหนึ่งวันในหอคอยทมิฬจะเท่ากับโลกภายนอกสิบวันหรืออาจเป็นเดือนเป็นปี!
นั่นไม่ใช่การเร่งเวลาเพียงแค่ส่วนของวิญญาณแต่ระดับพลังบ่มเพาะก็จะถูกเร่งเวลาด้วย
หลิงฮันยิ้ม ความเร็วใรการบ่มเพาะไม่ใช่ความโดดเด่นที่สุดของเขาแต่เป็นกายหยาบที่ไร้เทียมทานจากคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ต่างหาก! แน่นอนว่าเขาไม่มีเหตุผลจะต้องโอ้อวดกับอีกฝ่าย “โอ้ งั้นข้าจะรอพบกันคนที่เจ้าว่า!”
“แน่นอน! สามปีหลังจากนี้ที่การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน ฉื้อหวงจี่่จะให้เจ้าลิ้มรสความสิ้นหวังที่นั่น!” อ้าวซื่อหยุนเก็บหอกและนำตราประทับแปะร่างพร้อมกับเผ่นหนีไป
แต่หลิงฮันก็ไม่ไล่ตามอยู่แล้ว ด้านหน้านี้คืออาณาเขตของเหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ เขาไม่รู้ว่าที่นั่นมีตัวตนระดับสูงอยู่มากมายเพียงใด พลังของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอจะต่อกรกับคนเหล่านั้น
เขายืนแน่นิ่งและเก็บดาบอสูรนิรันดร์ จิตใจของเขาในตอนนี้อยู่ในสภาวะหนักอึ้ง
หากเขาต้องการล้มล้างห้านิกายโบราณเขาต้องมีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดเป็นอย่างน้อย แต่ห้านิกายโบราณนั้นตั้งรากฐานมาแล้วไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปีมาแล้ว พวกเขาย่อมมีไพ่ลับมากมาย บางทีบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดอาจจะไม่เพียงพอ
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วหลิงฮันคงต้องรอไปอีกหลายสิบยี่สิบปี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ห้ามผลีผลามเด็ดขาด
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ คนจำนวนหนึ่งปรากฏตัว พวกเขาเป็นตัวตนระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดทั้งหมด พวกเขาทุกคนข้องมองหลิงฮันไม่วางตา
คนเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ ไม่ว่าคนไหนก็ไม่ปิดบังจิตสังหารแม้แต่น้อย
รุ่นเยาว์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนนี้มีพรสวรรค์น่ากลัวเกินไป พวกเขาจะต้องกำจัดเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เขาสยายปีกเต็มที่ได้จะกลายเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ของดินแดนใต้พิภพ
“เหอๆ คิดว่าจะพวกเจ้าจะทำตามใจชอบได้ง่ายๆ?” เหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดของฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวเช่นกัน ในเมื่อคนของดินแดนใต้พิภพของต้องการกำจัดหลิงฮัน แน่นอนว่าพวกเขาต้องขัดขวาง
“สังหารให้หมด!” เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไม่มัวลังเล ทั้งสองดินแดนเข่นฆ่าสังหารกันมานานหลายปีแล้ว เพลิงแค้นของพวกเขาร้อนระอุจนไม่มีวันดับ
“หนุ่มน้อย เจ้าหลบไปก่อน!” จอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าวกับหลิงฮัน
ที่จริงแล้วไม่มีใครต้องการปะทะกันทั้งๆที่ไม่ได้เตรียมการมาก่อน ดังนั้นเหล่าจอมยุทธของฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงคิดจะสู้ถ่วงเวลาให้หลิงฮันเอาชีวิตรอดไปได้เท่านั้น พวกเขาไม่คิดจะสู้เป็นตายกับกลุ่มสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตรงหน้า
ถ้าการปะทะครั้งนี้ยืดยาว ไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยแบบไหนพวกเขาก็ต้องสูญเสียอย่างมหาศาล
ทุกคนมาที่สนามรบสองดินแดนเพื่อสังหารสิ่งชีวิตใต้พิภพก็จริง แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีจุดประสงค์เพื่อตามหาศิลาวิญญาณปฐพีด้วย ใครกันจะอยากทิ้งชีวิตไว้ที่นี่?
เพราะงั้นแล้วเมื่อใดที่หลิงฮันหนีรอดไปได้ การปะทะครั้งนี้ก็จะสิ้นสุด
หลิงฮันพยักหน้าและโคจรทักษะย่างก้าวไล่ตามดารา ร่างของเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและหายไปทันที
ก่อนหน้านี้เหล่าจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถหยุดอ้าวซื่อหยุนไว้ได้ ครั้งนี้เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพก็ไม่สามารถหยุดหลิงฮันได้เช่นกัน
“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ระดับพลังของข้าในตอนนี้ต่ำเกินไป ข้าต้องหาทางยกระดับพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้สามปีเมื่อข้าไปการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน ข้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉื้อหวงจี่่ ”
หลิงฮันครุ่นคิดในขณะเผ่นหนี